บทที่ 1 ( 1 )

1278 Words
“ยังไม่รู้เลยครับ แม่เบื่อที่จะดูแลผมแล้วเหรอ” อชิระถามมารดาแล้วยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางการมองค้อนของท่าน “แม่ไม่เคยเบื่อที่ต้องดูแลลูกเลยนะ แต่แม่อยากเลี้ยงหลานเหมือนคนอื่นเขาบ้าง เราเองก็อายุไม่น้อยแล้วนะ” เพื่อนๆ เธอต่างก็มีหลานให้อุ้มไปส่งโรงเรียนกันแล้วทั้งนั้น เธออยากได้ยินเสียงเรียกคุณย่าครับคุณย่าขาก่อนตาย แต่ก็ไม่รู้ว่าลูกคนนี้จะทำความฝันของเธอเป็นจริงได้เมื่อไร “ผมยังไม่เจอคนที่ถูกใจเลย” อชิระพูดปัดไปเหมือนทุกที “เราก็พูดอย่างนี้ทุกที แล้วจะเจอได้ยังไงคนที่ถูกใจน่ะวันๆ ทำแต่งานอย่างเดียวใจคอจะครองตัวเป็นหนุ่มโสดไปตลอดเลยหรือไง” คุณจินตนาถามลูกชายที่นั่งกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย “ถ้าผมจะเจอคนที่ใช่ต่อให้ไปนั่งทำงานในป่ายังไงผมก็ต้องเจอคนๆ นั้นครับ” อชิระพูดพร้อมกับตักแกงป่าไก่ใส่จานให้มารดา จินตนามองหน้าลูกชายแล้วถอนหายใจเบาๆ เพราะรู้ว่าสิ่งที่อชิระพูดก็ถูกต่อให้อยู่ไกลแค่ไหนถ้าเขาจะเจอคนที่ใช่ยังไงสักวันก็ได้เจอกัน ก็พอจะรู้หรอกนะว่าที่ลูกชายเธอเป็นแบบนี้เพราะเข็ดกับความรักเมื่อหลายปีก่อน พูดแล้วก็เจ็บใจ ผู้หญิงนิสัยไม่ดีและใฝ่สูงคนนั้นทำให้อชิระปิดประตูหัวใจไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนไหนอีกเลย แถมรอยยิ้มและมนุษย์สัมพันธ์ที่เคยมีทุกคนก็หายไปด้วย ทุกวันนี้มีคนมาบ่นให้ได้ยินว่าทำไมลูกชายหน้าดุจังเธอก็ไม่รู้จะตอบคนถามไปว่ายังไงได้แต่ยิ้มแหยๆ ต่อไปนี้เธอจะหาผู้หญิงที่เหมาะสมมาเป็นลูกสะใภ้ให้ได้ ขืนรอให้หาเองมีหวังชาตินี้เธอไม่ได้อุ้มหลานแน่ๆ ++++++ “แม่ขอเงินหน่อยสิ” คำพูดที่คนในบ้านได้ยินจนชินและเบื่อหน่าย แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ดังขึ้นในช่วงค่ำของวันซึ่งเป็นเวลาประจำ “อีกแล้วเหรอ เมื่อวานก็เพิ่งให้ไปหมดแล้วหรือไง” หญิงวัยกลางคนถามแต่ก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเงินใบใหญ่ของตัวเองแล้วดึงแบงค์สีเทามาส่งให้ลูกสาวเหมือนเช่นทุกวัน “เงินแค่นั้นกินเหล้าได้ไม่กี่ขวดก็หมดแล้ว” หญิงสาวที่แต่งตัวเปรี้ยวเข็ดฟันพูดออกมา “ให้มันเพลาๆ บ้างเถอะเรื่องเหล้ายาปลาปิ้งเนี่ย เราน่ะเป็นผู้หญิงนะออกไปไหนตอนกลางคืนมันอันตราย” คำพูดที่แสดงถึงความห่วงใย แต่ดูเหมือนว่าคำพูดที่ออกจากปากเธอเป็นลมที่พัดเข้าหูลูกสาวแค่นั้น “แม่จะบ่นทำไมเนี่ย ถึงทรายจะกินเหล้าแต่ก็กลับมานอนบ้านทุกวันนะ” หญิงสาวคนเดิมพูดแล้วหยิบลิปสติกขึ้นมาเติมทั้งๆ ที่สีก็จัดอยู่แล้วจากนั้นก็เดินออกจากบ้านไป “ไอ้ลูกคนนี้ใช้เงินเป็นเบี้ยเงินเดือนไม่เคยเห็นแล้วยังมาขออีกได้ทุกวัน” นวลพรรณบ่นเหมือนเช่นทุกวัน แต่ก็ไม่รู้จะปรามลูกสาวยังไงดี งานนี้จะโทษใครได้ในเมื่อตัวเธอเองก็ตามใจอีกฝ่ายมาตลอด “แม่กับข้าวเสร็จแล้วนะคะ ไปกินข้าวกันเถอะ” เสียงหวานๆ ของหญิงสาวอีกคนดังขึ้นมาจากทางด้านหลังบ้าน เธอมีลูกสาวสองคน คนโตชื่อรสิกา คนเล็กชื่อรมิดาสองสาวที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่าง ลูกสาวคนโตเป็นคนติดบ้านไม่ชอบออกไปไหน ไม่เที่ยวกลางคืนไม่ดื่มเหล้า ส่วนลูกสาวคนเล็กชอบปาร์ตี้เพื่อนเยอะใช้เงินเก่ง ดีหน่อยที่ยังทำงานบ้างแต่เงินทองก็ไม่เคยพอใช้ต้องมาขออยู่ทุกเดือน “วันนี้ทำอะไรกินบ้างล่ะ” เธอเดินเข้ามาที่โต๊ะกินข้าวตรงหน้าเธอมีจานข้าวกล้องควันกรุ่นพร้อมกับอาหารสามอย่างที่ดูน่ากิน “แกงปลาดุกใส่ใบยี่หร่า หมูทอดและก็ผัดผักค่ะ” รสิกาตอบมารดาแล้วนั่งตรงข้ามมารดา “กำลังอยากกินพอดีเลย แล้วนี่แบ่งหมูทอดเอาไว้ให้น้องแล้วหรือยัง” นวลพรรณถามเพราะรมิดาไม่ชอบกินปลาแบบนี้ ลูกสาวคนเล็กชอบกินพวกปลาทอดเพราะที่ต้มแกงหรือนึ่งมักมีกลิ่นคาวทั้งๆ ที่อาหารที่บ้านทำไม่เคยมีกลิ่นคาวเลยก็ตาม “แบ่งไว้แล้วค่ะ แต่ทรายจะกลับมากินเหรอแบ่งไว้ให้ไม่เคยกินสักที” รสิกาพูดและอดน้อยใจไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่อาหารจะต้องถูกแบ่งเอาไว้ให้น้องสาวเสมอ และเจ้าตัวก็ไม่เคยกลับกินเหมือนกัน “แบ่งเอาไว้เถอะมีให้กินดีกว่าไม่มีเดี๋ยวก็มาถามหาแล้วโวยวายอีก” และก็เหมือนทุกครั้งที่เธอบ่นเรื่องนี้บิดาก็ต้องพูดแบบนี้ทุกครั้งไป “แล้วเรื่องจะไปออกร้านที่งานสะพานล่ะเราได้บูทเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” นวลพรรณถามลูกสาว เพราะรสิกาเป็นคนดูแลเรื่องร้านแทนเธอได้แล้ว “เรียบร้อยแล้วค่ะ รู้สึกว่าปีนี้จะมีร้านมาออกบูทเยอะมากขึ้น” บ้านของเธอเป็นร้านขายเครื่องประดับซึ่งเป็นร้านใหญ่ที่สุดในจังหวัด และบิดาของเธอก็ทำไร่เป็นรายได้อีกทางหนึ่งด้วย “งั้นเหรอ แล้วของที่ร้านเราออกแบบขึ้นตัวเรือนไปถึงไหนแล้วใกล้เสร็จหรือยัง” เวลาออกบูทจัดงานร้านเธอมักมีแบบใหม่ๆ สวยๆ ดึงดูดลูกค้าเสมอและคนที่ออกแบบก็ไม่ใช่ใครเป็นรสิกานี่เองที่คอยพัฒนารูปแบบของเครื่องประดับให้ทันสมัยมากขึ้นทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนมาด้านนี้คงเพราะมันอยู่ในสายเลือดด้วยมั้ง “วันนี้หนูก็ไปดูช่างทำมาแล้วงานก็รุดหน้าไปได้เยอะแล้วนะ น่าจะทันวันงานค่ะ” ก่อนกลับบ้านเธอได้แวะไปคุยกับช่างประจำที่คอยทำงานส่งให้ที่บ้านมาแล้ว ช่างที่ทำก็รู้จักกันมานานเลยรู้ว่าเธอต้องการงานแบบไหน แต่ถ้างานชิ้นไหนยากเกินก็จะเอาเข้าโรงงานเพื่อหล่อเป็นรูปออกมาเลยมันจะประหยัดทั้งเงินและเวลาไปได้มากที่เดียว หลังจากที่ทุกคนอิ่มจากอาหารมื้อค่ำแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน และก็เหมือนทุกคืนที่รมิดากลับมาเกือบสว่าง บางครั้งเธอก็แปลกใจนะว่าน้องสาวเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปทำงานทั้งๆ ที่นอนไปแค่นิดเดียว “เช้านี้มีอะไรกินบ้าง” รมิดาเดินลากขามานั่งลงที่เก้าอี้อย่างหมดแรง “ก็มีข้าวต้มหมูอยู่ในครัวน่ะ ถ้าจะกินก็ไปตักเอาเองแล้วกันนะ” รสิกาพูดแล้วลุกเดินเตรียมจะออกไปร้าน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินคำพูดที่น้องสาวพูดออกมา “ยืมเงินสองพันสิเงินเดือนออกแล้วจะคืน” คำพูดที่ไม่มีหางเสียง ไม่เหมือนคนที่มาขอความช่วยเหลือเลยสักนิด ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง แถมเวลาพูดอะไรแบบนี้รมิดามักไม่ค่อยมองหน้าเธอเท่าไรเหมือนพูดลอยๆ ให้รู้เอง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD