5 สุราครวญคะนึง

4285 Words
เมื่อตะวันโผล่ขึ้นขอบฟ้าในยามเฉิน* ร่างบอบบางของใครบางคนเดินวนไปวนมาอยู่ในเรือนราวกับหนูติดจั่น ใบหน้างามขมวดคิ้วมุ่นด้วยท่าทีร้อนใจ ตายแน่ๆ ข้าจะทำอย่างไรดี เมื่อคืนข้ามัวแต่กังวลเรื่องของเว่ยจิ่นกวางจนเผลอลืมถามเวลากับพ่อบ้านหลี่ แล้วอย่างนี้ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะมาหาข้าในยามใด ทั้งสาวใช้และผู้คุมก็ยังไม่ได้สติ ถ้าเกิดเขาบุ่มบ่ามมาหาข้าตอนนี้ มิเท่ากับความแตกหรอกรึ? แม้ลึกๆ นางจะแอบสังหรณ์ใจอยู่แล้วว่าเขาอาจจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว แถมเมื่อคืนนี้พ่อบ้านหลี่ยังไม่แสดงท่าทีใดๆ เมื่อไม่เจอผู้คุมและคนของนาง ก็ยิ่งตอกย้ำได้เป็นอย่างดีว่าเขาน่าจะคาดเดาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย ถึงได้ใช้แผนการนี้เพื่อตลบหลังนาง หวังว่าครั้งนี้ข้าคงไม่คิดไปเองอีกนะ ซือซิงเดินวนรอบโต๊ะไปมาราวกับคนเสียสติ “ข้าจะทำอย่างไรดี ข้าจำทำเช่นไรดี อ๊าก!” ภายในเสี้ยววินาทีที่ร่างบางเริ่มจะตาลายนั้นเอง สายตาของซือซิงพลันไปสะดุดเข้ากับกาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะ ดวงตาเรียวงามพลันเปล่งประกายวิบวับราวกับคิดแผนการอะไรได้บางอย่างขึ้นได้ หญิงสาวกระตุกมุมปากยิ้มอย่างชั่วร้าย “ในเมื่อพวกเจ้าไม่ยอมตื่น ข้าก็มีวิธีที่จะจัดการกับพวกเจ้า!” เวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูป ซือซิงแบกถังไม้ที่บรรจุน้ำมาเต็มสองถัง ก่อนจะค่อยๆ เดินลากเท้าเข้าไปห้องนอนของสาวใช้ทั้งสอง ร่างบางยืนจ้องมองร่างของหญิงสาวทั้งสองด้วยความรู้สึกผิด “ฮวาฮวา ฮวาเอ๋อร์ ข้าขอโทษนะ ข้าจำเป็นจริงๆ” พอพูดจบนางก็จัดการสาดน้ำในถังใส่พวกนางในทันที เพียงไม่นานหลันฮวาก็เป็นคนแรกที่ส่งเสียงไอออกมา “แค่กๆ” และตามด้วยเหลียนฮวา “แค่กๆ” ทั้งสองค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนจะสบตากันด้วยความมึนงง หลังจากพวกนางมองสำรวจรอบๆ ห้องอยู่นานก็เห็นเพียงถังน้ำสองใบเท่านั้น “มันผู้ใดที่บังอาจสาดน้ำปลุกข้า!” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคืองโกรธ หลันฮวาพูดเสริมด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม “อย่าให้ข้ารู้นะว่าเป็นผู้ใด ข้าจะจับมันถ่วงน้ำเสียให้เข็ด!” ซือซิงลอบกลืนน้ำลายขณะที่แอบดูพวกนางอยู่นอกประตู “จับถ่วงน้ำยังถือว่าปราณี ข้าว่าตัดมือมันออกด้วยจึงจะสาสม” เฮือก! นี่พวกเจ้าใจคอโหดร้ายถึงเพียงนี้เชียวรึ? ข้าแค่สาดน้ำใส่พวกเจ้าแค่สองถังเองนะ ถึงกับจะตัดมือถ่วงน้ำกันเลยหรือ หลังจากยืนฟังคำด่าทอและสาปแช่งตนของพวกนางอยู่นาน ซือซิงก็เริ่มจะทนไม่ไหว นางจึงตัดสินใจปรากฏกายต่อหน้าสาวใช้ทั้งสองด้วยใบหน้ารู้สึกผิด ก่อนจะพยายามตีหน้าเศร้าเล่าความจริงแค่ครึ่งคำให้หญิงสาวทั้งสองฟังอย่างละเอียด “เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรดี” ซือซิงจัดการใส่สีตีไข่เรื่องที่เกิดขึ้นเสียจนนางเป็นคนที่น่าสงสารและเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว “โถ...ฮูหยินของบ่าวช่างน่าสงสารนัก พวกข้าผิดเองที่ดื่มชาแล้วเผลอหลับไป บ่าวไม่รู้ว่าชาชุนเทียนจะมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับ” ซือซิงพยายามเล่าต่ออีกว่า “ตอนแรกข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีที่เห็นพวกเจ้าจู่ๆ ก็หลับไป ข้าร้อนใจนัก จึงรีบวิ่งไปหาผู้คุมหน้าเรือน แต่กลับปรากฏว่าพวกเขาก็สลบไสลไม่ได้สติเช่นเดียวกับพวกเจ้า เดิมทีข้ากะจะไปแจ้งที่เรือนใหญ่ให้ทราบ แต่ข้าก็ต้องชะงักเพราะคำสั่งห้ามของท่านพี่ ข้าเลยตัดสินใจแอบปีนกำแพงออกไปตามหาท่านหมอเพื่อมาดูอาการของพวกเจ้าแทน” “โถ...ฮูหยินของบ่าว โชคดีที่ท่านดื่มชาไปเพียงนิดเดียว ไม่อย่างนั้นพวกข้าก็ไม่อยากจะคิดว่าจะเกิดอันใดขึ้น” เหลียนฮวาพูดพลางซับน้ำตาไปพลาง “ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น...คือหลังจากที่ข้าหลงทางอยู่ข้างนอกอยู่พักใหญ่ ขณะที่ข้ากำลังจะปีนกำแพงตะวันออกเพื่อกลับเรือน ข้ากลับเจอนายท่านของพวกเจ้า เขาด่าทอข้า รังแกข้า ทำโทษข้าสารพัดเพียงเพราะข้าแอบออกไปข้างนอกเพื่อตามหาท่านหมอให้พวกเจ้า” ขณะที่พูดหญิงสาวค่อยๆ ใช้หลังมือปาดน้ำตา “แต่เขากลับไม่ฟังเหตุผลของข้า และเอาแต่ด่าทอข้าอยู่ฝ่ายเดียว ก่อนจะจากกันเขายังกำชับกับข้าอีกว่าวันนี้เขาจะมาค้างคืนกับข้า เขาจะมาเพื่อรังแกข้าใช่หรือไม่” หยาดน้ำใสๆ ไหลรินลงมาจากดวงตาคู่งามอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ใบหน้างามฉายแววเศร้าโศกเสียใจ “โถ...ฮูหยินของบ่าว” สาวใช้ทั้งสองต่างร่ำไห้และรีบกอดปลอบนางในทันที สำเร็จ! จากนี้ไปข้ามีไม้กันหมาแล้ว นี่สินะที่เขาเรียกว่ายิงเกาทัณฑ์ดอกเดียวได้นกสองตัว ดวงตาคู่งามจ้องหญิงสาวทั้งสองด้วยความคาดหวัง “ถ้าอย่างนั้น...พวกเจ้าทั้งสอง...ช่วยข้าได้หรือไม่?” “ท่านจะให้พวกข้าช่วยอย่างไรหรือ?”  เยี่ยม! เว่ยจิ่นกวาง เจ้าอย่าได้คิดจะดูเบาข้าเชียวล่ะ เพราะข้าไม่ได้อ่อนปวกเปียกที่จะยอมให้ผู้ใดมารังแกข้าได้ง่ายดายหรอกนะ ใบหน้าเศร้าโศกพลันแปรเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที “ถ้าอย่างนั้น...พวกเรามาเริ่มแผนการกันเถอะ!” หลันฮวาเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แผนการอันใดหรือเจ้าคะ?” ซือซิงรีบตอบคำถามนางในทันที “ช่วยหญิงงามให้รอดพ้นจากโจรราคะ” เหลียนฮวาเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ “ผู้ใดเป็นโจรราคะเจ้าคะ?” ซือซิงยิ้มอ่อนพลางตอบคำถามพวกนาง “เว่ยจิ่นกวาง” “นายท่านหรือเจ้าคะ?” “ใช่” “แต่ว่าฮูหยิน...” “พวกเจ้าไม่ต้องพูด แค่ทำตามที่ข้าสั่งก็เพียงพอแล้ว” ซือซิงรีบพูดตัดบท ก่อนจะเล่าแผนการของนางในทันที เมื่อสาวใช้ทั้งสองได้ฟังแผนการที่นางเล่าจนจบ ทั้งสองต่างก็มีสีหน้าตื่นตะลึง พวกนางรีบส่ายหน้าปฏิเสธเป็นพัลวัน “พวกข้าทำไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ขืนพวกข้าขวัญกล้าลงมือทำแบบนั้นกับนายท่านไป มีหวังว่าชีวิตน้อยๆ ของพวกเราคงจบสิ้นแน่ๆ” เหลียวฮวารีบคุกเข้าอ้อนวอนนางเพื่อขอความเห็นใจ “พวกข้าถูกขายเข้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็ก จะให้บ่าวทรยศต่อสกุลเว่ย บ่าวทำไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองคุกเข่าอ้อนวอนนางทั้งน้ำตา ข้าอยากจะบ้าตาย แค่ให้วางยาถ่ายลงในจอกชาของเว่ยจิ่นกวางแค่นั้น พวกเจ้าถึงกลับกลัวจนหัวหดขนาดนี้เชียวรึ? ก็ได้ในเมื่อพวกเจ้าไม่ทำ ข้าก็จะหาวิถีทางวางยาเขาเองก็ได้! “ได้! ข้าจะไม่บีบบังคับพวกเจ้าก็ได้ พวกเจ้าแค่นั่งรอดูเขารังแกข้าก็แล้วกัน แต่ครั้งนี้ข้าไม่ขอรับประกันว่าข้าจะรอดพ้นจากประตูผีเหมือนครั้งก่อนได้หรือไม่” ข้ายืมมือพวกเจ้าไม่ได้ แต่ก็ยังบีบบังคับพวกเจ้าทางอ้อมได้ใช่หรือไม่ ข้าอยากรู้นักว่าพวกเจ้าจะเลือกชั่งน้ำหนักด้านไหนมากกว่ากัน “ฮูหยิน เหตุใดท่านถึงได้บีบคั้นพวกข้านัก” สาวใช้ทั้งสองเริ่มแสดงสีหน้าลำบากใจ “พวกเจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด แล้วจะมีผู้ใดล่วงรู้ ข้ารับปากว่าจะไม่ทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนเพราะข้าแน่นอน” คำพูดของซือซิงทำให้สาวใช้ทั้งสองจำนนและจำใจที่จะหาเหตุผลมาโต้แย้งนางได้อีก “แล้วฮูหยินจะให้พวกข้าทำเช่นไรหรือเจ้าคะ” สำเร็จ! ใบหน้างามคลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างมีจริตจะก้าน “พวกเจ้าแค่หายาถ่ายมาให้ข้าก็พอ ส่วนเรื่องอื่นข้าจะจัดการเอง” “แล้วพวกข้าจะไปหายาถ่ายมาจากที่ใดเจ้าคะ”  เฮ้อ! ตอนแรกข้าก็คิดว่าพวกนางจะเป็นสาวใช้ที่ฉลาดหลักแหลม แต่ไฉนหลังจากที่พวกเจ้าดื่มชาชุนเทียนเข้าไปกลับเป็นสตรีที่โง่งมถึงเพียงนี้กัน หรือพวกนางจะกลัวเว่ยจิ่นกวางจนขึ้นสมองก็เลยเลอะเลือนไปชั่วขณะรึ? “แค่บอกกับผู้คุมหน้าเรือนว่าพวกเจ้าท้องผูกอาหารไม่ย่อยก็แล้วกัน” “...” “ส่วนผู้คุมทั้งสองที่ยังไม่ตื่น พวกเจ้าก็จัดการพวกเขาอย่างที่ข้าทำกับพวกเจ้าก็แล้วกัน” ซือซิงพูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้น ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้สาวใช้ทั้งสองนั่งสบตากันด้วยใบหน้ากลัดกลุ้มใจ “ฮูหยิน...เหตุใดท่านถึงเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้นะ”          ยามเซิน* ภายในเรือนหลังใหญ่ ร่างสูงใหญ่ของเว่ยจิ่นกวางกำลังนั่งก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่ริมหน้าต่าง ใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบนิ่งไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา          ในขณะนั้นเองพ่อบ้านหนุ่มพลันก้าวเข้ามาในเรือนอย่างรีบเร่งและดูมีท่าทีร้อนรน          ชายหนุ่มพลันเงยหน้าขึ้นมาจากกองหนังสือ “ว่ามาสิ! เจ้าสืบได้อะไรมาบ้าง”          “เรียนนายท่าน จากที่ข้าแอบดูพฤติกรรมของฮูหยินในวันนี้ นางมีท่าทางที่ผิดปกติจากเดิมมากเลยขอรับ” ดวงตาเรียวคมวูบไหวชั่วขณะ “ว่ามา นางมีท่าทางผิดปกติอย่างไรบ้าง” “วันนี้ข้าได้ยินว่าสาวใช้ทั้งสองของฮูหยินเกิดอาการท้องผูก ข้าน้อยสังเกตเห็นท่าทางของพวกนางมีท่าทีร้อนรนดูมีลับลมคมใน แถมพวกนางยังแอบกระซิบกระซาบกับบ่าวหน้าเรือนเหมือนกับจะใช้ให้พวกเขาไปซื้ออะไรบางอย่างให้ด้วยขอรับ” “อย่างนั้นรึ?” เว่ยจิ่นกวางขมวดคิ้วนิดๆ อย่างครุ่นคิด หากเขาเดาไม่ผิด คืนนี้นางคงจะเตรียมรับมือการมาเยือนของเขาอย่างรัดกุมแล้วกระมัง เพื่อหลีกเลี่ยงข้า เจ้าถึงกับสิ้นเปลืองแรงวางยาข้าเชียวรึ...เซียนเอ๋อร์ แต่เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกนะ ราตรีนี้ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าเล่นงานข้าอยู่ฝ่ายเดียวเป็นแน่ ข้าจะตอบแทนความหวังดีของเจ้าอย่างเท่าทวี ให้สาสมกับที่ผ่านมาข้าไม่เคยได้รับมันจากเจ้าก็แล้วกัน ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มนิดๆ ราวกับอสรพิษ “พ่อบ้านหลี่ ราตรีนี้เจ้าเตรียมสุราครวญคะนึงมาให้ข้าด้วยหนึ่งไห” ดวงตาของพ่อบ้านหนุ่มพลันเบิกโพลงอย่างตกตะลึงหลังจากได้ยินคำว่า ‘สุราครวญคะนึง’ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้ามีหน้าที่แค่นำมันออกมาให้ข้าก็พอ” “ขอรับ” แสงจันทร์ส่องกระทบกิ่งเหมยในเรือนตะวันตก สายลมอ่อนๆ พัดวูบผ่านใบหน้างามหอบเอาความสดชื่นจางๆ ชวนให้ร่างบางรู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจ กลิ่นหอมปริศนานี้ทำให้ซือซิงที่กำลังนั่งเล่นอยู่หน้าเรือนถึงกับเคลิบเคลิ้มหลงใหลไปชั่วขณะ “นี่มันกลิ่นอะไรกัน เหตุใดช่างดูสดชื่นระคนเย้ายวนใจนัก!” นางพยายามสูดดมกลิ่นหอมนั้นจนเต็มปอด ขณะที่ร่างอรชรกำลังเคลิบเคลิ้มและดื่มด่ำกับกลิ่นหอมปริศนาอยู่นั้น เสียงของใครอีกคนก็เอ่ยถามขึ้นขัดจังหวะอารมณ์สุนทรีย์ของนางในทันที “ไม่นึกว่าน้องหญิงจะชมชอบกลิ่นสุราของข้าถึงเพียงนี้ ถึงกับเคลิบเคลิ้มเลยรึ?” ร่างบางรีบหันขวับไปมองตามเสียงของผู้ทีมาใหม่ในทันที เมื่อนางรู้ว่าเป็นใคร ดวงตาคู่งามพลันฉายแววขุ่นเคือง          เว่ยจิ่นกวางคลี่ยิ้มอย่างเบิกบานใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาไม่พอใจของอีกฝ่าย “สามีอย่างข้ามาหาเจ้าถึงเรือน เหตุใดภรรยาเช่นเจ้าถึงมีสีหน้าบึ้งตึงนัก หรือว่าเจ้าไม่ดีใจหรอกรึ?”          ดีใจกับผีนะสิ! ใครอยากเจอหน้าเจ้ากัน เจ้าน้ำแข็งพันปี เมื่อเห็นว่านางจ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เว่ยจิ่นกวางก็รู้สึกเบิกบานใจอย่างบอกไม่ถูก “เซียนเอ๋อร์ เจ้าจะไม่เชิญสามีของเจ้าเข้าไปในเรือนหน่อยรึ?” ย้ำจังนะคำว่า ‘สามี’ กลัวผู้อื่นไม่รู้หรือไรว่าเจ้าเป็นสามีข้า เจ้าคนฉวยโอกาส! ซือซิงพยายามข่มกลั้นความไม่พอใจอย่างสุดกำลัง ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าและท่าทางเชิญชวนเขาเข้าไปข้างใน เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ* อาหารทุกอย่างก็ถูกนำมาวางเรียงรายไว้เต็มโต๊ะ บรรยากาศภายในห้องตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางๆ ทั่วบริเวณ ไม่รอช้า เว่ยจิ่นกวางรีบเปิดปากไหสุราทันที กลิ่นหอมของมันฟุ้งกำจายไปทั่วห้องอย่างปิดไม่มิด ยิ่งอยู่ในห้องที่ปิดประตูหน้าต่างอย่างมิดชิดด้วยแล้ว กลิ่นสุราครวญคะนึงยิ่งหอมเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าทวี ภายในห้องมีเพียงเขาและนางเท่านั้น ซือซิงเริ่มอึดอัดและเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย นางจึงรีบชิงลงมือก่อนเพื่อไม่ให้เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ซือซิงรีบเอ่ยปากถามทันทีที่เห็นอีกฝ่ายค่อยๆ รินสุราใส่จอกเหล้าอย่างใจเย็น “ท่านพี่ ไยท่านถึงรีบร้อนดื่มสุรานัก เหตุใดไม่จิบชาเบาๆ รองท้องสักจอกหนึ่งก่อนเจ้าคะ” หญิงสาวพูดพลางหยิบกาน้ำชาเทใส่ในจอกชาทันที มือน้อยๆ ค่อยๆ ยกจอกชายื่นให้เขาอย่างอ่อนช้อย “ท่านดื่มชาสักจอกเถอะ! ข้าเป็นห่วงว่ากระเพาะของท่านจะแสบหากดื่มสุราตอนที่ท้องยังว่าง” ดวงตาเรียวคมวูบไหวชั่วขณะ ก่อนจะคลี่ยิ้มจางๆ พลางยื่นมือไปรับจอกชาจากมือนาง ฮึ! ทำเป็นวางท่า สุดท้ายก็ตกหลุ่มพลางข้าอยู่ดี อุวะฮะฮ่า ซือซิงลอบยิ้มในใจอย่างเป็นต่อ “ท่านพี่ ไยท่านถึงไม่รีบดื่มชาเล่า ประเดี๋ยวชาร้อนๆ จะเย็นเสียรสชาติหมดนะเจ้าค่ะ” เว่ยจิ่นกวางยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามนาง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ยื่นจอกเหล้าเล็กๆ ในมือให้นางดื่มเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ร่างบางคลี่ยิ้มน้อยๆ อย่างเขินอายพลางรับเอาจอกเหล้ามาจากมือเขาอย่างรวดเร็ว “แหม! ท่านพี่ ท่านนี่ช่างใจร้อนเสียจริงๆ ข้ายังไม่ทันได้กินอะไรรองท้อง ท่านก็รีบยัดเยียดสุราหนึ่งจอกให้ข้าเสียแล้ว เพื่อให้ไม่เป็นการเสียน้ำใจ ข้าขอดื่มให้ท่านก็แล้วกัน” พอพูดจบซือซิงก็รีบยกจอกเหล้ากระดกหมอดจอกอย่างรวดเร็ว  ดวงตาคู่งามพลันเป็นประกาย “สุราดี! รสเลิศหาใดเปรียบ ข้าเพิ่งจะเคยได้ลิ้มรสเหล้าที่หอมหวานเช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ช่างถูกปากข้ายิ่งนักท่านพี่” เหล้าเพียงแค่จอกเดียวก็ทำให้ซือซิงถึงขั้นเผลอลืมตัวพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกมาจนหมดสิ้น ร่างสูงใหญ่พลันชะงักไปครู่หนึ่ง เพิ่งเคยดื่มเหล้าที่หอมหวานเช่นนี้เป็นครั้งแรก? งั้นก็แสดงว่านางเคยดื่มสุรามาก่อนอย่างนั้นรึ? นางไม่เคยดื่มสุรามาก่อนไม่ใช่หรือ เขายังจำคืนนั้นได้เป็นอย่างดี คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืดและเป็นคืนเข้าหอครั้งแรกของพวกเรา เขาพยายามที่จะมอมเหล้านาง และหวังว่าฤทธิ์ของสุราจะทำให้นางยินยอมพร้อมใจตกเป็นของเขา แต่การกระทำของนางในคืนนั้นกลับทำให้เขารู้สึกผิดหวังนัก นอกจากนางจะไม่แตะต้องจอกเหล้าที่เขายื่นมาให้แล้ว นางยังขอแยกห้องนอนกับเขาโดยอ้างเหตุผลว่า ‘ข้าแพ้กลิ่นสุรา ข้าจึงไม่สามารถดื่มเป็นเพื่อนท่านได้ ขออภัยที่ข้าต้องขอแยกห้องนอนกับท่านทั้งที่วันนี้เป็นคืนเข้าหอครั้งแรกของพวกเรา’  แล้วสตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ล่ะเป็นใคร? เหตุใดนางถึงไม่เพียงปฏิเสธ แต่ยังเป็นฝ่ายยกจอกเหล้าดื่มรวดเดียวราวกับคนที่คุ้นชินกับการดื่มเป็นอย่างดี เจ้าเป็นใครกันแน่? เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่เงียบและจ้องมองนางอย่างแปลกๆ สายตาของเขาราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่างในตัวนางอย่างไรอย่างนั้น สัญชาตญาณของซือซิงจึงรีบเตือนภัยในทันที แถมจอกชาในมือของเขาก็ยังไม่พร่องไปแม้แต่หยดเดียว “เหตุใดท่านพี่ถึงไม่ดื่มชารึ? หรือว่าท่านรังเกียจชาของข้าอย่างนั้นหรือ” “เปล่า ข้าเพียงแค่กำลังคิดอะไรบางอย่างก็เลยเผลอใจลอยไปบ้าง” เว่ยจิ่นกวางยิ้มน้อยๆ พลางยกจอกชาขึ้นดื่มหมดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากช้าๆ แล้วแอบบ้วนช้านั้นทิ้งอย่างไม่ให้ผิดสังเกต ซือซิงเผลอยิ้มอย่างลืมตัวเมื่อเห็นอีกฝ่ายดื่มชาของนางจนหมดจอก ท่านพี่ แม้ว่าน้ำในจอกชาจะมีเพียงนิด แต่ปริมาณยาถ่ายที่อยู่ในชานั้นเข้มข้นนัก! ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าต้องสิ้นเปลืองแรงมากเพียงใดที่หาชาอู่เหมยที่มีกลิ่นแรงมาเพื่อมากลบเกลื่อนกลิ่นของยาถ่ายได้ แต่ท่านพี่ไม่ต้องห่วงนะ เพราะราตรีนี้ท่านจะได้นอนเฝ้าห้องน้ำทั้งคืน อุวะฮะฮ่า เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม อาหารบนโต๊ะเหลือเพียงจานว่างเปล่า ส่วนไหสุราใบเขื่องก็ถูกใครบางคนแย่งดื่มไปจนหมดอย่างรวดเร็ว ใบหน้าขาวเนียนของซือซิงเริ่มแดงก่ำไปด้วยพิษของสุรา เมื่อเขามั่นใจว่านางเริ่มเมาแล้ว เว่ยจิ่นกวางจึงไม่รอช้าเปิดปากเอ่ยถามนางในทันที “เซียนเอ๋อร์ เจ้าเมาแล้วหรือ” “เอิ้ก! ข้าเปล่าเมาเสียหน่อย” ซือซิงปฏิเสธเสียงอ่อน สายตาของนางเริ่มพร่าเลือน ข้ายังไม่เมา ข้ายังมีสติเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน! แค่เหล้าไหเดียวทำอะไรข้าไม่ได้หรอก อุวะฮะฮ่า เว่ยจิ่นกวางพลันชูนิ้วสองนิ้วของตนตรงหน้านาง พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “นี่กี่นิ้ว?”          ตลก! เห็นอยู่ว่าสามนิ้วถามมาได้อย่างไร ข้าไม่ได้เมาเสียหน่อย “สี่นิ้ว” ใบหน้าหล่อเหลาแอบคลี่ยิ้มจางๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าถามอะไรเจ้าอีกอย่างหนึ่งได้หรือไม่” “หลายอย่างก็ได้ เจ้ามีอะไรก็ว่ามา” ด้วยฤทธิ์ของสุราจึงทำให้ซือซิงตอบรับเขาอย่างลืมตัว “เจ้าเป็นใคร?” หลังจากที่สังเกตพฤติกรรมของนางจนมาถึงตอนนี้ ก็ยิ่งทำให้เขาเริ่มมั่นใจได้ราวแปดส่วนว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้อาจจะไม่ใช่ภรรยาคนเดิมที่เขารู้จัก และไม่น่าจะเป็นเพราะผลพวงจากยาพิษที่นางดื่มเข้าไปด้วย เพราะหลายวันที่ผ่านมาเขาพยายามสืบค้นจากตำราการแพทย์และปรึกษาอาการของนางกับท่านหมอฝีมือดีทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว ทุกคนต่างก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘เป็นไปไม่ได้ที่คนความจำเสื่อมจะลืมเลือนแม้กระทั่งความเคยชินของร่างกาย อย่างน้อยร่างกายของพวกเขาย่อมมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งที่พวกเขารักหรือเกลียดชัง เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่พวกเขาจะลืมเลือนแม้กระทั่งความเคยชินของร่างกายของตนเองจนหมดสิ้นได้เป็นแน่’ และข้อพิสูจน์นี้ยิ่งทำให้เขาเริ่มเชื่ออย่างหมดใจแล้วว่า สตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่เว่ยหนิงเซียนอย่างแน่นอน แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่ออยู่มาก แต่ก็หวังว่าฤทธิ์ของสุราครวญคะนึงจะตอบคำถามทุกอย่างที่เขาคาใจได้หมด          สุราครวญคะนึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สุรากลับใจ’ หากผู้ใดได้ดื่มมันเพียงหนึ่งจอก ไม่ว่าคนผู้นั้นจะพูดโกหกหรือเป็นนักต้มตุ๋นมืออาชีพย่อมต้องพ่ายแพ้ต่อฤทธิ์ของสุราไหนี้เสียทุกราย ด้วยกรรมวิธีในการหมักที่สลับซับซ้อน หนึ่งไหมีค่าดุจทองพันชั่ง และฤทธิ์ของมันยังเป็นยาปลุกกำหนัดได้เป็นอย่างดี จึงไม่แปลกที่ราคาของมันจะสูงลิ่วเสียจนน่าตกใจ          เดิมทีเขากะจะนำมันมาเพื่อลองดูปฏิกิริยาของนางเพียงเท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่านางกลับทำในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง และนึกไม่ถึงเลยว่านางจะกล้าดื่มสุราไหนี้จนหมดเกลี้ยงเพียงคนเดียว แม้เขาพยายามจะห้ามปราม แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว          ใบหน้างามแดงก่ำราวกับผลอิงเถา*สุก “ใครๆ ต่างก็เรียกข้าว่า ‘เจ้าตัวเล็ก’ ชื่อของข้าคือ ‘ซือซิง’“ ฤทธิ์ของสุราครวญคะนึงทำให้ซือซิงพูดทุกอย่างออกมาราวกับต้องมนต์สะกด          หญิงสาวเริ่มเล่าต่อ “ขอทานในเมืองผิงอานไม่มีผู้ใดไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของข้า และเพราะตัวข้า...” มือน้อยๆ ค่อยๆ ปาดหยาดน้ำใสๆ บริเวณหางตา “พวกเขาถึงต้องตายอย่างน่าเวทนา เดิมทีข้านึกว่ายามเมื่อข้าตาย...วิญญาณของข้าจะต้องไปอยู่ที่ปรโลกกับพ่อแม่ของข้า แต่...”          จู่ๆ ร่างบอบบางของซือซิงก็เกิดผิดปกติบางอย่าง ความร้อนรุ่มค่อยๆ แผดเผาร่างกายและสติสัมปชัญญะของนางอย่างช้าๆ          สติอันน้อยนิดเตือนให้นางเอ่ยถามเขา “ทำไมข้าถึงได้รู้สึกลำคอแห้งผากเยี่ยงนี้”          ใบหน้าหล่อเหลาของเว่ยจิ่นกวางซีดเผือดในทันที “ข้า...” นี่ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าสุราครวญคะนึงคือสุรายอดเอกของการปลุกเร้าอารมณ์ หนึ่งในยอดสุราที่แม้แต่จักรพรรดิยังหวงแหน เป็นสุราที่ร้อยปีจะผลิตได้เพียงแค่สิบไห เพราะมัวแต่อยากให้นางรีบคายความจริงจนหลงลืมว่าฤทธิ์ของมันอีกอย่างหนึ่งคือ... “ข้าๆ...” เว่ยจิ่นกวางได้แต่พูดอ้ำอึ้ง ในขณะเดียวกันใบหน้าหล่อเหลาก็แดงก่ำลามไปถึงใบหู ซือซิงกัดปากของนางจนได้กลิ่นคาวเลือด ก่อนจะเค้นถามเขาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ “สุราไหนี้มีอะไร?” ให้ตายสิ! นี่ข้าพลาดท่าเสียทีเขาจนได้ “เดิมทีข้าเพียงจะรินเหล้าให้เจ้าเพียงจอกเดียว แต่ข้าไม่คาดคิดว่าเจ้าจะดื่มมันจนหมดไห” ดวงตาคู่งามพลันแข็งค้างในทันที “สุราไหนั้น...เจ้าใส่อะไรให้ข้าดื่ม?” เว่ยจิ่นกวางรีบปฏิเสธเสียงอ่อน “ในสุราข้าไม่ได้ใส่อะไรลงไป...หากเพียงแต่ฤทธิ์ของมันค่อนข้างจะรุ่นแรงอยู่บ้าง” เจ้าจะโทษว่าข้าตะกละตะกลามใช่หรือไม่ เห็นว่าเป็นสุราดีก็เลยกวาดเรียบคนเดียวจนหมดไหเช่นนั้นหรือ? ซือซิงพยายามสูดลมหายใจลึกเพื่อข่มกลั้นความพลุกพล่านในอก พลางใช้สายตาจ้องมองอีกฝ่ายเพื่อต้องการคำตอบ เว่ยจิ่นกวางถึงกับทอดถอนใจอย่างปลงตก ก่อนจะค่อยๆ ร่ายสรรพคุณของสุราครวญคะนึงให้นางฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วนไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่เพียงประโยคเดียว เพียงไม่นานดวงตาคู่งามพลันเบิกโพลงอย่างตกตะลึง “สุราบ้านี่เป็นยาปลุกกำหนัดอย่างนั้นหรือ?” เว่ยจิ่นกวางพยักหน้าช้าๆ ด้วยความรู้สึกผิด อ๊ากก! นี่ข้าถูกพิษของสุราปลุกกำหนัดเล่นงานอยู่ใช่หรือไม่? ไม่นะ! ข้ายังไม่อยาก... บรรยากาศภายในห้องพลันเงียบงันลงในชั่วพริบตา ทั้งสองเหมือนกำลังจมอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดของตน ผ่านไปหนึ่งเค่อ ฤทธิ์ของสุราเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น ร่างบอบบางถึงกับสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย ไม่ได้นะ! เจ้าอย่าเพิ่งออกฤทธิ์นะ ข้ายังไม่พร้อม อย่านะ! ไม่นะ! “ข้าต้องทำอย่างไร?” ซือซิงพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายพูดขึ้น ร่างสูงใหญ่ถึงกับชะงักไปในทันทีที่ได้ยินคำพูดของนาง ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำพูดของนาง ก็ยิ่งทำให้ซือซิงรู้สึกคับแค้นใจมากขึ้น เล็บมือทั้งสิบจิกเข้าไปในอุ้งมือจนได้เลือด ทั่วทั้งร่างกายของนางสั่นสะท้านไปด้วยความเจ็บปวด หยาดเหงื่อค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากผิวหนังจนโทรมกาย “เจ้าต้องช่วยข้า!” พอพูดจบร่างบอบบางก็ล้มลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นในทันที * ยามเฉิน เท่ากับเวลา 07.00 น. จนถึง 08.59 น * ยามเซิน เท่ากับเวลา 15.00 น. จนถึง 16.59 น. * 1 เค่อ ประมาณเกือบ 15 นาที ****อิงเถา = เชอร์รี่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD