6 ถอนพิษ

3764 Words
ยามไฮ่* เสียงกรีดร้องของสตรีดังแข่งกับสายลมพัดหวิวในยามค่ำคืน ชวนให้บ่าวไพร่ที่เดินผ่านไปมาอยู่บริเวณนอกเรือนตะวันตกรู้สึกขนลุกขนพองกันถ้วนหน้า เสียงด่าทอสาปแช่งดังแว่วออกมาเป็นระยะ บ้างก็ได้ยินเสียงของสตรีหัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับคนเสียสติ บ้างก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางดังแว่วออกมาอย่างน่าเวทนา เป็นอยู่อย่างนี้ราวๆ หนึ่งชั่วยามเห็นจะได้ ภายในห้องนอนของเว่ยหนิงเซียน ร่างบางถูกมัดมืดมัดเท้าขึงไว้กับขอบเตียงทั้งสี่ด้าน หญิงสาวพยายามดิ้นทุรนทุรายราวกับคนเสียสติ ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำอย่างน่ากลัว เรียวปากบางแดงเกรอะไปด้วยคราบเลือดราวกับภูตผีปีศาจ นางพ่นคำผรุสวาทด่าทออย่างไม่หยุดหย่อน บางครั้งก็ส่งเสียงครวญครางออกมาเป็นระยะ บางครั้งก็ส่งเสียงหัวเราะราวกับคนสติวิปลาส  “ปล่อยข้า! พวกเจ้าปล่อยข้านะ! ข้าร้อน อ๊ะ! ข้าหนาว ถอดเสื้อข้าเถอะ! ฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ ได้ยิ่งดี!” ซือซิงได้แต่พูดพร่ำเพ้ออย่างไร้สติ “ฮูหยิน! ท่านมีสติบ้างเถอะเจ้าค่ะ เหตุใดท่านถึงได้เป็นเช่นนี้ไปได้” หลันฮวาพูดพลางเช็ดน้ำตาบริเวณหางตา “ฮ่าๆๆๆ กอดข้าสิ! จูบข้าสิ! ปลดเปลื้องตัวข้า!” คำพูดของนางชวนให้ใครหลายคนที่ฟังแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก บ่าวไพร่ภายในเรือนต่างพากันปาดเหงื่อไปตามๆ กัน ใบหน้าหล่อเหลาพลันเคร่งขรึมในทันที “พ่อบ้านหลี่ อีกกี่ยามยาจึงจะออกฤทธิ์” “ใกล้แล้วขอรับ” หลังจากพิษยาปลุกกำหนัดในสุราครวญคะนึงออกฤทธิ์ เว่ยจิ่นกวางก็รีบสั่งให้บ่าวไพร่จับตัวซือซิงขึงไว้กับขอบเตียง ก่อนจะเรียกท่านหมอมาดูอาการและให้ยาแก่นาง แต่เขาก็ไม่รู้ว่ายาที่ท่านหมอให้นางดื่มเข้าไปนั้นจะสามารถควบคุมพิษในร่างกายของนางได้หรือไม่ เพราะนี่ก็ผ่านมาจะหนึ่งชั่วยามแล้ว อาการของนางก็ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงเลยสักนิดเดียว “อ๊ากกกก!“ เพียงไม่นานร่างบอบบางก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด นางดิ้นทุรนทุรายราวกับมีเข็มนับหมื่นนับพันทิ่มแทงอยู่ทั่วสรรพางค์กาย “ข้าทรมาน...ทรมานเหลือเกิน ช่วยข้าด้วย” หลังจากกรีดร้องอยู่นานหญิงสาวก็หมดสติไปในที่สุด “พ่อบ้านหลี รีบไปเชิญท่านหมอเทวดามาเดี๋ยวนี้!” เห็นทีเขาต้องพึ่งพาชายชราผู้นั้นจริงๆ แล้วสินะ ท่านลุงผู้เย่อหยิ่งและเรื่องมาก “ขอรับ” แม่นางไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะช่วยเจ้าหรอกนะ แต่สุราที่เจ้าดื่มเข้าไปนั้นมันมากเกินว่าที่ข้าจะช่วยคลายพิษของมันให้เจ้าได้ สิ่งที่ข้าทำได้ในตอนนี้ก็เพียงแค่ช่วยขับพิษบางส่วนออกจากร่างกายของเจ้าเพียงเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้วเกรงว่าเจ้าคงอยู่ไม่พ้นคืนนี้เป็นแน่ ดวงตาเรียวคมฉายแววรู้สึกผิด เขาทำได้เพียงแค่เอ่ยขอโทษนางอยู่ลึกๆ ในใจ เพียงไม่นานชายชราชุดขาวก็รีบเดินถือล่วมยาเข้ามาในเรือน ก่อนจะรีบยื่นมือไปคลำชีพจรของซือซิงในทันที “ฮูหยินของเจ้าอาการหนักยิ่ง ข้าเกรงว่านางอาจจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้” ท่านหมอชราเอ่ยขึ้นพลางทอดถอนใจช้าๆ “ไม่นะเจ้าค่ะ ฮูหยินของพวกข้าจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมท่านหมอ” เหลียนฮวาและหลันฮวาพยายามยื้อยุดฉุดกระชากชายชราราวกับหญิงเสียสติ ใบหน้าของพวกนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาอาบเต็มแก้ม “ท่านหมอ ท่านบอกมาสิเจ้าคะว่าพอจะมีหนทางใดช่วยฮูหยินของบ่าวได้บ้าง พวกข้ายินดีที่จะทำทุกวิถีทาง ท่านหมอโปรดบอกข้ามาเถิด!” บรรยากาศภายในห้องเริ่มตึงเครียดขึ้นมาชั่วขณะ เสียงร่ำไห้ปริ่มจะขาดใจของสาวใช้ทั้งสองยิ่งทำให้เว่ยจิ่นกวางเริ่มรู้สึกเคร่งเครียดและกดดันมากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มกำมือแน่นอย่างพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็ไม่สามารถที่จะอธิบายได้ “ท่านลุง ท่านพอจะมีหนทางใดช่วยภรรยาของของข้าได้บ้างหรือไม่” ชายชราถอนหายใจหนึ่งเฮือก “หนทางน่ะยังพอมี แต่ข้าไม่ขอรับประกันว่าจะช่วยฮูหยินของเจ้าได้หรือไม่” “ท่านลุงบอกข้ามาเถอะว่าวิธีใด หากท่านช่วยนางได้ข้ายินดีจ่ายไม่อั้น” นัยน์ตาของชายชราลุกวาวในทันที ก่อนจะแสร้งทอดถอนใจ มือเหี่ยวย่นรีบหยิบห่อผ้าขาวออกมาจากล่วมยาอย่างรวดเร็ว ภายในห่อผ้าผืนนั้นมีเข็มเงินราวหนึ่งพันเล่มปักอยู่รวมกันอย่างเป็นระเบียบ เขาพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “เพื่อขับพิษบางส่วน ข้าคงมีหนทางเดียวเท่านั้น...คือฝังเข็มนับพันทั่วทั้งร่างของนาง แต่ข้าไม่อาจรับประกันได้ว่าร่างกายของเมียเจ้าจะสามารถทนทานต่อความเจ็บปวดของเข็มนับพันเล่มนี้ได้หรือไม่” “ว่าอย่างไรนะ! นางต้องฝังเข็มราวหนึ่งพันเล่มอย่างนั้นรึ!?” เว่ยจิ่นกวางถึงกับตื่นตะลึงพรึงเพริดกับคำว่า ‘ฝังเข็มหนึ่งพันเล่ม’ เขาพยายามควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยถามต่อ “นอกจากฝังเข็มให้นางแล้ว...ท่านยังพอจะมีวิธีการอื่นหรือไม่?” ชายชราเพียงส่ายศีรษะอย่างจนใจ ไม่มีอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่นึกเลยว่าพิษของสุราไหนี้จะร้ายแรงถึงเพียงนี้ เหตุใดข้าถึงได้สะเพร่าปล่อยให้เจ้าดื่มมันจนหมดไหไปได้นะ “เดิมทีพิษของสุราชนิดนี้ก็ร้ายแรงอยู่แล้ว จอกเดียวสามารถทำให้ศัตรูคายความลับได้ สองจอกทำให้ผู้คนลุ่มหลงงมงาย สามจอกทำให้ขาดสติยั้งคิดเสพสังวาสไม่อายฟ้าดิน แต่ฮูหยินของเจ้ากลับดื่มมันจนหมดไห คงไม่แปลกที่นางจะมีอาการทุกข์ทรมานเช่นนี้ อยากจะอยู่ก็ไม่ได้ อยากจะตายก็ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่” “โถ...ฮูหยินของบ่าว!” เหลียนฮวาล้มทรุดลงกับพื้นราวกับจะสิ้นสติ ในขณะเดียวกันหลันฮวาก็ร้องไห้จนปริ่มจะขาดใจอยู่รอมร่อ บรรยากาศทั่วทั้งเรือนเย็นเยียบราวกับอยู่ในช่วงต้นฤดูเหมันต์ ความหนาวเหน็บค่อยๆ กัดกินใจของเว่ยจิ่นกวางอย่างช้าๆ จนเขาไม่รู้ว่าจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างไรดี “ท่านหมอ...รบกวนท่านแล้ว”  แม่นาง ข้าผิดต่อเจ้านัก! เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม ร่างบอบบางยังคงนอนแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมคือมีเข็มเงินนับพันเล่มปักอยู่ทั่วทั้งร่างนางราวกับตัวเม่น ท่ามกลางความสิ้นหวังและความเสียใจของบ่าวไพร่ หยาดน้ำใสๆ ก็ค่อยๆ ไหลรินลงมาบริเวณหางตาของซือซิงช้าๆ แพขนตางอนกระตุกเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาคู่งามจะค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น “ฮูหยิน!” “เซียนเอ๋อร์!” ขณะที่ทุกคนกำลังจะรีบปรี่เข้าไปดูอาการของซือซิง ชายชราจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยห้ามปราม “พวกเจ้าหยุด! อย่าพึ่งรีบเข้าใกล้นาง” “เพราะเหตุใดรึ?” เว่ยจิ่นกวางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “เพราะว่า...” ยังไม่ทันที่ชายชราจะทันได้เล่าอาการของนางจบ เสียงครวญครางของซือซิงก็ดังแว่วขึ้นขัดจังหวะบทสนทนาของทั้งสอง “ได้โปรดกอดข้าเถิด สัมผัสข้า จูบข้า ครอบครองข้า!” ดวงตาคู่งามฉายแววเย้ายวน นางค่อยๆ ตวัดลิ้นเลียริมฝีปากบางช้าๆ พร้อมกับเสียงหอบสั่นของลมหายใจเป็นช่วงๆ สายตาทุกคู่พลันเบิกโพลงอย่างตกตะลึง ร่างของทุกคนแข็งค้างราวกับถูกตรึงด้วยตะปู เว่ยจิ่นกวางเป็นคนแรกที่มีสติ เขารีบเอ่ยถามขึ้นในทันที “ข้าควรจะทำเช่นไรถึงจะช่วยนางได้” “…” “ท่านลุง...ท่านตอบข้ามาเถิด” ความกังวลใจ กลัดกลุ้มใจฉายชัดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ต่อให้ข้าบุกน้ำลุยไฟ ข้าก็จะชดใช้ให้เจ้า ชายชรากระแอมไอทีหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยขึ้น “จากที่ข้าตรวจดูอาการของนางแล้ว พิษในร่างของนางน่าจะถูกเข็มเงินขับออกไปราวแปดส่วน เหลืออีกเพียงสามส่วนที่เจ้าจะต้องนำมันออกเอง” “เอาออกอย่างไรหรือเจ้าคะ?” เหลียนฮวาพลันเอ่ยถามขึ้นด้วยความฉงน “ใช้ร่างกายขับออก” ชายชราเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง หลันฮวารีบพูดในสิ่งที่นางคิดออกมาในทันที “คือ...ฮูหยินของบ่าวต้องร่วมหอกับนายท่านใช่หรือไม่เจ้าคะ” “ใช่! นายท่านของพวกเจ้าจะต้องร่วมหอกับนาง จวบจนฤทธิ์ในกายของนางจะสลายหายไป ข้าคาดว่าต้องใช้เวลาราวสามวันกว่าจะขับพิษส่วนที่เหลือออกจากร่างของนางจนหมดสิ้น” “สามวัน! อย่างนั้นหรือ?” ใบหน้าหล่อเหลาพลันตกตะลึง “ใช่! สามวัน หากน้อยกว่านั้นข้าก็ไม่อาจรับประกันความปลอดภัยของนางได้ อย่างน้อยนางอาจจะกลายเป็นสตรีเสียสติ อย่างมากนางอาจจะสิ้นใจตายอย่างน่าอนาถ”          เว่ยจิ่นกวางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจรับปากในทันที “ได้! ข้าจะลองดู”          “หลังจากนี้ไปก็เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว” “…” ก่อนจะจากไปท่านหมอชรายังเขียนเทียบยาชูกำลังให้กับเว่ยจิ่นกวางอีกสามชุด แถมยังกำชับกับเขาอีกว่า ‘ในแต่ละครั้งที่พวกเจ้าร่วมรักกัน หากฮูหยินของเจ้าไม่สิ้นฤทธิ์สลบไสลไป เจ้าอย่าได้หยุดมือเป็นอันขาด! ไม่เช่นนั้นแล้ว...ข้าก็ไม่ขอรับประกันผลที่ตามมา’          ยามโฉ่ว* ท่ามกลางความเงียบงันของราตรีกาล ร่างอรชรนอนกระสับกระส่ายไปมาด้วยความทุกข์ทรมาน ความร้อนรุ่มกำลังแผดเผาผิวขาวเนียนจนแดงปลั่ง แม้แต่ใบหน้างามที่หลับตาพริ้มยังแดงก่ำลามไปถึงใบหู ฤทธิ์ของสุราครวญคะนึงทำให้นางรู้สึกร้อนรุ่มทุรนทุรายอยู่ไม่เป็นสุข ปากน้อยๆ ได้แต่พร่ำเพ้อฟังไม่ได้ศัพท์ เสียงครวญครางและเสียงสาบเสื้อที่หญิงสาวพยายามที่จะฉีกทึ้งดังเสียดสีกันไปมาอยู่เป็นระยะ          ท่ามกลางสติอันลางเลือน อ้อมแขนแกร่งของใครบางคนพยายามที่จะโอบกอดร่างบางไว้อย่างรัดแน่น สัมผัสนั้นช่างดูอบอุ่นปนเสียวซ่านในคราเดียวกัน ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆ ลูบไล้และเคล้นคลึงไปทั่วบริเวณเรือนกายที่เปลือยเปล่า          ปากน้อยๆ ของซือซิงพร่ำเพ้อพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ข้า...ทรมานเหลือเกิน...ขอร้องท่าน...ช่วยข้าด้วย!”          ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องสะท้อนลอดทะลุผ่านม่านเตียง ดวงตาคู่งามพลันส่องเป็นประกายร้อนแรงเย้ายวนใจ ร่างบางค่อยๆ ตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเงอะงะไม่ประสีประสา สัมผัสของซือซิงทำให้นัยน์ตาสีเข้มรู้สึกสั่นไหวไปชั่วขณะ ชายหนุ่มรีบปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนในทันที เว่ยจิ่นกวางกระซิบเบาๆ ข้างหูนางว่า “แม่นาง...ข้าขอล่วงเกินเจ้าแล้ว”  “กอด...กอดข้าเถอะนะ” มือน้อยๆ พยายามที่จะเกี่ยวรัดแผงอกหนา นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ไต่สัมผัสอย่างใคร่รู้ ฉับพลันมือใหญ่ข้างหนึ่งพลันกุมมือน้อยๆ ไว้เพื่อไม่ให้ก่อกวน ก่อนจะก้มหน้าลงไปประทับริมฝีปากบางอย่างคาดโทษ ร่างบางค่อยๆ ตอบรับสัมผัสเขาอย่างไร้เดียงสา เรียวปากเล็กๆ ค่อยๆ ขบกัดปากเขาอย่างย่ามใจ การกระทำของซือซิงปลุกเร้าอะไรบางอย่างในตัวเขาให้ตื่นขึ้น ความกระหายและความปรารถนาค่อยๆ ครอบงำสติสัมปชัญญะของชายหนุ่มจนหมดสิ้น มือใหญ่ค่อยๆ แตะสัมผัสไปทั่วเรือนร่างอรชร ก่อนจะค่อยๆ ไต่ระดับต่ำลงมาใต้หว่างขาเนียน ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆ ปลุกเร้าและเคล้นคลึงเนินเนื้อนุ่มอย่างใจเย็น สัมผัสนั้นทำให้ปากน้อยๆ อ้าร้องครวญครางอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทุกครั้งที่เขาใช้นิ้วแตะเบาๆ เสียงใสๆ ของนางจะสั่นเครือราวกับไม่อาจหักห้ามความซาบซ่านจากสัมผัสนี้ได้ “อือ อา...” ไฟแห่งปรารถนาค่อยๆ แผดเผาเรือนร่างเปลือยเปล่าช้าๆ และค่อยๆ โหมกระหน่ำเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี เมื่อนิ้วมือแกร่งสัมผัสจุดอ่อนไหวของนางอย่างรุนแรงขึ้น ร่าอรชรพลันบิดเร้าไปตามจังหวะของเขาอย่างฉุดไม่อยู่ “ข้าทรมานเหลือเกิน...ได้โปรด...” สัมผัสของเขาทำให้นางรู้สึกแทบคลั่ง ซือซิงไม่อาจทนรับต่อการเย้าแหย่ของเขาได้อีกต่อไป ร่างบางรีบถามโถมกายเข้าสู้อ้อมอกแกร่งในทันที เว่ยจิ่นกวางค่อยๆ กระซิบเบาๆ ข้างหูนางด้วยเสียงอันแหบพร่า “ซิอซิง...ลำบากเจ้าแล้ว” ฝ่ามือใหญ่รีบจับต้นขาเรียวงามยกขึ้นให้กระชับมือ ก่อนจะตัดสินใจปลดปล่อยความปรารถนาทั้งหมดที่มีครอบครองเรือนร่างเปลือยเปล่าอย่างบ้าคลั่ง “อา...” ปากน้อยๆ ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด เอวคอดกิ่วสั่นเทาไปด้วยแรงกระแทกกระทั้นอย่างร้ายกาจ “ข้าไม่ไหวแล้ว” ร่างเปลือยเปล่าหอบหายใจอย่างอ่อนระทวย ใบหน้างามขมวดคิ้วมุ่นอย่างเจ็บปวด ซิงเอ๋อร์ ข้าขอโทษ... จวบจนเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เอวแกร่งของเว่ยจิ่นกวางยังคงขยับเคลื่อนไหวไปตามจังหวะอย่างอดทน ชายหนุ่มขบกรามแน่น และยังคงพยายามรักษาจังหวะครอบครองนางอยู่อย่างนั้น “ข้าเหนื่อยเหลือเกิน” เพียงไม่นานเปลือกตาทั้งสองข้างของซือซิงก็ค่อยๆ ปิดลงอย่างเหนื่อยล้า ดวงตาเรียวคมวูบไหวไปชั่วขณะ เขาค่อยๆ ตระกองกอดร่างบางอย่างทะนุถนอม ก่อนจะค่อยๆ ประทับริมฝีปากบางลงที่เปลือกตาคู่งามทั้งสองข้างด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง “แม่นาง ข้าสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งเจ้า” สามวันให้หลัง... แสงแดดอ่อนๆ ยามบ่ายคล้อยส่องทะลุผ่านม่านเตียงลายฉลุปลุกให้ร่างอรชรที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงลืมตาตื่นขึ้น ยามตื่นขึ้นมาตอนแรก สติสัมปชัญญะของนางก็คล้ายจะยังดูมืดมัวราวกับเพิ่งผ่านความฝันอันยาวนาน ดวงตาพร่าเลือนคล้ายกับยังตื่นไม่เต็มที่ ในขณะที่ร่างบางกำลังจะขยับกายเพื่อจะเปลี่ยนอิริยาบถอยู่นั้น ความเจ็บปวดขุมหนึ่งก็เริ่มจู่โจมนางในทันที เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดร่างกายของข้าถึงได้ปวดเมื่อยเยี่ยงนี้ โดยเฉพาะช่วงล่างของข้า ไยถึงได้รู้สึกร้าวระบมนัก ไวเท่าความคิด ซือซิงรีบก้มหน้าสำรวจร่างกายของตนในทันที อ๊ะ! เหตุใดข้าถึงไม่สวมใส่เสื้อผ้าเล่า เอ๊ะ! ทำไมผิวขาวเนียนของข้าถึงได้เต็มไปด้วยรอยแดงๆ ทั่วเรือนร่างเยี่ยงนี้ หรือว่าเมื่อคืนนี้ข้าจะดื่มหนักจนเกินไป จนร่างกายนี้เกิดแพ้พิษสุราขั้นรุนแรง นี่ข้าคงไม่เผลอดื่มจนเมามายจนสร้างเรื่องขายหน้าผู้อื่นหรอกนะ ในขณะที่มือขาวเนียนกำลังลูบไล้สำรวจไปทั่วอนูผิวกาย ทันใดนั้นดวงตาคู่งามพลันไปสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ รอยคราบเลือดผู้ใดกัน? เอ๊ะ! หรือว่าวันนั้นของนางจะมาอย่างนั้นหรือ ไม่ๆ นางเพิ่งเป็นเมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมานี่เอง นี่ก็ยังไม่ถึงปลายเดือนจะมาได้อย่างไร ขณะที่ร่างบางกำลังขมวดคิ้วมุ่นกับรอยคราบเลือดแดงๆ บนเตียงนอนอยู่นั้น สาวใช้ทั้งสองก็รีบทะเล่อทะล่าเปิดประตูเข้ามาอย่างร้อนรน “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” หลันฮวาและเหลียนฮวารีบโผร่างโอบกอดนางในทันที พวกเจ้าเป็นอะไร? เหตุใดถึงทำราวกับว่าข้าเพิ่งรอดพ้นจากประตูผีมาเสียอย่างนั้น “พวกเจ้านี่ก็ช่างเหลือเกิน ข้าแค่ดื่มหนักไปหน่อยเดียวเท่านั้นเอง ไยพวกเจ้าถึงได้ร้องห่มร้องไห้ราวกับข้าเพิ่งจะรอดตายมาเสียอย่างนั้น พวกเจ้านี่ช่างเลอะเลือนโดยแท้” หญิงสาวทั้งสองพลันชะงักทันที พวกนางมองหน้ากันราวกับมีเรื่องบางอย่างที่ยากจะอธิบาย “ไปๆ รีบยกเอาถังน้ำมาให้ข้าอาบโดยเร็ว ตอนนี้ข้าชักจะเริ่มรู้สึกปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัวแล้ว สงสัยเมื่อคืนข้าจะ ดื่มนักจริงๆ หรือว่าข้าเผลอนอนตกเตียง มิน่าล่ะผิวข้าถึงได้เป็นรอยเยอะแยะถึงเพียงนี้” ไม่พูดเปล่า ซือซิงจัดการดึงผ้าห่มที่คลุมร่างกายของนางออก พร้อมกับโชว์เนื้อหนังมังสาให้สาวใช้ทั้งสองดู “พวกเจ้าดูสิ เหตุใดรอยแดงๆ พวกนี้ถึงได้มีมากนักนะ เอ...หรือว่าข้าจะแพ้สุรารึ?” “…” ฉับพลัน ทั้งเหลียนฮวาและหลันฮวาต่างพากันอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ดวงตาทั้งสองข้างของพวกนางเบิกโพลงราวกับไข่ห่าน เลวร้ายขนาดนั้นเชียวรึ? ไยพวกนางถึงได้ดูตกอกตกใจนัก แค่รอยแดงๆ เท่านั้นเอง เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ซือซิงก็จัดการอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ใบหน้างามขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นสาวใช้ทั้งสองเอาแต่ทำท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ คล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับไม่ปริปากพูดอะไรออกมา “นี่พวกเจ้า! หากมีเรื่องอันใดก็บอกข้าออกมาเถอะ ไยต้องทำท่าทางมีลับลมคมในให้ผู้อื่นรู้สึกสงสัยด้วย ไหนพูดมาสิว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น” เหลียนฮวาหลุบตาต่ำไม่กล้าสบตานางตรงๆ “ไม่มีเจ้าค่ะ” ไม่มีบิดาเจ้าสิ! เห็นอยู่ว่าพวกเจ้ามีท่าทางแปลกๆ อย่าคิดนะว่าการกระทำของพวกเจ้าจะรอดพ้นสายตาเหยี่ยวอย่างข้าไปได้ หลังจากลืมตาตื่นขึ้น นางก็พยายามที่จะเค้นสมองคิดถึงเรื่องราวเมื่อคืนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ผลที่ได้คือความว่างเปล่า ภาพสุดท้ายที่นางจำได้คือตอนที่นางดื่มเหล้าจนหมดไหและล้มลงไปดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น ส่วนหลังจากนั้นนางก็จำไม่ได้แล้ว “นี่พวกเจ้า หรือว่ารอยแดงๆ ในตัวข้าจะเกิดจากที่ข้าเมาแล้วตกลงจากเก้าอี้หรือไม่ เพราะความทรงจำครั้งสุดท้ายข้าจำได้ว่า ตัวข้านอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น อาจเป็นไปได้ว่ารอยแดงบนตัวข้าอาจจะเกิดจากเพราะข้าสะเพร่าไม่ดูแลตัวเองดีๆ ตอนเมาเลยเผลอเกิดรอยแดงพวกนี้ขึ้นโดยไม่ตั้งใจ พวกเจ้าว่าไหม?” “…” “แล้วพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหล้าไหนั้นชื่อว่าอะไร ลิ้นของข้าชักเริ่มรู้สึกติดใจในรสชาติของมันซะแล้วสิ ว่างๆ พวกเจ้าช่วยหามาให้ข้าดื่มสักไหได้หรือไม่ แค่คิดข้าก็รู้สึกเปรี้ยวปากขึ้นมาซะแล้วสิ” “…” เหตุใดฮูหยินถึงได้ลืมเลือนเสียจนหมดสิ้น เรื่องที่เกิดขึ้นก็ผ่านมาได้สามคืนแล้ว ไยนางถึงได้เลอะเลือนคิดว่าตนเองหลับไปเพียงแค่คืนเดียวกัน เกิดอะไรขึ้นกับฮูหยินกันแน่ ฤทธิ์ของสุราครวญคะนึงร้ายแรงเพียงนี้เชียวรึ? ฮูหยินถึงได้ลืมเลือนช่วงเวลาแห่งความสุขไปจนหมดสิ้น “นี่พวกเจ้าฟังข้าพูดอยู่หรือไม่ ฮวาฮวา ฮวาเอ๋อร์” “…” ดี! ในเมื่อพวกเจ้ากล้าเมินข้า ข้าก็จะทำให้พวกเจ้าหูแตกไปเลย ฮึ่ม! ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ซือซิงจึงตัดสินใจบันดาลโทสะใส่หูน้อยๆ ของพวกนางแทน “พวกเจ้าใบ้กินหรืออย่างไร ข้ากำลังถามพวกเจ้าอยู่นะ! เหตุใดเอาแต่พยักหน้า พวกเจ้ายังฟังข้าอยู่หรือไม่!” หลันฮวาเป็นคนแรกที่ได้สติตื่นจากภวังค์ “หา! ฮูหยินว่าอันใดหรือเจ้าคะ” ให้มันได้อย่างนี้สิ! พวกเจ้านี่มันกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาบ้านโดยแท้ ฮูหยินอย่างข้าถาม เหตุใดถึงมัวแต่เหม่อใจลอยอยู่ได้ หรือว่าพวกเจ้านอนไม่พอหรืออย่างไร ข้ายินดีสละเตียงให้เอาไหม...ข้าประชด! ซือซิงพยายามสูดหายใจลึกๆ เพื่อข่มกลั้นเพลิงโทสะที่เริ่มจะประทุ “พวกเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหลังจากที่ข้าเมาหมดสติไป แล้วนายท่านของพวกเจ้าล่ะ เขาทำอะไรข้าหรือไม่” “...” ทั้งเหลียนฮวาและหลันฮวาถึงกับสะดุ้งเฮือกในทันที ถ้าพวกเจ้ายังมัวแต่อ้ำอึ้งไม่ตอบคำถามข้าอีกครั้งล่ะก็ ข้าสัญญาว่าจะทำให้พวกเจ้ามอดไหม้ตายเพราะเพลิงโทสะของข้าแน่นอน ฮึ่ม! “คะคือว่า...คือ” หลันฮวาได้แต่พูดอ้ำอึ้งอยู่นานสองนาน ก่อนที่จะพยายามก้มหน้าหลบสายตา คืออันใด เมื่อไหร่จะคายมันออกมาเสียที คือๆ อยู่นั้นล่ะ ยิ่งพวกเจ้าไม่อยากพูด ข้าก็ยิ่งอยากรู้ มาลองดูกันว่าผู้ใดจะพ่ายแพ้ต่อศึกในครั้งนี้ ซือซิงหางตากระตุกถี่ยิบ ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มพลันเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมในทันที “ดี! ในเมื่อพวกเจ้าไม่กล้าพูดก็ไม่ต้องพูด ข้าจะไปถามเอากับเว่ยจิ่นกวางก็ได้ ข้าอยากจะรู้นักว่านายของพวกเจ้าจะตอบข้าว่าเยี่ยงไร” ไม่รอช้าร่างบางรีบก้าวเท้ายาวๆ ออกจากห้องไปในทันที “ดะเดี๋ยวก่อนเจ้าคะ...บ่าวยอมแล้ว” หลันฮวาพลันร้องขึ้นด้วยอาการร้อนรน สำเร็จ! ซือซิงค่อยๆ หันมาคลี่ยิ้มจางๆ ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าเดินกลับมานั่งที่เดิมอย่างรวดเร็ว “ไหนลองพูดมาสิว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” หลันฮวาถอนหายใจช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ เล่ารายละเอียดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ “เรื่องมันเกิดขึ้นตอน...” * ยามไฮ่ เท่ากับเวลา 21.00 น. จนถึง 22.59 น * ยามโฉ่ว เท่ากับเวลา 01.00 น. จนถึง 02.59 น.
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD