เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงสนามในเต็นท์เล็ก เสียงคลื่นที่กระทบชายฝั่งดังแว่วอยู่ในความเงียบสงัด ขณะที่เขาค่อยๆหลับตา ความเหนื่อยล้าค่อยๆกลืนกินเขาเข้าสู่ห้วงนิทรา
ในความฝันนั้น เขาพบว่าตัวเองอยู่บนชายหาดแห่งหนึ่ง
แสงแดดที่ร้อนระอุจากท้องฟ้า สะท้อนลงบนผืนทรายขาวสว่างวาบ สายลมทะเลพัดเอื่อยๆผสมกลิ่นเค็มที่แปลกชวนให้อึดอัด ชายหนุ่มคนนึงกำลังแล่ปลาที่จับมาได้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจราวกับว่ากำลังจดจ่อกับสิ่งที่ทำ ทว่าทุกอย่างรอบตัวกลับพร่ามัว เหมือนโลกนี้ถูกห่อหุ้มด้วยม่านบางๆของความฝัน
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น สายตาก็สะดุดเข้ากับร่างของหญิงสาวที่ยืนอยู่ห่างออกไป ร่างของเธอปรากฏอยู่ในเงามืดแม้แสงแดดจะเจิดจ้า ชุดเดรสสีขาวหรูหราที่เธอสวมอยู่ดูชำรุดทรุดโทรม รอยขาดและคราบเปื้อนบอกเล่าเรื่องราวของความลำบาก ผมสีขาวยาวประบ่าปลิวไหวไปตามสายลม แต่ใบหน้าของเธอกลับพร่ามัว มองเห็นได้เพียงเค้าโครงรางๆ
เธอยืนมองเขาอยู่ในระยะที่ห่างออกไป แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของเธอแต่ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึก ห่างเหิน และ ท่าทีที่เต็มไปด้วยวามระมัดระวัง เหมือนกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นคั่นกลางระหว่างพวกเขาสองคนเอาไว้
“คุณจะยืนมองอีกนานไหม?” เขาถาม น้ำเสียงของเขาฟังดูเรียบง่าย ทว่ากลับดังก้องกังวานในความเงียบเหมือนเสียงที่สะท้อนในห้องโถงว่างเปล่า เธอไม่ได้ตอบในทันที แต่สายตานั้นยังคงจับจ้องเขา
"ฉันแค่...ฉันแค่มาดูว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ก็เท่านั้น” คำพูดนั้นแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ แต่แฝงไปด้วยความระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่เดินไปหยิบปลาชุดหนึ่งที่ตากแดดจนแห้งดีแล้ว ก่อนจะเดินไปวางไว้บนก้อนหินระหว่างเขากับเธอ
“นี่ สำหรับคุณ” เขาพูดขึ้น ราวกับรู้ว่าเธอกำลังต้องการมัน หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับไปทำงานของตัวเองต่อ
หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาหยิบปลาขึ้นอย่างระมัดระวัง ทุกการเคลื่อนไหวของเธอช่างเชื่องช้าและระแวดระวัง ราวกับกลัวว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
“ทำไมคุณถึงให้ฉัน?” เธอถามขึ้นทันทีที่หยิบมันไป น้ำเสียงของเธอราบเรียบ แต่คำถามนั้นฟังดูหนักแน่น
เขาหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ก็เพราะคุณดูน่าสาร”
เธอเงียบไปชั่วอึดใจ สายตาของเธอจ้องมองเขาอย่างยากจะคาดเดา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาพอๆ กับแววตาที่เลือนราง
“ถ้าฉันรอดกลับไป ฉันจะตอบแทนคุณอย่างแน่นอน”
“ไม่ต้องใส่ใจหรอก ฉันให้ไปเพราะอยากให้เท่านั้น”เขาตอบกลับเหมือนไม่ได้ใส่ใจในคำพูดของเธอนัก
คำพูดของเขาทำให้เธอชะงักไปครู่หนึ่ง แต่แล้วเธอก็หมุนตัวเดินจากไป ร่างของเธอค่อยๆจางหายไปในแนวป่ากลางเกาะ เส้นผมสีขาวของเธอสว่างวาบในแสงแดดก่อนจะลับตาไป
เขานั่งนิ่ง มองตามเธอที่หายเข้าไปในเกาะ ตัวตนของเธอราวกับเป็นภาพลวงตาที่มาพร้อมกับสายลม เสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งกลับฟังดูแปลกไป ราวกับเป็นเสียงกระซิบเบาๆ ที่กำลังพยายามบอกอะไรบางอย่าง
ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆขณะที่มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“นี้มันอะไร? เกิดอะไรขึ้น? ภาพพวกนี้คือ?”
ก่อนที่เขาจะคิดอะไรต่อ ภาพทั้งหมดก็เริ่มเลือนรางลงเหมือนหมอกที่กำลังจางหาย ราวกับโลกทั้งใบถูกกลืนกลับเข้าสู่ความฝันที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ช่วงเวลาก่อนจะเช้าเล็กน้อย
ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมลมหายใจหอบถี่ ความมืดภายในเต็นท์เงียบสงบจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของตัวเองและเสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งเป็นจังหวะจากภายนอก เขานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สายตาจับจ้องไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้า
ภาพในความฝันยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ราวกับแผ่นฟิล์มที่ฉายซ้ำไม่จบ ชายหาดที่สว่างวาบภายใต้แสงแดดจ้า เสียงคลื่นกระทบฝั่ง และหญิงสาวปริศนาที่มองมาอย่างเย็นชา ทุกอย่างชัดเจนจนเขารู้สึกเหมือนเคยเกิดขึ้นจริง แต่ยิ่งเขาพยายามจับรายละเอียดมากเท่าไหร่ ภาพเหล่านั้นกลับยิ่งเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“หน้าของเธอ...” เขาพึมพำกับตัวเอง พยายามนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวในฝัน แต่กลับนึกไม่ออกว่าเธอมีหน้าตาแบบไหน มันพร่ามัว รางเลือน ราวกับถูกกลืนหายไปพร้อมกับความฝันที่ค่อยๆจางหาย
เขายกมือขึ้นลูบหน้า พยายามเรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความรู้สึกคาใจ และกลิ่นลมทะเลที่ยังคงติดอยู่ในจินตนาการ
“...นี่มันอะไรกัน?”
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ความเหนื่อยล้าทำให้สมองของเขาอ่อนแรงเกินกว่าจะวิเคราะห์สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เขายังคงนั่งนิ่ง พยายามทบทวนว่าเหตุใดถึงฝันเห็นอะไรแบบนั้น ทั้งๆ ที่ตอนนี้เขาติดอยู่บนเกาะ ห่างไกลจากทุกสิ่งที่เคยรู้จัก
“อาจจะเพราะฉันเครียดจนเกินไป สมองคงสร้างอะไรขึ้นมาปลอบใจ... แต่ทำไมมันถึงรู้สึกจริงขนาดนั้น...”
เขากระซิบแผ่วเบา ราวกับพูดปลอบตัวเอง
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้ามองเพดานเต็นท์ที่มืดมิด เสียงคลื่นจากชายฝั่งดังอยู่ไกลๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เขาเอนตัวพิงเตียงสนามเล็กน้อย สายตาหันไปทางเต็นท์อีกหลังที่ตั้งอยู่ใกล้กัน
เธอเป็นคนแนะนำให้พวกเขากางเต็นท์ใกล้กันเพื่อความปลอดภัย แม้จะแยกกันนอน แต่เขาก็รู้สึกว่าการมีเธออยู่ใกล้ๆ อย่างน้อยก็ทำให้สถานที่แห่งนี้ไม่เงียบเหงาจนเกินไป
เสียงลมหายใจเบาๆ ดังมาจากเต็นท์ข้างๆ บ่งบอกว่าเธอกำลังหลับสนิท มันทำให้เขาคิดถึงท่าทางที่ดูเป็นกันเองและใจดีของเธอ ความอัธยาศัยดีของเธอทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นในสถานที่ที่แปลกแยกเช่นนี้
เขาหลับตาลงอีกครั้ง พยายามเปรียบเทียบหญิงสาวในเต็นท์ข้างๆ กับหญิงสาวในความฝัน คนในฝันนั้นมีความเย็นชาและห่างเหิน แววตาของเธอเต็มไปด้วยความระแวดระวังราวกับกำแพงที่ยากจะทะลุผ่าน ขณะที่หญิงสาวที่อยู่ตรงนี้กลับดูมีชีวิตชีวาและเป็นมิตรกว่ามาก
“มันต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย...” เขาพึมพำเบาๆราวกับพูดกับตัวเอง
ชายหนุ่มเอียงหัวพิงกับหมอนที่หนุนอยู่ ขณะที่สายตากำลังจับจ้องไปยังเงารางๆ ของเต็นท์ข้างๆ เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเธอช่วยเติมเต็มความเงียบงันในยามค่ำคืน
“อย่างน้อยก็ยังดีที่ฉันไม่ได้อยู่คนเดียว...” เขาพึมพำกับตัวเอง เสียงเบาจนแทบกลืนไปกับเสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง
“ถ้าไม่มีเธออยู่ด้วย ฉันคงสติแตกไปแล้ว”
เขาหลับตาลง ความรู้สึกอุ่นใจจากการมีใครสักคนอยู่ใกล้ๆ คือสิ่งที่ช่วยเขาให้เขายังมีสติอยู่ ลมหายใจของเธอที่ดังแผ่วๆ กลับกลายเป็นจังหวะที่ช่วยกล่อมเขาให้ใจเย็นลง เขาปรับตัวให้นอนราบกับเตียงสนาม ทอดสายตาไปยังเพดานเต็นท์ที่มืดมิด
“หวังว่า…เช้านี้จะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นน่ะ” เขาพูดเบาๆ อีกครั้ง ราวกับส่งคำอธิษฐานลอยไปกับสายลมทะเล
แม้ความฝันอันเลือนรางและคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบจะวนเวียนอยู่ในหัว แต่ความเหนื่อยล้าก็ค่อยๆ ดึงเขากลับเข้าสู่ห้วงนิทรา ความเงียบสงบของค่ำคืนและความรู้สึกว่าไม่ได้เผชิญทุกอย่างเพียงลำพังช่วยให้เขาปล่อยตัวเองหลับไปในที่สุด