ย่างเข้าฤดูคิมหันต์อากาศทั่วทั้งเมืองหลวงก็เริ่มร้อนอบอ้าวอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงบรรยากาศภายในคฤหาสน์สกุลเว่ยก็ไม่ละเว้นเช่นเดียวกัน
ร่างอรชรของซือซิงนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงไม้อย่างเกียจคร้าน มือข้างซ้ายของนางถือพวงองุ่น ส่วนมือข้างขวาของนางถือผลซิ่ง* เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างสบายอารมณ์ แต่ถึงกระนั้นแล้วร่างบอบบางก็ยังไม่วายทอดถอนใจออกมา
“เฮ้อ! ข้าเบื่อ! เบื่อ! ยิ่งนัก!” ในขณะที่พูดปากน้อยๆ ก็ยังเคี้ยวพวงองุ่นตุ้ยๆ อย่างระบายอารมณ์
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ข้าทอดถอนใจมากี่ครั้งแล้วนะ เคยมีคนบอกข้าว่าหากถอนหายใจบ่อยๆ อายุจะสั้น ข้าว่าคนผู้นั้นต้องโกหกข้าแน่ๆ หากอายุสั้นจริงๆ ตอนนี้ข้าคงตายไปนานแล้วสิ ไยต้องมานั่งกลัดกลุ้มใจเป็นแม่สุกรที่ถูกขังอยู่ในคอกเช่นนี้ วันๆ เอาแต่กินกับนอนจะออกไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ คิดแล้วข้าก็รู้สึกเจ็บใจนัก
หลังจากวันนั้นที่นางเจอหน้าเขา บุรุษหน้าตายผู้นั้นก็สั่งให้บ่าวรับใช้ร่างกายบึกบึนสองคนมายืนเฝ้าประตูทางออกของเรือนนาง ราวกับว่านางเป็นนักโทษก็ไม่ปาน และที่เจ็บใจมากกว่านั้นคือเขาสั่งไม่ให้สาวใช้ทั้งสองของนางออกไปไหนมาไหน แถมยังให้เหตุผลที่แสนจะทุเรศว่า ‘เพื่อให้สาวใช้ทั้งสองได้ดูแลเจ้าได้อย่างทั่วถึง หากเกิดอะไรขึ้น...เจ้าสามารถเรียกบ่าวรับใช้หน้าเรือนได้’
ประเสริฐ! ข้าซาบซึ้งจนแทบน้ำตาไหลนองในความหวังดีของเจ้า...ข้าประชด!
ดวงตาคู่งามของซือซิงกลิ้งกลอกไปมาอย่างครุ่นคิด
ข้าจะทำอย่างไรดีถึงจะออกไปจากคฤหาสน์หลังนี้ได้ จริงอยู่หากข้าปีนกำแพงที่ติดอยู่กับเรือนที่อยู่ทางทิศตะวันตกก็จะออกไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกได้อย่างสบายอารมณ์ แต่มันติดอยู่ตรงที่ว่ากำแพงนั้นมันสูงตั้งห้าจั้ง* นี่สิ ข้าถึงต้องมานั่งทอดถอนหายใจทิ้งอยู่เช่นนี้ อย่าว่าแต่ตัวข้าเลยที่ปีนขึ้นไปไม่ได้ แม้แต่เหล่าจิ้งจกตุ๊กแกยังต้องส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหอบ ถ้าจะขังข้าเช่นนี้ ไยเจ้าไม่ขุดหลุมฝังข้าให้ตายไปเลยล่ะ จะได้สาแก่ใจเจ้า ฮึ่ม!
สวรรค์! ข้าไปทำเวรทำกรรมอันใดไว้กันหนอถึงได้ถูกผู้อื่นรังแกในชาติก่อนยังไม่พอ มาชาตินี้กลับมีชีวิตไม่ต่างอันใดกับแม่สุกร ถูกสามีผู้อื่นรังแกขังไว้ในคอกเยี่ยงนักโทษเช่นนี้ ชีวิตของข้าช่างอาภัพอับเฉานัก
หลันฮวาและเหลียนฮวาขมวดคิ้วมุ่นขณะจ้องมองฮูหยินของพวกนาง เมื่อทนเห็นอาการของผู้เป็นนายไม่ไหว เหลียนฮวาจึงรีบเอ่ยปากถามขึ้น “ฮูหยิน ข้าว่าสีหน้าของท่านดูไม่สู้ดีเลยนะเจ้าค่ะ ท่านเป็นอะไรหรือ? ประเดี๋ยวก็ยิ้ม ประเดี๋ยวก็หัวเราะ ให้ข้าไปเรียกท่านหมอมาดีหรือไม่เจ้าคะ เผื่อว่าพิษให้ตัวท่านอาจจะกำเริบอีกครั้ง”
และพวกเจ้าก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ข้าอยากจะหายไปจากเรือนหลังนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด
ข้าขอพูดตรงๆ เลยนะ ว่าไม่ว่าข้าจะกระดิกตัวหรือทำอะไร พวกนางต่างก็ตื่นตัวและกังวลกับท่าทางของข้าไปเสียทุกเรื่อง แม้ว่าข้าจะตอบว่า ‘ไม่เป็นไร ข้าสบายดี’ พวกนางก็ไม่เชื่อฟัง คิดแต่จะเรียกท่านหมอๆ อยู่ท่าเดียว เป็นอยู่แบบนี้มาหลายวันแล้ว ข้าปวดหัวจนไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ได้เช่นไร เฮ้อ!
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องห่วงข้า ข้าเริ่มง่วงแล้ว พวกเจ้าจะไปไหนก็ไป” ซือซิงรีบเอ่ยปากไล่พวกนางอย่างเบื่อหน่าย อย่างน้อยการที่นางอยู่คนเดียวก็ยังดีเสียกว่ามีคนมาคอยนั่งจับผิดให้เสียอารมณ์
“แต่ว่า...”
ดวงตาคู่งามจ้องเขม็งไปที่หญิงสาวทั้งสองด้วยอารมณ์เดือดดาล “ข้าบอกว่าไม่เป็นไรอย่างไรเล่า หรือว่าพวกเจ้าไม่เชื่อข้า”
“เจ้าค่ะ/เจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองรับคำ ก่อนจะเดินก้มหน้าคอตกเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เฮ้อ! นี่ข้าจะต้องถอนหายใจอีกสักกี่พันครั้งกันแน่เนี่ย
เวลาผ่านไปเพียงไม่นานดวงตาคู่งามพลันเปล่งประกายขึ้น ร่างบอบบางรีบดีดตัวขึ้นจากเตียงนอนในทันที
“นี่ข้าลืมไปได้อย่างไรกันเนี่ย!”
เมื่อสองวันก่อนตอนที่นางเดินชมต้นท้อที่เหี่ยวเฉาบริเวณกำแพงทิศตะวันตก นางเผอิญไปเจอโพรงหญ้าแห้งๆ หนึ่งโพรง พอนางดึงหญ้าพวกนั้นออกก็เห็นเป็นรูเล็กๆ ขนาดพอเท่าสุนัขตัวใหญ่ตัวหนึ่งจะมุดเข้าไปได้ ตอนแรกนางก็ไม่แน่ใจว่าจะออกไปได้จริงหรือไม่ เพราะตัวนางในตอนนี้เหมือนแม่สุกรขึ้นทุกวัน นางเลยรีบปกปิดหลักฐานโดยที่เอาหญ้าแห้งๆ มาปิดไว้ดังเดิม
จะว่าไปแล้วการจะออกไปจากเรือนหลังนี้อาจจะเป็นเรื่องง่าย แต่ทว่าจะกลับเข้ามาอีกครั้งโดยที่ไม่มีผู้ใดจับได้นั้นถือว่าเป็นเรื่องยากเอาการ นางไม่อยากจะกลับไปมีชีวิตที่เร่ร่อนที่อดมื้อกินมื้อดังเดิมอีก หากนางคิดจะออกไปอย่างแรกคือต้องมีแผนการที่แยบยล อย่างที่สองคือนางต้องจัดการกับก้อนไขมันที่มันเกินออกมานี่ให้ได้เสียก่อน หากมุดไปทั้งอย่างนี้มีหวังคงไม่พ้นตัวติดอยู่ในรูแน่ๆ
เพราะฉะนั้นข้าต้องมีแผนการและทางหนีที่ไล่ที่มันชัดเจนห้ามผิดพลาดโดยเด็ดขาด
วันรุ่งขึ้น...
ซือซิงเอ่ยปากเรียกใช้สาวใช้ทั้งสองให้เอานู้นเอานี่มาให้นางเฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา แต่ในวันนี้เจตนาของนางกลับต่างออกไป
“ฮวาฮวา วันนี้ข้าร้อนเหลือเกิน เจ้าช่วยเอาชาชุนเทียนที่เก็บได้ในปีนี้มาให้ข้าได้หรือไม่ วันนี้ข้าชักเริ่มรู้สึกกระหายอย่างไรไม่รู้ เจ้ารีบๆ ไปเอามาให้ข้าเร็วๆ เข้าล่ะ” ซือซิงรีบสั่งการสาวใช้คนแรกด้วยท่าทีที่ดูเบื่อหน่าย แต่หากสังเกตนางดีๆ ดวงตาคู่งามกลับฉายแววตื่นเต้นและเฝ้าคอยอยู่เงียบๆ
“เจ้าค่ะ” หลันฮวาเอ่ยรับคำอย่างว่าง่าย
“ฮวาเอ๋อร์ เจ้าพอจะมีเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ไม่ได้ใส่บ้างหรือไม่ ช่วยเอามาให้ข้าสักชุดก็แล้วกันนะ”
“…”
ทำไมฮูหยินวันนี้ถึงมาแปลกกัน ปกตินางจะเป็นคนที่ห่วงสวยห่วงงามนักไม่ใช่หรือ? มีอยู่ครั้งหนึ่งนางเผลอหยิบชุดที่ฮูหยินสั่งตัดจากร้านผ้ามาผิดตัว ฮูหยินถึงกับตบหน้านางไปฉาดหนึ่งเสียด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดวันนี้ฮูหยินถึงมาแปลก นางจะเอาเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ผู้อื่นไม่ได้ใช้แล้วไปทำอะไรกัน
“นี่เจ้ายังฟังข้าอยู่หรือไม่ ข้าบอกว่าอยากได้เสื้อผ้าที่เจ้าไม่ใส่แล้วหรือจะเป็นของผู้อื่นก็ได้ เอาแบบเก่าๆ ได้ยิ่งดี ข้าอยากจะซ้อมแต่งตัวเป็นหญิงสาวชาวบ้านดูสักวัน เจ้าหามาให้ข้าได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” เหลียนฮวาตอบรับอย่างเหม่อลอย
“ดีมาก เจ้ารีบไปเถอะ” ใบหน้างามแย้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี
ในที่สุดแผนการของข้าก็ใกล้จะสำเร็จไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว ไม่เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์อดข้าวอดน้ำมาตั้งหนึ่งวันเต็มๆ เพื่อเจ้ารูสุนัขลอดโดยเฉพาะ ตอนนี้ข้าหิวจนแทบจะกินช้างทั้งตัวได้เลยล่ะ ไม่ได้ๆ ข้าต้องอดทน เพื่อแผนการอันแยบยล เพื่ออิสรภาพ ท่องไว้ๆ
แผนการของนางมีอยู่ว่า ใช้ชาชุนเทียนที่เก็บได้ในปีนี้ชงในปริมาณสี่ช้อนชาและใช้ให้สาวใช้ทั้งสองเอาไปให้ผู้คุมหน้าเรือนดื่ม โดยแสร้งว่าเป็นน้ำใจจากนางที่เป็นห่วงพวกเขาที่ยืนตากแดดตากลมเฝ้านางทั้งวัน และหลังจากนั้นก็ให้สาวใช้ทั้งสองดื่มชาเป็นเพื่อนนาง ฤทธิ์ของชาชุนเทียนจะทำให้พวกเขาหมดสติไปประมาณสองชั่วยาม และหลังจากนั้นนางก็จะได้ออกไปข้างนอกอย่างอิสระเสรี
ดีมากซือซิง เจ้าช่างฉลาดแสนรู้นัก!
ก่อนอื่นข้าต้องขอบคุณคนผู้หนึ่งที่ทำให้แผนการในครั้งนี้ของข้าไร้ที่ติ ไม่มีแม้แต่รูรั่วให้ผู้อื่นตามอุด นั่นก็คือตาเฒ่าจูคนเดิมของข้านั่นเอง อุวะฮะฮ่า
ตาเฒ่าเคยบอกกับนางไว้ว่า หากใช้ชาชุนเทียนที่เก็บเกี่ยวในปีนั้นชงในปริมาณสี่ช้อนชาขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือยาจกก็ต้องสลบไสลไม่ได้สติทุกราย และชาชุนเทียนก็คือความภาคภูมิใจของแผนการของนางในครั้งนี้
ท่านตาไว้ข้าว่างๆ ข้าจะหาโอกาสเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้ท่านเพื่อเป็นการตอบแทนนะเจ้าค่ะ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม
และแล้วเวลาที่นางเฝ้ารอก็มาถึง เพียงไม่นานสาวใช้ทั้งสองนำสิ่งของที่นางต้องการมาวางไว้ตรงหน้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนการอย่างที่นางคาดไว้ไม่มีผิด ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยาม ทั้งผู้คุมและสาวใช้ทั้งสองของนางก็หมดสติไปอย่างแนบเนียน
อุวะฮะฮ่า ขอบคุณสวรรค์ที่เปิดทางให้ข้า
“เรียบร้อยเสียที ข้าอุตส่าห์สิ้นเปลืองสมองหลอกล่อพวกเจ้าเสียตั้งนาน กว่าจะสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ” ซือซิงพูดกับร่างของสองสาวใช้ทั้งสองที่นอนสลบไสลอยู่ข้างเตียงอย่างปลาบปลื้ม
เพียงไม่นานซือซิงก็จัดการแปลงโฉมของตนได้สำเร็จ ก่อนจะค่อยๆ หันซ้ายแลขวาเพื่อมองสำรวจสถานการณ์รอบด้าน และเมื่อมั่นใจแล้วว่าผู้คุมทั้งสองหน้าเรือนของนางสลบไสลไม่ได้สติดีแล้ว ร่างบางก็รีบวิ่งไปที่กำแพงตะวันตกในทันที
“ทางสะดวกไร้ผู้คน แม้แต่ยุงสักตัวก็ยังไม่บินผ่าน ประเสริฐ! สวรรค์เปิดทางให้ข้าแล้ว”
สำเร็จ!
ไม่รอช้าซือซิงรีบดึงโพรงหญ้าออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบมุดเข้าไปรูสุนัขลอดด้วยความตื่นเต้น
ขณะที่ร่างบางมุดเข้าไปในรูได้แค่ครึ่งตัว จู่ๆ ก้นของนางก็ดันไปติดเข้ากับอะไรบางอย่างจนแทบขยับตัวไม่ได้
“ให้มันได้อย่างนี้สิ ข้าสู้อุตส่าห์ลอดออกมาได้ครึ่งตัวแล้วนะ” ซือซิงอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด ก่อนจะพยายามหันซ้ายแลขวาเพื่อมองหาคนช่วย
อ๊าก! ประเสริฐยิ่งนัก ข้าสัญญาว่าหากหลุดจากรูบ้านี่ได้ ข้าจะไม่มีวันลอดมันอีกเป็นครั้งที่สอง ฮึ่ม!
ในขณะที่ซือซิงกำลังเฝ้าด่าทอตัวเองในใจอยู่นั้น เหมือนว่าสวรรค์จะมีตาส่งชายหนุ่มรูปงามมาช่วยเหลือนางได้อย่างทันท่วงที บุรุษสวมชุดแดงเพลิงลักษณะท่าทางคล้ายคุณชายเจ้าสำราญค่อยๆ ยื่นมือส่งมาที่นาง
“เซียนเอ๋อร์ ให้ข้าช่วยเจ้าหรือไม่”
ในชั่ววินาทีที่ซือซิงสบตากับดวงตาคู่นั้น ร่างกายของนางพลันแข็งค้างไปชั่วขณะ ปากคู่งามพลันอ้าค้างอย่างตกตะลึง
สวรรค์! นี่ข้าตายไปแล้วหรือ? เหตุใดข้าถึงได้เจอเทพบุตรจำแลงกายมายืนอยู่ตรงหน้าข้าได้ เขาช่างรูปโฉมงดงามเหนืออิสตรีโดยแท้ หากข้าจับเขาแต่งตัวเป็นสตรีล่ะก็ เกรงว่าเขาคงงามกว่าหญิงใดในใต้หล้าเป็นแน่
ดวงตาคู่งามเผลอจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างใจลอย “ท่านเป็นบุรุษจริงๆ นะหรือ?”
ครั้นเมื่อเห็นว่านางไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่กลับเป็นฝ่ายเอ่ยถามในสิ่งที่เขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินคำถามนี้จากปากนาง ใบหน้างามของฉีเทียนอี้พลันเกิดอาการตื่นตะลึงไปชั่วขณะ
“เจ้าเป็นใครกัน?” ฉีเทียนอี้โพล่งถามอย่างลืมตัว
“…”
ราวหนึ่งชั่วยามกว่าที่ร่างบางจะได้สติ ซือซิงค่อยๆ ลอบพินิจบุรุษตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน
คิ้วเรียวงามตวัดขึ้นราวกับใช้พู่กันวาด ดวงตาเรียวงามเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันเย้ายวน จมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้างามเยี่ยงอิสตรีเพศ ริมฝีปากบางอมชมพูดูเย้ายวนใจ งามช่างงามเหลือเกิน งามจนข้าแทบจะหยุดหายใจ
เมื่อเห็นว่านางยังไม่ตอบคำถาม และเอาแต่จ้องหน้าเขาอย่างเคลิบเคลิ้ม ยิ่งทำให้ฉีเทียนอี้ขมวดคิ้วเข้าหากันจนเป็นปม “เว่ยหนิงเซียน เจ้าจะจ้องหน้าข้าแบบนี้อีกนานแค่ไหนกันแน่”
“…”
“เว่ยหนิงเซียน!” ฉีเทียนอี้เรียกชื่อนางอีกครั้ง
“หา! เรียกข้าหรือ?” ด้วยเพราะยังไม่คุ้นชินกับชื่อใหม่ของนาง เพราะปกติเหล่าสาวใช้ก็เอาแต่เรียกนางว่าฮูหยินๆ จึงทำให้ซือซิงลืมชื่อเจ้าของร่างเดิมไปชั่วขณะ
ดวงตาคู่งามของฉีเทียนอี้พลันสั่นสะท้านในทันที
หรือว่าข่าวลือที่ว่าเจ้าความจำเสื่อมจะเป็นเรื่องจริง?
“นี่ท่านรู้จักข้าด้วยหรือ?” เมื่อได้สติกลับคืนมา ซือซิงจึงเอ่ยถามออกไปด้วยความฉงนสงสัย
“…”
แปลกแฮะ! ทำไมคนผู้นี้ถึงได้จ้องมองหน้าข้าแปลกๆ คล้ายกับสายตาของเจ้าน้ำแข็งพันปีไม่มีผิดเพี้ยน หรือว่าคนผู้นี้จะรู้จักกับเว่ยหนิงเซียน
เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ ขาทั้งสองของซือซิงก็เริ่มชาขึ้นมาทีละนิดๆ จนแทบจะไร้ความรู้สึก
อ๊ะ! อย่าบอกนะว่าเหน็บกำลังจะกินข้า ไม่ได้การแล้ว หากข้ามัวแต่อยู่ชัดช้าแบบนี้ต้องแย่แน่ๆ
“นี่! พ่อหนุ่มรูปงามรีบมาดึงข้าเร็วๆ เถอะ ข้าเมื่อยแล้ว”
“เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ!?” ฉีเทียนอี้เอ่ยถามขึ้นอย่างตกตะลึง
“ข้าเรียกเจ้าว่าพ่อหนุ่มรูปงาม” ซือซิงขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเร่งเร้าอีกครั้ง “เร็วๆ ข้าเมื่อยแล้ว”
“…”
แม้แต่ชื่อของข้าเจ้าก็ลืมเลือนไปจนหมดสิ้นอย่างนั้นหรือ...เซียนเอ๋อร์
“เร็วๆ เข้า ข้าไม่ไหวแล้วนะ!”
“ได้”
ใช้เวลาเกือบหนึ่งเค่อกว่าที่ฉีเทียนอี้จะดึงร่างของซือซิงออกมาจากรูกำแพงได้สำเร็จ ทั้งสองถึงกับนั่งหอบเหนื่อยอยู่ข้างกำแพง
“เฮ้อ! เผื่อจะออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ในที่สุดข้าก็ออกมาได้แล้ว ขอบคุณสวรรค์!” ดวงตาคู่งามหยักยิ้มอย่างพึงใจ “ขอบคุณนะที่ช่วยข้า”
“…”
ครั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่นิ่งเงียบไม่ตอบคำถามนาง ซือซิงจึงค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาอีกนิด “ท่านได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่”
“อ๊ะ! นี่เจ้าจะทำอะไรนะ” ฉีเทียนอี้รีบก้าวถอยหลังออกห่างจากนางในทันที
“ข้าเปล่าซะหน่อย” ซือซิงรีบปฏิเสธหน้าตาย ก่อนจะแอบขำชายหนุ่มอยู่ในใจ
ฉีเทียนอี้แอบชำเลืองมองมาที่นางอย่างจับผิด
สตรีตรงหน้าเขาในตอนนี้เป็นคนๆ เดียวกับเซียนเอ๋อร์ที่เขารู้จักจริงๆ นะหรือ ท่าทีของนางช่างตรงกันข้ามกับเซียนเอ๋อร์ที่เขารู้จักยิ่งนัก แม้ว่าใบหน้าของนางจะเหมือนกัน แต่นิสัยกลับไม่ใช่ หรือว่าหนิงเซียนจะมีฝาแฝด?
ไม่สิ! หากไม่ใช่เซียนเอ๋อร์ นางจะรู้จุดนัดหมายของพวกเราได้อย่างไร ทุกวันที่เก้าของทุกเดือน เขาเคยสัญญาว่าจะรอนางอยู่ที่นอกกำแพงทิศตะวันตก ซึ่งก็ตรงกับวันนี้พอดี และจากที่เขาเคยฟังประวัติของนางที่ผ่านมา เซียนเอ๋อร์เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่เว่ยจิ้นหลี่เก็บมาเลี้ยง นางจะมีพี่น้องฝาแฝดได้อย่างไร
“นี่เจ้าจะจ้องมองข้าอีกนานไหม” ซือซิงชักสีหน้าใส่เขาอย่างไม่พอใจ เพราะตอนนี้ท้องของนางเริ่มร้องครวญครางอยากได้อาหารมาสังเวยเต็มทน
“…”
“งั้นข้าไปล่ะ” ร่างบางรีบเร่งฝีเท้าเดินจากไปในทันที
ฉีเทียนอี้ที่เพิ่งได้สติกลับคืนมารีบวิ่งตามนางไปในทันที “เดี๋ยวก่อนสิ รอข้าด้วย”
โรงเตี๊ยมสราญรมย์ หนึ่งในโรงเตี๊ยมชื่อดังของเมืองหลวง วันๆ หนึ่งมีผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งในและนอกเมืองแวะเวียนมาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้จนแน่นขนัด ด้วยรสชาติของอาหารที่ขึ้นชื่อบวกกับสุราที่เลิศรส จึงทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนทั่วสารทิศอย่างไม่ต้องสงสัย
จากที่นางได้ฟังประวัติคร่าวๆ กับเจ้าหนุ่มหน้าหยกตรงหน้า ก็ทำให้ในท้องของนางเริ่มร้องครวญครางมากขึ้นกว่าเดิม
บนชั้นสองของโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อร์กำลังวุ่นง่วนอยู่กับการจดรายชื่ออาหารของสตรีที่แต่งตัวคล้ายหญิงยาจก แต่กลับกล้าสั่งอาหารราวกับเศรษฐีร่ำรวยเงินทอง ยังดีที่มีคุณชายฉีมากับนางด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงได้ไล่ตะเพิดนางออกจากร้านไปแล้วแน่ๆ
“เสี่ยวเอ้อร์ เอาเป็ดปักกิ่ง หมูสามชั้นตุ๋นยาจีน พระกระโดดกำแพง เป็ดพะโล้ นี่อะไรนะข้าอ่านไม่ค่อยออก” ซือซิงเอ่ยถามพลางชี้ไปที่รายชื่ออาหารด้วยความสงสัย
ฉีเทียนอี้ก้มหน้าอ่าน ก่อนจะเอ่ยตอบเบาๆ ว่า “หอยเป๋าฮื้อน้ำแดง”
“เออๆ ใช่เอาหอยแดงๆ นี่ที่หนึ่ง แล้วก็เอานี่ อันนี้และก็อันนั้น เอาหมดนี้เลยง่ายดี” ด้วยเพราะความหิวครอบงำทุกสิ่ง หญิงสาวจึงไม่สนใจผู้คนรอบข้างนางแต่อย่างใด
ฉีเทียนอี้และเสี่ยวเอ้อร์ทำตาโตเท่าไข่ห่าน ทั้งสองจ้องมองซือซิงด้วยสายตาตกตะลึง
นี่นางสั่งอาหารในเมนูตั้งร้อยอย่างเชียวรึ?
“อะไร? เหตุใดพวกเจ้าถึงจ้องมองหน้าข้าแปลกๆ มีอะไรติดหน้าข้ารึ?”
“ปะ...เปล่าขอรับ”
ซือซิงส่งสัญญาณมือไล่ให้เสี่ยวเอ้อร์รีบไปจัดการอาหารที่นางสั่งเร็วๆ “ถ้างั้นก็รีบๆ ไปเถอะ ข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว”
ฉีเทียนอี้จ้องมองนางอยู่เงียบๆ โดยไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยายเป็นคำพูดกับนางดี เพราะตอนนี้เขาเริ่มจะสับสนกับพฤติกรรมของนางมากขึ้นทุกที
ให้ตายสิ! ทำไมใครๆ ก็เอาแต่จ้องมองข้าราวกับเป็นตัวประหลาดนะ ทั้งๆ ที่ข้าเองก็ออกจะทำตัวสบายๆ เป็นปกติเหมือนทุกครั้งไป แต่ทำไมคนเมืองนี้ถึงเอาแต่ส่งสายตาแปลกๆ มาให้ข้าแบบนี้กันนะ หรือว่าข้าทำตัวไม่ปกติรึ?
“นี่เจ้าหน้าหยก ข้ามีอะไรแปลกหรือ ทำไมผู้อื่นถึงเอาแต่จ้องมองข้าราวกับเห็นผีสางด้วยเล่า” ซือซิงเอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้าที่ไม่เข้าใจสถานการณ์รอบด้าน
จะไม่ให้คนอื่นมองเจ้าแปลกๆ ได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าแต่งตัวราวกับขอทานข้างถนน แต่กลับมีวาสนาได้มานั่งกินอาหารเหลาขึ้นชื่อของเมืองหลวง และที่สำคัญเจ้ามีวาสนาได้มานั่งคุยกับคุณชายฉีเช่นข้า ไม่ให้พวกเขามองหน้าเจ้าก็แปลกแล้ว
ใบหน้างามคลี่ยิ้มจางๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนหลงใหลว่า “เขาคงตกใจที่เห็นเจ้าสั่งอาหารมาเยอะกระมัง”
“อ้อ! เช่นนั้นหรอกหรือ ข้าก็นึกว่าพวกเขาตกใจหน้าข้าเสียอีก” ซือซิงยิ้มจนเห็นฟันสีขาว พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก
ก็ดีเหมือนกันข้าก็คร้านจะแคร์สายตาผู้อื่นแล้ว ใครจะคิดอย่างไรก็ช่าง ขอให้ตอนนี้ข้าได้กินอิ่มก็เป็นพอ เพราะวันนี้ข้าโชคดีมีเจ้ามือเลี้ยง จึงไม่ต้องกังวลเรื่องค่าอาหารมื้อนี้ อุวะฮะฮ่า
เพียงไม่นานอาหารนับร้อยก็ถูกวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ กลิ่นของมันเย้ายวนใจจนซือซิงแทบทนไม่ไหว หญิงสาวรีบกระโจนใส่อาหารที่อยู่ตรงหน้านางอย่างไม่เกรงใจ ราวกับฝูงแร้งที่เห็นเหยื่ออันโอชะ
“เจ้าไปอดอยากมาจากที่ใดถึงได้หิวโซถึงเพียงนี้ หรือว่าเว่ยจิ่นกวางเลี้ยงเจ้าไม่ดีอย่างนั้นรึ?”
ฉีเทียนอี้อดไม่ได้ที่จะค่อนแคะศัตรูหัวใจ เพราะจากท่าทางของนางในขณะนี้ ทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล
หรือว่าหลังจากเหตุการณ์ในครั้ง นางถูกเว่ยจิ่นกวางทารุณจนมีชีวิตเช่นนี้อย่างนั้นหรือ แม้แต่เสื้อผ้าที่นางใส่ยังเก่าเสียยังกับผ้าขี้ริ้วเสียอีก
เว่ยจิ่นกวางเดิมทีข้าคิดจะถอยให้เจ้าก้าวหนึ่งแล้วแท้ๆ แต่สภาพของนางในตอนนี้ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน เห็นทีข้าคงจะปล่อยมือจากนางไม่ได้เสียแล้วกระมัง
“เอ่าอ้าอูกเอี้ยงอีอาวอับอุอรอัวอึงเอยอ่ะ” ใจจริงแล้วนางอยากจะตอบเขาไปว่า ‘เปล่าข้าถูกเลี้ยงดีราวกับสุกรตัวหนึ่งเลยล่ะ’
ขาหมูอ้วนพีขาหนึ่งอยู่ในปากของซือซิงขณะที่นางพูด จึงทำให้ฉีเทียนอี้ตีความหมายที่นางสื่อออกไปไม่เข้าใจ
“เอาล่ะๆ เจ้าค่อยๆ กินเถอะ ไม่มีผู้ใดแย่งเจ้ากินหรอก”
“ออบอุน” ซือซิงฉีกยิ้มให้เขาอย่างขอบคุณด้วยใบหน้ามันแผลบ
ท่าทีโง่งมของซือซิงยิ่งทำให้ฉีเทียนอี้อดรู้สึกผิดต่อนางไม่ได้ ใบหน้างามสั่นสะท้านไปด้วยความเจ็บปวด
หากวันนั้นเขามีความกล้าที่จะชิงตัวนางมาจากคนผู้นั้น วันนี้นางคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เป็นแน่
เซียนเอ๋อร์ข้าทำให้เจ้าต้องกินยาพิษฆ่าตัวตาย เพราะข้าเอง เจ้าถึงต้องมีชีวิตลำบากเช่นนี้
“เซียนเอ๋อร์ ข้าขอโทษ” ต่อจากนี้ไปข้าจะสู้เพื่อเจ้าและจะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมารังแกเจ้าได้อีก
ซือซิงเงยหน้าขึ้นมาจากอาหารจานสุดท้ายที่เพิ่งจะหมดไป “เอิ้ก! เจ้าว่าอะไรนะ?”
ตาข้างขวาของชายหนุ่มกระตุกถี่ยิบ “เปล่า...เจ้ากินอิ่มแล้วใช่ไหม?”
ซือซิงพยักหน้าพลางเอ่ยถามขึ้น “ว่าแต่ว่าตอนนี้ยามใดแล้ว?”
“ยามเซิน*ทำไมรึ?”
ร่างบางรีบลุกขึ้นจากเก้าอีกในทันที “ตายแล้ว ตายแน่ๆ แย่แน่ๆ “ ซือซิงเดินไปเดินมาราวกับหนูติดจั่น
นี่ข้าออกมาเกินสองชั่วยามแล้วหรือนี่ แย่แล้ว แย่แน่ๆ หากพวกเขาตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอข้าจะทำเช่นไรดี ข้าไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย อ๊าก!
“เอ่อ...คุณชายข้าต้องขอตัวกลับก่อนนะ หากข้ามัวแต่ชัดช้าอยู่ต่อเกรงว่าจะไม่ทันการได้” พูดเสร็จซือซิงก็รีบเร่งฝีเท้าเดินจากไปในทันที
“นี่เจ้าเดี๋ยวก่อนสิ!” ฉีเทียนอี้รีบวิ่งตาม พลันคว้าข้อมือนางได้อย่างทันท่วงที
“เจ้ามีอะไร? ข้ารีบอยู่ไม่เห็นหรือ”
ไม่ทันแล้ว หากข้ายังมัวแต่ชัดช้าข้าต้องโดนจับได้แน่ๆ เลย ไม่นะ!
“ข้า...”
ยังไม่ทันที่ฉีเทียนอี้จะพูดจบ ซือซิงก็ยกเท้าของนางกระแทกไปที่เท้าของเขาโดยแรง
“โอ๊ย! นี่เจ้า!...”
ร่างบางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าขอโทษ”
เพียงไม่นานซือซิงก็รีบวิ่งหนีหายไปจนลับตา ทิ้งไว้แต่เพียงรอยเท้าของนางที่ฝากไว้บนเท้าผู้อื่นให้ดูต่างหน้า
“เซียนเอ๋อร์...เจอกันครั้งหน้าข้าจะไม่ปล่อยเจ้าแน่” ดวงตาเรียวงามเป็นประกายอย่างมาดมั่น คล้ายกับว่าหากครั้งหน้าเขาได้พบกับนางอีก เขาจะไม่มีวันปล่อยนางหลุดมือไปจากเขาแน่
* ลูกเอพริคอต
* 1จั้ง เท่ากับ 3.33 เมตร
* ยามเซิน เท่ากับเวลา 15.00 น. จนถึง 16.59 น.