4 จูบแรก

3771 Words
ร่างบอบบางยืนอยู่หน้ากำแพงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะค่อยๆ เอาเอาหูของนางแนบกับกำแพงเพื่อฟังความเคลื่อนไหวภายรอบบริเวณ แม้ว่าบริเวณโดยรอบเรือนจะไม่มีเสียงใดๆ เกิดขึ้น แต่ใบหน้างามกลับยังคงไม่คลายความกังวลใจ          สถานการณ์รอบด้านดูเงียบเหงาผิดปกติ เงียบเสียจนนางเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี หากนับจากเวลาที่นางออกไปข้างนอกจวบจนมาถึงตอนนี้น่าจะได้ประมาณสามชั่วยามได้แล้วกระมัง ฤทธิ์ของชาชุนเทียนน่าจะหมดไปตั้งแต่สองชั่วยามแรก และดูจากรูปการณ์แล้วมันไม่น่าจะเงียบงันจนดูผิดปกติเยี่ยงนี้ อย่างน้อยสาวใช้ทั้งสองก็น่าจะวิ่งแจ้นตามหาตัวนางกันให้วุ่น คงไม่ปล่อยให้เลยตามเลยอย่างแน่นอน คาดว่าตอนนี้เรื่องที่นางหนีออกจากเรือนคงน่าจะถึงหูของเว่ยจิ่นกวางแล้วกระมัง          ไม่ได้ๆ ข้าว่ามันแปลกๆ พิกล หรือว่าพวกเขาคิดจะหาทางล่อเสือออกจากถ้ำ แล้วรอให้ข้าติดกับที่พวกเขาวางไว้อย่างใจเย็น หากตอนนี้ข้าก้าวพลาดเพียงนิดคงไม่แคล้วโดนจับได้เป็นแน่ ข้าต้องมีแผนสำรอง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเหนือหงส์จะมีมังกรได้ ด้วยสมองอันชาญฉลาดของข้าต่อให้เว่ยจิ่นกวางจะเป็นพยัคฆ์ซ่อนเล็บ ข้าก็จะเป็นคนเด็ดเขี้ยวเล็บของเขาออกมาด้วยน้ำมือของข้าเอง         ซือซิงตัดสินใจเดินอ้อมคฤหาสน์สกุลเว่ยมาอีกฝั่งทางทิศตะวันออก กำแพงทางฝั่งนี้สูงเลยหัวนางไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น นางน่าจะพอปีนขึ้นไปได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร          หลังจากนั้นเพียงไม่นานซือซิงก็รีบปีนขึ้นไปนั่งบนขอบกำแพงได้อย่างทุลักทุเล และยังไม่ทันที่นางจะพักหายเหนื่อย เสียงของใครบางคนก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “เว่ยหนิงเซียน เจ้ากำลังทำอะไรอยู่รึ?”          ด้วยความหงุดหงิดซือซิงจึงโพล่งตอบออกไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แหงนหน้ามองเลยว่าคนที่เอ่ยถามนางเป็นใคร “ถามมาได้...ก็กำลังปีนกำแพงอยู่นี่...” เสียงของนางขาดหายไปทันทีที่สบตากับดวงตาเรียวคมคู่นั้น          แย่แล้ว! ไฉนเจ้าน้ำแข็งพันปีถึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้ เขาไม่ใช่กำลังดักรอข้าอยู่ที่กำแพงตะวันตกหรอกรึ? หรือว่าสิ่งที่ข้าคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้มันผิดถนัดตั้งแต่แรก ไม่นะ!          ร่างบอบบางถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามเฉไฉพูดเปลี่ยนเรื่องอย่างหน้าไม่อาย “เอ่อ...วิวที่นี่สวยดีเนอะ ข้าเพิ่งรู้ว่าหากนั่งบนกำแพงจากตรงนี้ จะมองเห็นดอกบัวในสระได้งามนัก!”          “อย่างนั้นรึ?”          ซือซิงพยายามควบคุมเสียงของตนไม่ให้สั่น พลางเชิดหน้าตอบเขาอย่างมั่นใจ “ชะใช่นะสิ! ท่านไม่เห็นหรือ หากชมตะวันตกดินจากตรงนี้ ท่านจะเห็นภาพที่งดงาม...งามเสียจนข้าแทบอยากจะหยุดหายใจเลยเชียวล่ะ”          “ข้าเพิ่งจะรู้เดี่ยวนี้เองว่าเจ้ามีรสนิยมชมชอบตะวันตกดินที่เรือนตะวันออก” เว่ยจิ่นกวางจ้องนางด้วยสายตาจับผิด ขาดแต่แค่เขียนอักษรแปะไว้บนหน้าว่า ‘ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะพูดเหลวไหลอะไรอีก’          ข้าอึ้งไปชั่วขณะ ให้ตายสิ! ข้าเพิ่งเข้าใจคำว่าปากพาจนก็คราวนี้นี่เอง แล้วข้าจะอ้างอะไรได้อีกได้เล่า ในเมื่อตอนนี้เขาดักทางข้าไว้หมดแล้ว          ในเมื่อหาเหตุผลตอบเขาไม่ได้ ซือซิงจึงคิดเปลี่ยนเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ “ท่านพี่ เหตุใดท่านมายืนตากลมอยู่แถวนี้ล่ะเจ้าค่ะ ที่นี่แดดออกจะแรงมิใช่น้อย ข้าว่าท่านรีบไปหลบร้อนที่หอเก๋งริมสระบัวดีหรือไม่ มาๆ ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่าน”          ไม่รอช้าซือซิงรีบกระโดดลงจากกำแพง ก่อนจะเดินสาวเท้านำหน้าเขาไปอย่างรวดเร็ว          เว่ยจิ่นกวางค่อยๆ เดินตามนางอย่างเงียบๆ โดยไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมา ชายหนุ่มยังคงเก็บงำความรู้สึกและลอบสังเกตนางเป็นระยะ          หากวันนี้เขาไม่บังเอิญเดินผ่านมาทางนี้เข้า เขาคงพลาดละครฉากสำคัญครั้งนี้ไปแน่ๆ เห็นทีเขาต้องวางสายสืบตามติดตัวนางเสียแล้วสิ ขืนชะล่าใจ เขาก็ไม่รู้ว่านางจะก่อเรื่องอันใดอีก          ความเงียบของเว่ยจิ่นกวางยิ่งทำให้ซือซิงเริ่มอึดอัดใจ เพราะนางไม่รู้จะหาเหตุผลใดมาแก้ต่างการกระทำของตนดี เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางปีนกำแพงเข้ามา มันคงเป็นเรื่องยากที่จะสร้างเรื่องโกหกให้เขาหลงเชื่อได้ง่ายๆ กระมัง          หรือว่าข้าจะบอกความจริงกับเขาไปดี ไม่ๆ หากบอกไปรูสุนัขข้างกำแพงของข้าต้องถูกปิดตายแน่ๆ แล้วทีนี้ข้าจะออกไปเที่ยวเล่นอีกได้อย่างไร เฮ้อ! ข้าควรทำเช่นไรดี หรือจะให้บอกว่าเผอิญข้านอนละเมอพอตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่บนกำแพงแล้วอย่างนั้นรึ? เขาคงหาว่าข้าบ้าแน่ๆ คงมีแต่เด็กปัญญาอ่อนเท่านั้นแหละที่จะเชื่อ          เฮ้อ! อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อย่างน้อยก็แค่โดนขังไว้ในเรือนไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน อย่างมากก็แค่ถูกล่ามโซ่ให้อยู่ในคุกใต้ดินไม่ได้ออกไปไหนไปจนตาย ซือซิงเริ่มปลงตกกับมโนภาพที่นางคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าหลังจากนี้          หลังจากเงียบไปอยู่นาน เว่ยจิ่นกวางจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้น “เจ้าออกไปข้างนอกมาใช่หรือไม่” “ชะใช่” ซือซิงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจนัก เพราะรู้ว่าโกหกเขาไปก็เปล่าประโยชน์           ดวงตาเรียวคมจ้องมองนางอย่างเค้นถามเอาความจริง “เจ้าหนีออกไปข้างนอกเรือนได้อย่างไร?” เซียนเอ๋อร์ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะโกหกข้าเช่นไร ทำไมสายตาของเขายามเมื่อจ้องมาที่นางเหมือนจะเตือนเป็นนัยๆ ว่า ‘หากเจ้าโกหกข้าเพียงนิด ข้าจะลงโทษเจ้าให้อดข้าวสามวัน’           ไม่นะ! อย่าลงโทษข้าด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมแบบนี้เลย เจ้าจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ กักขังข้า ตบตีข้า หรือแม้กระทั่งมัดข้าไว้กับเสาเรือน ข้าก็จะไม่เกี่ยงงอนยอมรับโทษแต่โดยดี แต่เจ้าอย่า...อย่าได้ใจร้ายกับข้าโดยการที่ให้ข้าต้องอดหารเลยได้หรือไม่ ข้าทนไม่ได้! บทลงโทษนี้มันโหดร้ายเกินไปสำหรับข้า...          ซือซิงปาดเหงื่อที่ไหลลงมาบริเวณหางตาทิ้ง ใบหน้างามฉายแววร้อนใจ นางกำมือแน่นเพื่อสะกดกลั้นอาการตื่นกลัว และพยายามกลบเกลื่อนไม่ให้เขารู้ว่าตอนนี้นางรู้สึกจนตรอกมากแค่ไหน          ร่างบางพยายามเชิดหน้าตอบออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว “ขะข้าละเมอ…พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็ปีนอยู่บนกำแพงเสียแล้ว ขะข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าออกไปนอกเรือนได้อย่างไร”          พอพูดออกไปแล้วนางก็แทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายนัก ทำไมสมองกับปากของนางมันถึงได้สัมพันธ์กันเอาอะไรตอนนี้ เดิมทีนางคิดจะตอบเขาว่า ‘ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ’ และแสดงท่าทางสำนึกผิด บีบน้ำตาอีกนิดเพื่อเรียกคะแนนความสงสารจากเขา เผื่อว่าเขาจะเห็นใจและลดโทษให้นางบ้าง แต่นี่อะไร นางพูดบ้าอะไรไปเนี่ย! สวรรค์! ข้ากลับคำตอนนี้จะทันหรือไม่          “อ้อ! อย่างนั้นรึ?”          “ชะใช่” ซือซิงปาดเหงื่ออีกครั้ง ตอนนี้นางเริ่มนั่งไม่อยู่สุขดูลุกลี้ลุกลนเพราะมีชนักติดหลัง “เอ่อ...เอ่อ...อากาศที่นี่ร้อนจังเลยนอะ...ท่านว่าไหม?”          “หากเจ้าคิดว่าอากาศที่นี่ร้อน ไยเจ้าถึงได้เผลอละเมอปีนไปตากแดดอยู่บนกำแพง เหตุใดไม่เผลอละเมอลงเล่นน้ำในสระบัวบ้างเล่า ข้าว่ามันน่าจะคลายร้อนให้เจ้าได้มากกว่านั่งชมตะวันตกดินกว่าเป็นไหนๆ เจ้าว่าจริงหรือไม่?” แม้ว่าใบหน้าของเว่ยจิ่นกวางจะดูเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกใดๆ แต่คำพูดของเขาช่างบาดลึกเข้าไปในใจของใครอีกคนจนแทบอยากกระอักเลือดตาย          คำพูดของเขาทำให้นางต้องจำนนต่อความผิดของตนทุกประการ ซือซิงจึงยอมสารภาพเสียงอ่อย “ดี! สิ่งที่ท่านพูดมาล้วนถูกต้องทุกอย่าง ข้าขอยอมรับผิดทุกประการ ข้าแอบออกไปข้างนอกมา ท่านพอใจหรือยัง”          เป็นไงก็เป็นกัน! นางคร้านที่จะโกหกแล้ว ยิ่งแก้ก็ยิ่งแย่ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด...เฮ้อ!          เว่ยจิ่นกวางกระตุกที่มุมปากยิ้มนิดๆ อย่างพอใจ “ในที่สุดเจ้าก็ยอมอ้าปากคายความจริงออกมาเสียที”          โอ้ไม่นะ! เจ้าน้ำแข็งพันปียิ้มได้ด้วยหรือ นี่ข้าตาฝาดไปแล้วหรือไร หรือว่าข้ากำลังฝันไป ใช่แน่ๆ ข้าต้องกำลังนอนหลับฝันอยู่แน่ๆ พอตื่นขึ้นมาเรื่องที่ข้าถูกเขาจับได้ก็เป็นแค่เพียงฝันร้ายตื่นหนึ่ง...ใช่ไหม!          รอยยิ้มของเขาทำให้ซือซิงเสียสติไปพักใหญ่ๆ ก่อนที่หญิงสาวจะพยายามรวบรวมสติอันน้อยนิดของตนกลับคืนมาอีกครั้ง  “แหม...ท่านพี่ ข้าแค่แอบออกไปเดินเที่ยวเล่นนิดเดียวเอง ไยท่านถึงได้ใจร้ายใจดำกับภรรยาอย่างข้านัก” ซือซิงไม่พูดเปล่า นางเอื้อมือไปบีบนวดตัวเขาไปพลาง หญิงสาวกะว่าจะใช้มารยาที่ร่ำเรียนมาเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดตอนนี้ไปให้ได้เสียก่อนอย่างอื่นค่อยว่ากันอีกที คำพูดที่ตาเฒ่าจูเคยบอกนางไว้ว่า ‘บุรุษมักพ่ายต่อมารยาหญิงงาม’ ท่าทางจะใช้ได้จริง เพราะร่างกายของเว่ยจิ่นกวางในตอนนี้แข็งทื่อราวกับก้อนน้ำแข็งในฤดูเหมันต์เสียแล้ว “…” เซียนเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็กล้าสัมผัสข้า... นานเพียงใดแล้วที่เราไม่ได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้ นานเพียงใดแล้วที่สายตาของเจ้าไม่มีไว้เพื่อมองข้า...คงจะเป็นตั้งแต่ครั้งนั้นแล้วใช่หรือไม่ ครั้งที่ข้ากีดกันความรักของเจ้ากับคนผู้นั้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราดูห่างเหินราวกับคนแปลกหน้า และในวันนี้ข้าควรจะดีใจใช่ไหม? ที่เจ้าลืมเลือนทุกสิ่งแล้วกลายเป็นเช่นนี้ หลังจากนี้...เป็นไปได้หรือไม่ที่ข้ายังจะพอมีหวัง...หวังว่าในใจของเจ้าจะมีข้า และรักข้าเพียงคนเดียว...เซียนเอ๋อร์ จู่ๆ ร่างสูงใหญ่ก็ลุกพรวดขึ้นมาสวมกอดนางอย่างกะทันหัน การกระทำของเขาทำให้ซือซิงตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ก้อนน้ำแข็งที่อยู่ในใจของเว่ยจิ่นกวางพลันพังทลายไปในชั่วพริบตา “เซียนเอ๋อร์...ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับในตัวข้า เจ้าเลิกรังเกียจข้าแล้วใช่หรือไม่ เจ้าบอกข้ามาสิว่าเจ้าชอบข้า?” ความรู้สึกในใจของเว่ยจิ่นกวางพลันพรั่งพรูออกมาจนฉุดไม่อยู่ ความอัดอั้นตันใจที่แอบเก็บงำซ่อนไว้ บัดนี้มันได้เปิดเผยออกมาจนหมดสิ้น ความรักความโหยหาที่เขาปกปิดมันไว้อย่างมิดชิด ตอนนี้เขาไม่คิดจะกักขังมันไว้อีกต่อไป “…” ตายแล้ว! นี่เขาเกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงมากอดข้า ไม่นะ! ข้าวางตัวไม่ถูก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าถูกบุรุษกอดเชียวนะ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้กับข้า ปล่อยข้านะ ปล่อยข้า! แม้ในใจของซือซิงจะร่ำร้องอยากให้เขาปล่อยตัวนาง แต่การกระทำของนางกลับตรงข้าม นางกลับยืนนิ่งให้เขากอดเสียอย่างนั้น เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกนะ แทนที่ข้าจะขัดขืนเขา แต่เหตุใดร่างกายเจ้ากรรมกลับตอบสนองต่อสัมผัสของเขาอย่างไม่น่าให้อภัย อ๊าก! นี่ข้าเป็นอะไรไปเนี่ย เหตุใดร่างกายกับความรู้สึกของข้าถึงได้ขัดแย้งกันเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้น? ในขณะที่ซือซิงมัวแต่สับสนวุ่นวายกับความคิดของตนอยู่นั้น เว่ยจิ่นกวางกลับฉวยโอกาศที่นางเผลอครอบครองริมฝีปากบางอย่างรวดเร็ว   ดวงตาคู่งามพลันเบิกโพลงอย่างตกตะลึง ลิ้นอันร้อนระอุค่อยๆ เกี่ยวตวัดลิ้นของซือซิงอย่างช้าๆ ราวกับจะพยายามกอบโกยเอาความหวานล้ำจากกลีบปากบางจนหมดสิ้น ในช่วงเวลานั้นมันช่างยาวนาน...นานเสียจนนางแทบจะหยุดหายใจ ในหัวสมองของนางขาวโพลนไปหมด ราวหนึ่งเค่อกว่าริมฝีปากบางของซือซิงจะเป็นอิสระ “นี่ท่าน...จูบข้ารึ?” หญิงสาวเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ใบหน้าของนางแดงเถือกราวกับเอาชาดสีแดงมาทาทั่วใบหน้า จูบแรกของข้า! กอดแรกของข้า! เจ้ามันคนถ่อยหน้าไม่อาย กล้าดีอย่างไรมาขโมยจูบข้า! ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างไม่ใส่ใจ “สามีจะจูบภรรยาของตัวเองไม่ได้เชียวรึ?”  “นี่เจ้า!...เจ้า!...เจ้า!...” ซือซิงถึงกับพูดติดอ่างไปชั่วขณะ ให้ตายสิ! แล้วข้าจะหาเหตุผลอันใดมาแย้งเขาได้ ในเมื่อร่างที่นางอยู่ในตอนนี้เป็นภรรยาของชายหน้าหนาผู้นี้ แต่เจ้าจะรู้ไหมว่าวิญญาณอย่างข้านั้นเป็นสาวพรหมจรรย์ไม่เคยต้องมือชายใดเชียวนะ เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าจูบแรกของข้ามันสำคัญกับข้ามากเพียงใด ตอนนี้ข้าขอยืนไว้อาลัยแด่จูบแรกของข้าได้หรือไม่ มันช่างรวดเร็วทันใจเสียจนข้ายังไม่หนำใจ เอ๊ย! ยังไม่ทันตั้งตัวเลย “เจ้า! เจ้า! เจ้า! อะไรรึ?” ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เขยิบไปใกล้ใบหน้างามช้าๆ ดวงตาของทั้งคู่พลันประสานกัน ด้วยความเขินอายบวกกับโดนเขาไล่ต้อนจนจนมุม ซือซิงจึงไม่รอช้ายกเท้าน้อยๆ ของนางกระทืบไปที่เท้าของเขาอย่างสุดแรง “เจ้าบ้า! อย่างไรเล่า” “โอ๊ย! นี่เจ้า...” ซือซิงแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา ก่อนจะใช้วิชาเท้าเบาเวหาวิ่งหนีไปแทบจะในทันที ใครจะอยู่ให้เจ้ารังแกให้โง่ล่ะ แค่นี้ข้าก็โดนเจ้าเอาเปรียบจนขาดทุนย่อยยับหมดแล้ว “เว่ยหนิงเซียน...แล้วเราจะได้เห็นดีกัน” “ข้าไม่กลัว” ร่างบางร้องตะโกนตอบกลับ ก่อนจะกระโดดข้ามพุ่มไม้ในเรือนตะวันออกหนีหายไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววขบขำ “เซียนเอ๋อร์ เจ้านี่ช่างโง่งมนัก กล้าพูดได้อย่างไรว่าไม่กลัวข้า หรือว่าวันนี้เจ้าเผลอไปกินดีหมีหัวใจเสือมารึ? เจ้าไม่ต้องห่วงนะ ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในเรือนสกุลเว่ย ข้าจะแสดงให้เจ้าได้รู้เองว่าโทษฐานแห่งการไม่เกรงกลัวข้า เจ้าต้องชดใช้มันอย่างไรบ้าง” รอยยิ้มชั่วร้ายค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเว่ยจิ่นกวาง นัยน์ตาสีเข้มแอบเป็นประกายอยู่ลึกๆ เรือนตะวันตก... ซือซิงวิ่งแกมเดินจนมาถึงประตูหน้าเรือน แต่ก่อนที่หญิงสาวจะก้าวเข้าไปในเรือนอย่างรีบเร่งดวงตาคู่งามพลันไปสะดุดเข้ากับร่างผู้คุมทั้งสองที่นอนแผ่หลาอยู่หน้าเรือนโดยบังเอิญ ชายทั้งสองนอนแน่นิ่งอยู่ในท่าเดิมเหมือนกับว่าพวกเขายังไม่ได้สติอย่างไรอย่างนั้น นี่พวกเขายังไม่ตื่นอีกรึ? หรือว่าฤทธิ์ของชาชุนเทียนที่นางให้พวกเขาดื่มจะออกฤทธิ์แรงเกินสองชั่วยาม ไวเท่าความคิด ซือซิงรีบเร่งฝีเท้าไปที่ห้องนอนของนางในทันที ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของนางคือ ร่างของสาวใช้ทั้งสองยังคงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่เช่นเดิม หรือว่าสิ่งที่ข้าคาดการณ์ก่อนหน้านี้มันผิดถนัด ฤทธิ์ของชาชุนเทียนแท้ที่จริงแล้ว...หรือว่าข้าจะจำผิด! ที่ข้านึกว่าสองชั่วยาม ไม่นะ! หรือว่ามันจะออกฤทธิ์ถึงสองวัน ตายแล้ว! แล้วหลังจากนี้พวกเขาจะเป็นเช่นไร ข้านี่ช่างเลอะเลือนอะไรเยี่ยงนี้ ฮวาฮวา ฮวาเอ๋อร์ข้าขอโทษ ผู้คุมทั้งสองด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ อภัยให้ข้าด้วยเถอะ! ว่าแล้วซือซิงก็รีบจัดการเก็บกวาดหลักฐานอย่างมิดชิด นางลากร่างของผู้คุมมาอยู่อีกห้องหนึ่งที่อยู่ติดกับห้องของนาง ก่อนจะแบกร่างสาวใช้ทั้งสองกลับไปที่ห้องนอนของพวกนาง และจัดแจงห่มผ้าให้พวกนางอย่างเรียบร้อย หากเว่ยจิ่นกวางเกิดครึ้มใจมาหาข้าในตอนนี้ อย่างน้อยก็ยังพอมีเวลาให้ข้าได้ประวิงเวลาเตรียมใจหาข้ออ้างรับมือเขาได้บ้าง สถานการณ์ในตอนนี้ช่างไม่ดีต่อใจกับข้าเสียเลยจริงๆ เฮ้อ! ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ซือซิงถึงได้พอจะมีเวลานั่งเหม่อลอยคิดทบทวนเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในวันนี้อีกครั้ง เริ่มจากตอนที่เจอชายแปลกหน้ารูปงาม แต่นางดันลืมถามชื่อแซ่เขาเสียอย่างนั้น บุรุษผู้นั้นเป็นใครกัน? เขามีความสัมพันธ์แบบใดกับเว่ยหนิงเซียน ดูจากสีหน้าและแววตาของเขาที่แสดงออกถึงอาการตกตะลึงเพราะท่าทางที่เปลี่ยนไปจากเดิมของนาง ยิ่งทำให้นางเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล หากตอนนั้นนางไม่มัวแต่หิวข้าวจนตาลายขาดสติแล้วละก็ ป่านนี้นางคงรู้แล้วกระมังว่าบุรุษรูปงามผู้นั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นใครกันนะ เฮ้อ! เหตุใดลางสังหรณ์ของข้าถึงได้รู้สึกแปลกๆ กับเจ้าหน้าหยกกันนะ คล้ายกับว่าคนผู้นี้จะต้องนำพาเรื่องเดือดร้อนมาให้ข้าไม่ช้าก็เร็ว สวรรค์! ขออย่าให้มันเป็นอย่างที่ข้าคิดเลยนะเจ้าค่ะ จู่ๆ ภาพของใครบางคนก็ผุดขึ้นมาในสมองของนาง ดวงตาเรียวคมคู่นั้น สัมผัสอ่อนนุ่มบริเวณปากของนาง ให้ตายสิ! นี่เขากล้าดีอย่างไรมากอดจูบข้า นี่ข้าสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วใช่หรือไม่? ปากคู่งามของข้า ตอนนี้มันแปดเปื้อนราคีหม่นหมองไปหมดแล้วใช่ไหม ฮือๆ “เจ้าน้ำแข็งพันปี เจ้ากล้านักนะที่กล้ารังแกข้า! เจ้ามันโจรราคะ คนโฉดชั่วไร้ยางอาย ข้าจะฆ่าเจ้า!” ในขณะเดียวกันพ่อบ้านหลี่ก็ค่อยๆ ย่างเท้าเข้ามาในห้องของซือซิงอย่างช้าๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัยใคร่รู้ “ฮูหยินจะฆ่าใครหรือขอรับ” “ถามมาได้ ก็ฆ่าเว่ยจิ่นกวางนะสิ” เดี๋ยวก่อนนะ ใครถามนางอย่างนั้นหรือ? ในเมื่อตอนนี้ทั่วทั้งเรือนมีนางแค่คนเดียวที่นั่งหัวโด่อยู่ตรงกลางห้อง ร่างบางค่อยๆ หันหน้าไปตามเสียงของผู้ที่มาใหม่อย่างช้าๆ พลันเห็นเงาร่างของบุรุษชุดขาวยืนจ้องมองนางอยู่ที่หน้าประตูอยู่เงียบๆ เขาคือพ่อบ้านหลี่ใช่หรือไม่ พ่อบ้านประจำตัวของเว่ยจิ่นกวาง “เอ่อ...เอ่อ...คือเมื่อตะกี้ข้าพูดผิดไปนิดหน่อย ข้าจะบอกว่า...ข้าจะ...เออใช่! ข้าจะฆ่ายุ่ง ใช่ๆ ฆ่ายุง เพราะยุงที่นี่เยอะมากจริงๆ นะ!” ไม่พูดเปล่า ซือซิงก็จัดการทำท่าทางตบยุงเป็นพัลวัน  “อย่างนั้นหรือขอรับ” พ่อบ้านหลี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่สายตาของชายหนุ่มกลับเพ่งไปที่กำยานไล่ยุงข้างเตียงนอน ซือซิงรีบหันไปตามสายตาของพ่อบ้านหนุ่มในทันที ตายล่ะ! ผู้ใดจุดกำยานทิ้งไว้กัน ไม่รอช้า ซือซิงรีบเร่งฝีเท้าไปที่เตากำยานในทันที ก่อนจะรีบยื่นมือของนางเข้าไปแอบดับไฟในนั้นอย่างรวดเร็ว “ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมยุงที่นี่ถึงได้เยอะเพียงนี้ ที่แท้กำยานของข้ายังไม่ได้จุดไฟนี่เอง” ขณะที่นางกำลังพูดแก้ตัวอยู่นั้น ควันของกำยานที่เพิ่งจะถูกดับก็ค่อยๆ ลอยพวยพุ่งอยู่ข้างหลังนาง ทำให้พ่อบ้านหลี่แอบเผลอคลี่ยิ้มจางๆ เสียไม่ได้ ฮูหยินช่างเปลี่ยนไปมากจริงๆ เปลี่ยนไปราวกับคนละคน เมื่อเห็นพ่อบ้านหนุ่มเอาแต่คลี่ยิ้มไม่พูดไม่จา ซือซิงจึงรีบเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุยในทันที “พ่อบ้านหลี่มาหาข้ามีธุระอันใดรึ?” ชายหนุ่มกระแอมครั้งหนึ่ง ก่อนจะตอบคำถามของนางด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเช่นเดิม “เรียนฮูหยิน นายท่านสั่งข้าให้นำความมาบอกท่านว่า พรุ่งนี้นายท่านจะมาพักกับฮูหยินที่เรือนขอรับ” ดวงตาคู่งามพลันเบิกกว้าง “เจ้าว่าอย่างไรนะ! เจ้าพูดใหม่อีกทีสิ!” “นายท่านบอกว่าพรุ่งนี้จะมาพักที่เรือนหลังนี้กับฮูหยินขอรับ” ร่างอรชรถึงกับทรุดนั่งลงไปกับพื้นแทบจะในทันที ใบหน้างามฉายแววกลัดกลุ้มใจ “ฮูหยิน! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” พ่อบ้านหลี่กำลังจะยื่นมือช่วยพยุงร่างนาง แต่หญิงสาวกลับส่งสัญญาณให้เขาหยุด “เจ้าไปเถอะ…ข้าอยากอยู่คนเดียว” “ขอรับ” พ่อบ้านหลี่รับคำอย่างงงๆ ก่อนจะเดินจากไปในที่สุด คล้อยหลังพ่อบ้านหลีไปเพียงครู่ ร่างบอบบางพลันตะโกนเสียงดังลั่น “เว่ยจิ่นกวางข้าจะฆ่าเจ้า!” หากย้อนเวลากลับไปได้ นางจะไม่เผลอปากพล่อยเอ่ยท้าทายเขาเลย แล้วหลังจากนี้นางจะรับมือกับเขาอย่างไรดี ไหนจะเรื่องผู้คุมและสาวใช้ทั้งสองที่ยังหลับไม่ได้สติอีก สวรรค์! ตอนนี้ข้ามืดแปดด้านจริงๆ นะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD