Chapter 1 : ข้อตกลงคืนเข้าหอ

2347 Words
“พี่ธามอย่าเพิ่งนอนลุกขึ้นมาคุยกันก่อนค่ะ” เสียงหวานของหญิงสาวที่อยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ยืนเท้าเอวอยู่ข้างเตียงใหญ่ในห้องนอนกว้างที่ถูกตกแต่งสไตล์เรียบหรูร้องเรียกชายหนุ่มที่เพิ่งจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหลังจากที่เจ้าตัวเปลี่ยนจากชุดเจ้าบ่าวมาเป็นชุดนอนเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงนอนนิ่งไม่สนใจเธอพร้อมกับหลับตาลงราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคนตัวเล็กที่ยืนหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ ปฎิริยาของเขามันช่างกวนอารมณ์ของคนตัวเล็กที่ยืนหน้ามุ่ยได้เป็นอย่างดี “พี่ธาม!!!!” น้ำเสียงของเธอเปลี่ยนเป็นตะคอกเสียงดังหลังจากที่เขาไม่สนใจเธอ แต่คนตัวโตที่นอนอยู่บนเตียงก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาหรือเดือนร้อนอะไรกับท่าทางหัวเสียของเธอเลย “พูดจาดีๆ กับผัวไม่เป็นหรือไง” ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงก่อนจะตอบเธอออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ใช่ค่ะ!! ผู้ชายที่พูดจายียวนกวนประสาทของฉันอยู่ตอนนี้เขาได้ชื่อว่าเป็น “สามี” ที่ถูกต้องตามกฎหมายของฉันเอง ฉัน “อายตา ” เด็กสาวอายุ 19 ย่าง 20 ปี ที่เพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 หมาดๆ ฉันเรียนคณะบริหารฯ เอกบัญชี อยู่มหาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ จริงๆ แล้วครอบครัวฉันอยู่เชียงใหม่พ่อกับแม่ท่านไม่ได้อยากให้ฉันที่เป็นลูกสาวคนเล็กต้องมาเรียนไกลถึงกรุงเทพฯ หรอกค่ะ แต่ฉันเองที่ดื้อดึงอยากจะมา ด้วยเพราะฉันอยากมาหาประสบการณ์ในเมืองใหญ่และจะได้มีอิสระตามใจตัวเองด้วย ฉันเป็นลูกสาวคนเล็กก็เป็นธรรมดาที่พ่อแม่จะเป็นห่วงซึ่งต่างจากพี่ชายของฉัน พี่เอิร์ธ ที่บอกว่าฉันไปอยู่กรุงเทพฯ ก็ดีจะไม่วุ่นวายกับเขา ผลักไสกันสุดๆ ไปเลย แต่ฉันก็รู้ว่าเขาเองก็เป็นห่วงฉันไม่น้อยเพราะตั้งแต่เด็กเราก็อยู่ด้วยกันมาตลอด แต่คงเป็นเพราะฉันกับเขาอายุค่อนข้างห่างกันหลายปีเราจึงไม่ค่อยจะพูดจาดีๆ กันสักเท่าไรแต่เราก็รักกันนะ ครอบครัวของฉันเองมีสวนผลไม้พวกส้ม สตรอเบอรี่ แอปเปิ้ลและผลไม้เมืองหนาวอีกหลายอย่างในเชียงใหม่แต่ที่ทำเป็นหลักเลยก็เห็นจะเป็นสวนองุ่นนี่แหละ ตอนนี้ก็มีพี่เอิร์ธนี่แหละที่เรียนจบแล้วก็มาช่วยพ่อกับแม่ดูแลงานที่บ้าน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักค่ะเพราะหลังจากที่ฉันมาอยู่กรุงเทพฯ ได้แค่เดือนกว่าๆ พ่อกับแม่ก็โทรมาบอกว่าจะให้ฉันแต่งงานกับลูกชายเพื่อนรักของพ่อนั่นก็คือพี่ธาม เราสองคนถึงจะพอรู้จักกันบ้างเพราะพ่อแม่เราสนิทกันมากและเราเจอกันบ่อยช่วงที่ยังเด็กเพราะเรียนที่เดียวกันแต่พอขึ้นมัธยมพี่ธามก็ย้ายเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ตั้งแต่นั้นเราก็ไม่ค่อยได้เจอกันเลยนอกจากจะเจอกันช่วงที่มีงานเทศกาลหรือช่วงที่พี่เขากลับมาเชียงใหม่แล้วพ่อแม่ของเรานัดกินข้าวหรือจัดปาร์ตี้เล็กๆ ซึ่งทำให้ลูกๆ ได้เจอกันด้วย “ธามธาวิน” ชายหนุ่มอายุ 21 ปีเขากำลังเรียนอยู่ปี 3 คณะวิศวะด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์มหาวิทยาลัยเดียวกับฉันซึ่งฉันมองว่าเขาน่าจะเรียนบริหารมากกว่าเพราะที่บ้านมีธุรกิจมากมาย หน้าตาหล่อเหล่าปานลูกรักพระเจ้าที่ตั้งใจปั้นเขาออกมาด้วยส่วนสูงเกือบ 190ซม. ผิวขาว หน้าคม จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ริมฝีปากหยักสวยได้รูป ลูกชายคนเดียวของเจ้าของไร่องุ่นขนาดใหญ่และโรงผลิตไวน์ที่มีพื้นที่นับพันไร่ในจังหวัดเชียงใหม่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาและธรรมชาติที่สวยงาม นอกจากนี้ครอบครัวของเขายังมีธุรกิจอีกหลายอย่าง เช่น อสังหาริมทรัพย์ทั้งในเชียงใหม่และในเมืองใหญ่หลายแห่งในประเทศรวมถึงรีสอร์ทท่ามกลางขุนเขาในเชียงใหม่ และยังมีธุรกิจขนาดเล็กอีกมากมายหลายอย่าง เขาคือชายหนุ่มที่สาวๆ ต่างพากันหลงใหลและอยากจับจองให้ได้เป็นเจ้าของ แต่ดูเหมือนชายหนุ่มที่เพียบพร้อมอย่างเขาจะไม่สนใจใครเลยแถมเจ้าตัวยังทำตัวเย็นชากับผู้หญิงทุกคนที่เข้ามา เรียกได้ว่า “เย็นชากับสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกใบนี้” แต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเขาได้รับรู้ว่าตัวเองจะต้องแต่งงานกับลูกสาวของเพื่อนรักของพ่อแม่ตัวเองซึ่งเขาเองก็รู้จักเจ้าสาวของตัวเองดี นั่นแหละค่ะคือเหตุผลที่ฉันต้องมาเป็นเจ้าสาวตั้งแต่อายุ 19 ปี ช่วงเวลาสำคัญที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตวัยรุ่นโดนดับฝันด้วยการแต่งงาน ฉันอยากจะร้อนตะโกนออกมาให้ดังก้องโลกไปเลยเผื่อว่าจะมีใครเข้าใจฉันบ้าง กลับมาเรื่องที่คุยกับพี่ธามค้างไว้กันค่ะ... ฉันยื่นจ้องหน้าพี่ธามที่นอนสบายอารมณ์อยู่บนเตียงหลังจากเขาพูดว่าตัวเอาเป็น “ผัว” ฉันได้อย่างไม่อายปาก “หยุด! หยุดพูดแบบนั้นนะพี่ธาม!! เราสองคนยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย” เสียงหวานแหววใส่คนตัวโต ตอนนี้หน้าแดงไม่รู้เพราะร้อนหรือเขินกันแน่ แต่จะบอกว่าร้อนก็คงจะไม่ใช่เพราะตอนนี้ที่เชียงใหม่อากาศดีมาก อ้อ! ลืมบอกไปค่ะ งานแต่งงานของฉันกับพี่ธามถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายมีแต่แขกผู้ใหญ่และญาติสนิทของทั้งสองฝ่าย งานถูกจัดที่รีสอร์ทภายในไร่องุ่นของครอบครัวพี่ธามและคืนนี้ก็เป็นคืนเข้าหอของเราสองคน “ทำไมจะพูดไม่ได้ก็ฉันเป็นผัวเธอจริงๆ นี่ เราสองคนแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันแล้วและตอนนี้ก็กำลังเข้าหอด้วย หรือว่าเธออยากให้ฉันทำเรื่องอย่างว่าก่อนถึงจะพูดได้เต็มปากว่าฉันนี่แหละ ผัว เธอ” ธามธาวินลุกขึ้นนั่งพูดจายียวนใส่คนตรงหน้าพร้อมกันรอยยิ้มมุมปากอันแสนกวนประสาท ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่เขาคิดเพราะคนตัวเล็กตรงหน้าตอนนี้โมโหจนหูแดงไปหมดแล้ว อายตาที่ยังอยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวสำหรับงานเลี้ยงตอนเย็นยื่นกำมือแน่นใบหน้าหวานนั่นแดงไปหมดเพราะอารมณ์โกรธที่คนตรงหน้าเธอมันช่างกวนและยียวน “ฝันไปเหอะว่าฉันจะทำเรื่องแบบนั้นกับพี่ และอีกอย่างนะที่เราต้องมาแต่งงานกันพี่เองก็รู้ดีไม่ใช่เหรอว่ามันเป็นเพราะสัญญาของผู้ใหญ่ มันไม่ได้เกิดจากความต้องการของเราสองคนสักหน่อย” ใช่ค่ะ...เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นสัญญาที่ผู้ใหญ่เขาพูดกันไว้ว่าจะให้ลูกชายกับลูกสาวของเขาแต่งงานกันเพราะพวกเขาเป็นเพื่อนรักกันก็เลยอยากให้ครอบครัวของเราดองกันนั่นเอง ซึ่งทั้งหมดนี่พ่อแม่พี่ธามเป็นคนคิดตั้งแต่ต้น ซึ่งพ่อแม่ฉันก็ไม่ค่อยเห็นด้วยในตอนแรกเพราะไม่อยากให้ใครมาว่าว่าใช้ลูกสาวจับลูกคนรวย ถึงพวกท่านจะเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทชนิดที่สามารถตายแทนกันได้แต่ฐานะทางครอบครัวของเราก็ต่างกันพอสมควร ครอบครัวของฉันจัดว่าอยู่ในฐานะปานกลางไม่ได้ร่ำรวยมากมายเหมือนกับครอบครัวของพี่ธาม แต่พ่อแม่ของพี่ธามก็เกลียกล่อมพ่อแม่ของฉันจนได้โดยให้เหตุผลว่าอยากได้ฉันเป็นลูกสะใภ้จริงๆ ให้มองข้ามเรื่องฐานะไปเลยเพราะพวกท่านไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย พวกท่านมองว่าครอบครัวของเราทั้งสองเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันมาตั้งนานแล้ว สุดท้ายกรรมก็ตกมาอยู่ที่ฉันกับพี่ธามนี่แหละค่ะ “จะต้องการหรือไม่ต้องการเธอกับฉันก็แต่งงานกันแล้ว เลิกพูดมากได้แล้วฉันจะนอน” ว่าแล้วเขาก็ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง ปล่อยให้ฉันยืนกระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียว “เดี๋ยวอย่าเพิ่งนอน เรามาตกลงกันก่อนค่ะ!” “ตกลงอะไร?” พี่ธามหันมาหาฉันพร้อมกันชันแขนท้าวศรีษะไว้ในท่านอนตะแคงมองฉัน “ก็ตกลงกันว่า… พี่ห้ามยุ่งหรือทำอะไรฉันเด็ดขาดเพราะเราแต่งงานกันแค่ในนาม ฉะนั้นห้างคิดพิเลนเด็ดขาด!” “นี่เธอคิดว่าฉันพิศวาสเธอนักหรือไง สบายใจได้เลยฉันไม่มีอารมณ์กับเสาหลักกิโลเมตรอย่างเธอหรอก” ว่าแล้วก็นอนหันหลังกลับไปอีกครั้ง ฉันทำได้แค่ยืนมองคนที่ทิ้งตัวลงนอนอย่างไม่สบอารมณ์ ...ผู้ชายอะไรปากร้ายเป็นบ้าเลย... ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอย่างธามธาวินที่แสนจะเย็นชาและร้ายกาจถึงยอมตกลงแต่งงานกับฉันอย่างง่ายดาย ทั้ง ๆ ที่ฉันเองยังค้านพ่อแม่อยู่นานถึงยอมจะยอมจนมุม แต่เขากลับตอบตกลงอย่างง่ายดาย ไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ ยืนมองคนที่นอนหันหลังให้อยู่สักพักก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการอาบน้ำและออกมาด้วยชุดนอนที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ก่อนหน้าแล้วในชุดที่เหมือนเสื้อเชิตตัวใหญ่ ชุดนอนที่ทำจากผ้าเนื้อนุ่มแขนยาวสีขาวที่ยาวคลุมมาถึงเข่ากับกระดุมผ่ากลางที่ถูกติดยาวลงมา เท้าเล็กเดินอ้อมเตียงใหญ่ไปอีกฝั่งหนึ่งของเตียงก่อนจะแทรกตัวลงนอนโดยไม่ลืมที่จะเอาหมอนข้างมาวางกั้นกลางด้วย การนอนในคืนนี้ไม่รู้ว่าจะหลับลงหรือเปล่าเพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเลยที่จะนอนกับผู้ชายแบบนี้ ซึ่งต่างจากอีกคนที่หลับไปก่อนแล้ว ฉันแอบลอบมองหน้าคนที่หลับใหล่อยู่อีกฝั่งของหมอนข้างพลันหัวใจดวงน้อยก็เต้นแปลกๆ จนต้องยกมือขึ้นมากุมที่อกข้างซ้ายเบาๆ “เป็นบ้าอะไรอายตา ใจเต้นแรงทำไม นอน... นอนเดี๋ยวนี้” ต่อว่าตัวเองในใจที่เผลอใจเต้นแรงที่ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขายามหลับ... เช้าวันต่อมา….. “ไปอยู่กับพี่เขาแล้วก็อย่าดื้อมากนะลูก เชื่อฟังพี่เขาด้วยรู้ไหม” ใช่ค่ะ... แม่ฉันเองแหละที่บอกกับฉัน ตอนนี้ครอบครัวของเรามาส่งฉันกับพี่ธามที่สนามบินเพราะฉันกับพี่ธามกำลังจะกลับกรุงเทพฯ และฉันก็ต้องย้ายเข้าไปอยู่คอนโดเดียวกับพี่ธามตามความต้องการของผู้ใหญ่ ซึ่งตอนแรกฉันเองก็ค้านหัวชนฝาแต่พวกท่านบอกว่าแต่งกันแล้วก็ต้องอยู่ด้วยกันสิลูกถึงจะถูกและแล้วฉันก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปแต่อีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉันนี่สิ...ไม่คิดจะปริปากปฏิเสธอะไรเลย ยืนหน้านิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งก็ไม่ปาน แล้วตั้งแต่เช้าที่ตื่นมาเราสองคนก็ยังไม่ได้คุยอะไรกันเลย “ดูแลน้องดีๆ อย่าแกล้งน้องเข้าใจไหมตาธาม ถ้าพี่เขาแกล้งอะไรโทรมาบอกแม่เลยนะลูก” อาน้ำผึ้งแม่ของพี่ธามบอกกำชับลูกชายตัวเองพลางยื่นมือมาลูบหัวฉันเบาๆ อย่างเอ็นดู “พี่ฝากยัยนี่ด้วยนะ ถ้าดื้อมากนักก็จัดการได้เลยพี่อนุญาติ” พี่ชายตัวดีของฉันพูดพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ให้คนตัวโตที่ยืนอยู่ข้างฉัน พี่เอิร์ธกับพี่ธามค่อนข้างที่จะสนิทกันเพราะสองนี้ถึงเขาจะไม่ค่อยได้เจอกันแต่ก็ติดต่อกันอยู่ตลอด พี่ธามไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ส่งยิ้มกลับไปให้พี่เอิร์ธเป็นเชิงว่ารับทราบ Timetawin part.. ตอนนี้ผมกับอายตายืนอยู่ในสนามบินกับครอบครัวของเราครับ ใช่ครับ…ผมกำลังจะกลับกรุงเทพฯ พร้อมกับอายตา ครอบครัวของเราก็เลยมาส่ง จริงๆ แล้วผมตั้งใจจะกลับก่อนตั้งแต่เช้าแล้ว แต่เมื่อเช้าตอนตื่นมาผมก็ลงมาด้านล่างเลยปล่อยให้อายตานอนโดยไม่ได้ปลุกเธอ ก็ใครจะไปปลุกได้ลงหละครับ...เมื่อคืนผมก็แทบจะไม่ได้นอนเลยเพราะปกติผมนอนคนเดียวมาตลอดแล้วจู่ ๆ ก็มีผู้หญิงมานอนด้วยข้างๆ ทั้งคืน ไม่ใช่ว่าไม่เคยนอนกับผู้หญิงนะแต่ปกติไม่เคยค้างกับผู้หญิงคนไหนเลย พอผมแกล้งหลับไปได้สักพักเจ้าหล่อนก็ลงมานอนข้างๆ แถมหลับเป็นตายไม่สนใจเลยว่าเลือดในกายชายอย่างผมมันเดือดแค่ไหนที่มีผู้หญิงตัวหอมๆ มานอนอยู่ข้างๆ ห่างกันไม่ถึงคืบแบบนั้น ถึงผมจะไม่ได้พิษวาสอะไรเธอแต่ผมก็เป็นผู้ชายนะ กว่าจะข่มตาให้หลับได้ก็ค่อนคืนเข้าไปแล้ว แถมตื่นมาตอนเช้ายังเห็นสภาพเจ้าหล่อนที่นอนกอดผ้าห่มในชุดนอนที่เลิกสูงจนเห็นโคนขาขาวกับกระดุมที่หลุดออกจนเห็นไปถึงต่อไหนนั่นแล้วมันก็ทำให้ผมต้องรีบลุกออกจากมาเตียงอย่างไว กะว่าจะชิ่งหนีกลับกรุงเทพฯ ก่อนแต่ดันมาเจอพ่อแม่กับคุณอาทั้งสองที่ยืนยิ้มรออยู่ด้านล่างรวมถึงพี่เอิร์ธที่ดูงัวเงียเหมือนโดนปลุกให้มารอด้วยกัน จากนั้นก็ตามที่เห็นแหละครับ….. “หนูไม่ได้ดื้อซะหน่อย แล้วหนูก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วด้วย” อายตามองค้อนพี่ชายตัวเองไปหนึ่งกรุบ จากนั้นก็ล่ำลากันก่อนจะเดินเข้าไปยังด้านในสนามบิน....
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD