ความรู้สึกแรกหลังจากที่ฉันก้าวขาลงจากเครื่องบินคือความร้อนอบอ้าวจากแดดของประเทศไทยที่สาดเข้ามาปะทะกับผิวหน้าและผิวกายของฉันจนมันแสบร้อนไปหมด
นี่ขนาดฉันใส่เสื้อแขนยาวแล้วนะ แต่ก็ยังไม่วายโดนแดดเล่นงานจนผิวเริ่มแดงเป็นแถบๆ มีหวังถ้าเดินลงมาโดยไม่ใส่ฉันคงจะได้สุกคาสนามบินก่อนแน่ๆ
เฟลมิตาหรือเฟลมเป็นชื่อจริงและชื่อเล่นของฉันเอง ฉันเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีที่เมืองนอกและบินกลับมาที่ประเทศไทยเพื่อทำงาน
จริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะไปเรียนไกลขนาดนั้นหรอก แต่ที่ไปเพราะคนๆ นั้นเขาเคยไปเรียนที่นั่นมาก่อนฉันก็เลยตามไปเรียน
แม้เราจะต่างวัยและไม่ได้เรียนพร้อมกันแต่มันก็ทำให้ฉันสามารถหาข้ออ้างในการพูดคุยกับเขาได้
ก็แบบคุยกันตามประสาของคนที่เรียนที่เดียวกันไง บางทีก็ขอคำแนะนำเพราะเขาเป็นคนที่เก่งเอามากๆ
ตอนนี้ฉันกำลังนั่งรถจากสนามบินไปหาเขาที่บริษัท หัวใจมันเต้นแรงไปหมดเพราะเราไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว ถึงอย่างนั้นแต่ความรู้สึกที่ฉันมีต่อเขากลับไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย
แกร๊ก!
“ถึงแล้วครับคุณเฟลม” เมื่อถึงที่หมายคนขับรถส่วนตัวก็เดินลงมาเปิดประตูให้ฉัน
“ขอบคุณค่ะพี่ดิน” เขาชื่อแผ่นดินเป็นคนขับรถส่วนตัวที่ทั้งฉันและคุณพ่อไว้ใจให้คอยไปด้วยทุกที่
พี่ดินมีความเป็นกันเองสูงมาก เขาอายุเยอะกว่าฉันก็จริงแต่นิสัยและไลฟ์สไตล์ของเราใกล้เคียงกันมากเลยทำให้เราเข้ากันได้ดี ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองมีเพื่อนเพิ่มมาอีกคนเลยล่ะ
นอกจากพี่ดินจะเป็นคนขับรถและเป็นเพื่อนให้ฉันแล้ว บางครั้งเขาก็เป็นที่ปรึกษาในหลายๆ เรื่องให้กับฉันเพราะเขาโตกว่าฉันมาก
เรียกว่าเป็นทุกอย่างเลยก็ว่าได้
จะว่าไปคนๆ นั้นก็อายุมากกว่าฉันถึงสิบปีเหมือนกันเลยนี่นา
“ขอบคุณค่ะ” ฉันคลี่ยิ้มบางๆ แล้วก้าวขาลงจากรถ “ไม่ต้องรอรับนะคะ เฟลมว่าเย็นนี้จะแวะไปกินข้าวบ้านคุณป้า”
“ครับ” พี่ดินรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไปจากที่นี่
ฉันเงยขึ้นมองตึกสูงใหญ่ที่เป็นบริษัทของตระกูลราชภิรมย์ภักดีด้วยความคิดถึง หลายปีแล้วที่ฉันไม่ได้กลับมาที่นี่ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย
ไม่รู้ว่าเขาจะอยู่หรือเปล่า…
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเช็กเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินเข้าไปในตึกมุ่งตรงไปยังห้องทำงานของรองประธานบริษัท
หัวใจเต้นโครมครามราวกับมีฟ้าผ่าลงมาเมื่อได้เห็นร่างสูงในชุดสูตสีดำกำลังก้มหน้าก้มตาเซ็นเอกสารด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ความหล่อเหลาของเขาไม่เคยแผ่วลงเลยจริงๆ ใบหน้าคมสันที่ถูกปั้นเป็นทรงให้เป๊ะทุกระเบียด คิ้วหนาดกดำยิ่งขับภาพรวมของเขาให้ดูเข้ม จมูกโด่งคมโดยธรรมชาติรับกับริมฝีปากหยักได้รูปสีชมพูคล้ำน่าสัมผัสชวนให้ผู้ชายคนนี้ดูมีเสน่ห์ น่าหลงใหล ดวงตาคมสีดำขลับแฝงไปด้วยความรู้สึกที่เร้นลึกชวนให้อยากเข้าไปค้นหา
ฉันเป็นต้องเลื่อนมือขึ้นมากุมหน้าอกตัวเองเอาไว้เพราะตอนนี้โดนพิษความหล่อของเขาบาดเข้าอย่างแรงที่หัวใจ เขาทำให้ฉันอยากเดินเข้าไปหาและกอดรัดฟัดเหวี่ยงให้หายคิดถึง
แต่ฉันก็ทำได้แค่คิด…
เพราะความจริงแล้ว…
เขาไม่ได้คิดอะไรกับฉัน…มีแค่ฉันที่หลงรักเขาอยู่ฝ่ายเดียว
“หนูเฟลม! นั่นหนูเฟลมใช่ไหมลูก”
ระหว่างนั้นเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นจากไกลๆ ฉันหันกลับไปมองทางด้านหลัง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงก็คือคุณย่าศรีพิจิตร
“คุณย่า…คิดถึงจังเลยค่ะ” ฉันรีบก้าวขาฉับๆ เข้าไปหาท่านแล้วสวมกอดให้หายคิดถึง คุณย่าเองก็สวมกอดฉันเช่นกัน
“กลับมาตั้งเมื่อไหร่ลูก” ท่านถามขึ้นอย่างเอ็นดูหลังจากผละกอดออก
“เพิ่งกลับมาถึงเลยค่ะ”
“ไม่เห็นบอกย่าก่อนเลยจะได้ให้ตาทศไปรับที่สนามบิน” คุณย่าบอกอย่างเสียดายแต่ก็แอบแซวไปในที ท่านรู้ว่าฉันคิดยังไงกับหลานชายของเขา
ฉันยิ้มอย่างเขินๆ ก่อนจะเอ่ยตอบท่านว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ เฟลมอยากมาเซอร์ไพรส์มากกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบเข้าไปหาพี่เขาสิลูก”
คุณย่าไม่พูดเปล่าแต่ยังจูงมือพาฉันเดินเข้าไปในห้องทำงานของเขาคนนั้นโดยที่ฉันยังไม่ทันได้ตั้งตัว ดังนั้นฉันจึงเกิดอาการเลิ่กลั่กขึ้นเล็กน้อยในตอนที่ก้าวขาเข้ามาภายในห้อง
“ตาทศ น้องมาหาน่ะลูก” พอได้ยินคุณย่าเอ่ยคล้ายกำลังแซวเขาก็เงยหน้าขึ้นมองมาทันที
วูบแรกที่ได้เห็นหน้าเขาหัวใจฉันก็กระตุกอย่างรุนแรงเหมือนโดนใครกระชาก ตอนมองไกลๆ ก็ว่าหล่อแล้ว พอมองใกล้ๆ ยิ่งรู้สึกว่าเขาโคตรหล่อเข้าไปใหญ่
“ยังจำน้องเฟลมได้ไหมลูก”
พี่ทศเหลือบมามองหน้าฉันครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงโฟกัสกับงานเหมือนเดิม
“ครับ” เขาเอ่ยตอบคุณย่าเพียงสั้นๆ ไม่ได้สนใจฉันที่กำลังยืนมองเขาอย่างอยากจะกลืนกินเลยสักนิด
“น้องเพิ่งบินกลับมา ยังไงย่าฝากทศพาน้องเดินเที่ยวบริษัทหน่อยนะลูก” คุณย่าบอกเสียงอ่อยอย่างเกรงใจ
ขวับ!
พี่ทศเงยหน้าขึ้นมองคุณย่าทันควันราวกับกำลังไม่พอใจ แล้วบอกท่านผ่านทางสายตาว่า ‘ผมงานยุ่ง’
“นะลูกนะ น้องเพิ่งกลับมาไม่มีใครพาไปเยี่ยมชมบริษัทเลย ย่าเองก็แก่แล้วจะให้เดินทุกมุมก็คงจะไม่ไหว” คุณย่ายังคงไม่ละความพยายามในการสร้างสถานการณ์ให้ฉันได้อยู่ใกล้ๆ กับเขา
งือ ฉันรักคุณย่าที่สุดเลย!
“ที่นี่มีผมแค่คนเดียวเหรอครับ?”
คำพูดไร้เยื่อใยและน้ำเสียงเย็นชาหลุดออกมาจากปากของร่างสูง ก่อนที่เขาจะตวัดหางตามองมาทางฉันแล้วหยุดค้างไว้ที่เรียวขาทั้งสองข้าง
เขาจ้องค้างอยู่นานจนฉันเริ่มหมดความมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ได้เขินเลยสักนิดเพราะสายตาคู่นั้นคละคลุ้งไปด้วยความเย็นชา
“ขาก็มี ไม่ได้พิการสักหน่อย” เขาเอ่ยออกมาเบาๆ แล้วเบือนหน้ามองไปทางอื่นอย่างไม่สบอารมณ์
“ตาทศ! พูดจาแบบนี้กับน้องได้ยังไง!” คุณย่าใช้เสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเพื่อบอกให้เขารู้ว่าท่านกำลังไม่พอใจเอามากๆ
“คะ…คุณย่าคะ…เดี๋ยวเฟลมเดินดูบริษัทเองก็ได้ค่ะ…” ฉันสะกิดบอกคุณย่าเสียงแผ่ว ลึกๆ ก็แอบรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุทำให้บรรยากาศภายในห้องเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่ได้! ย่าของสั่งให้ทศพาน้องเดินทัวร์บริษัท” คุณย่ายื่นคำขาดเสียงแข็ง ส่วนพี่ทศก็ขยับปากทำท่าจะเถียงทว่าก็ถูกท่านเอ่ยขัดขึ้นซะก่อน “บริษัทนี้ย่าเป็นประธาน ทุกคนต้องฟังคำสั่งของย่า!”
กล่าวจบคุณย่าก็เดินสะบัดก้นออกจากห้องไปทันที โดยไม่รู้ตัวเลยว่าท่านได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ให้ฉันด้วย
ดูสายตาที่พี่ทศมองฉันในตอนนี้สิมีแต่คำว่า ‘น่ารำคาญ’ เต็มไปหมด
วันแรกของการเจอกันฉันก็ทำให้เขาไม่ประทับใจเข้าซะแล้ว
“คะ…คือว่า…”
“เงียบ!”
ฉันสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจเมื่อจู่ๆ พี่ทศก็พูดแทรกขึ้นเสียงดังในขณะที่ฉันกำลังจะบอกเขาว่าไม่ต้องพาฉันเดินทัวร์บริษัทแล้วก็ได้
“อยากไปมากก็รอ เสร็จงานเมื่อไหร่ก็ไปเมื่อนั้น”
“แปลว่าพี่ทศยอมพาเฟลมทัวร์บริษัทแล้วเหรอคะ?” ฉันถามด้วยความดีใจอย่างออกนอกหน้า จนลืมเก็บอาการซะสนิท
“เป็นผู้หญิงอย่าระริกระรี้ให้มันมาก” พี่ทศกดเสียงลงต่ำแล้วจ้องหน้าฉันตาเขม็ง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำบาดใจออกมาจากปาก “เพราะมันดูไร้ค่า!”
จึ้ก!
คะ…โคตรเจ็บ…
เมื่อกี้ก็กำลังจะบอกไงว่าไม่ต้องพาไปแล้ว ไม่อยากพาไปก็ไม่ได้บังคับซะหน่อย! แต่ใครกันล่ะที่พูดแทรกขึ้นและเป็นคนยอมพาฉันไปเอง
ก็ไม่ใช่พี่ทศหรือไง! แล้วจะมาว่าฉันทำไมเล่า!
แค่ดีใจที่จะได้ใช้เวลากับคนที่แอบรักมานานหลังจากไม่เจอกันหลายปีนี่มันผิดมากหรือไง!
ไอ้คนบ้า!!
แม้จะอยากเดินไปกรี๊ดแล้วพูดแบบนี้ใส่หน้าพี่ทศมากแค่ไหนแต่ฉันก็ทำได้แค่เดินฟึดฟัดไปนั่งรอเขาที่โซฟาด้วยความหงุดหงิดปนน้อยใจ
ถ้าในอนาคตเกิดจีบติดขึ้นมาเมื่อไหร่ ฉันจะเป็นฝ่ายหยิ่งใส่บ้างคอยดูสิ!!