เวลาต่อมา กรุงเทพฯ……
“ห้องนอนอยู่ข้างบนเอาของขึ้นไปเก็บชั้นสองได้เลย แล้วหิวอะไรก็ไปหาซื้อเอาเองละกัน แล้วนี่คีย์การ์ดกับรหัส ถ้าจะออกไปข้างนอกก็ไลน์มาบอกฉันด้วย ฉันจะได้รู้ว่าเธออยู่ที่ไหนจะได้ตอบคำถามแม่ฉันถูก ฉันขี้เกียจฟังแม่บ่นว่าไม่ดูแลเธอ ฉันไปหละ” พี่ธามเอ่ยบอกออกมาเสียงเรียบทันทีที่เราก้าวเข้ามาภายในเพนท์เฮ้าส์สุดหรูใจกลางกรุงซึ่งมีเขาเป็นเจ้าของ จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป ฉันได้แต่ยืนอึ่งกับความใหญ่โตกว้างขวางของห้องจึงไม่ได้ตอบกลับอะไรเขาไป
เพนท์เฮ้าส์นี้ถูกจัดแบ่งโซนได้อย่างลง ทั้งชั้นนี้เป็นของเขาคนเดียวเพราะเราขึ้นลิฟต์มาก็มาโผล่ที่หน้าประตูห้องเลยอารมณ์เหมือนเดินเข้าบ้านแค่มีประตูกั้น ข้าวของทุกอย่างภายในห้องถูกจัดเป็นระเบียบและตกแต่งด้วยโทนสีเทาเข้ม สีดำ สีน้ำตาลเข้ม สีขาว เรียบหรูดูแพงบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของเจ้าของได้เป็นอย่างดี โดยชั้นล่างนี้มีโถงโล่งที่มีชุดโซฟาสีเทาเข้มตั้งอยู่ตรงกลางและวีทีขนาดใหญ่ มองตรงไปก็เป็นกระจกบานใหญ่ที่สูงจากพื้นจนถึงเพดานด้านบน ด้านซ้ายเป็นบาร์เครื่องดื่มที่มีตู้กระจกขนาดใหญ่ด้านในเต็มไปด้วยขวดเหล้ามากมายหลายแบรนตั้งเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบบ่งบอกว่าที่นี่คงจะเป็นที่จัดปาร์ตี้อย่างแน่นอน ส่วนด้านขวามีห้องอีกสามสี่ห้อง
เมื่อเห็นพี่ธามออกไปแล้วฉันก็ถือวิสาสะเดินสำรวจห้องซะเลย ฉันค่อยๆ เปิดประตูห้องแต่ละห้องโดยเริ่มจากห้องที่ใกล้ที่สุด พอเปิดเข้าไปก็เห็นมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่กลางห้อง รอบๆ ห้องโล่งมีเพียงตู้เอกสารและชั้นวางของซึ่งน่าจะเป็นห้องทำงานของเขา ฉันเปิดเข้าไปอีกห้องซึ่งเป็นห้องที่ค่อนข้างมืดมีโซฟาเบทขนาดใหญ่ตั้งอยู่และทีวีขนาดใหญ่ซึ่งดูๆ แล้วห้องนี้น่าจะเป็นห้องดูหนังเพราะมีทั้งโฮมเทียร์เตอร์และตู้กระจกที่มีแผ่นหนังมากมายเรียงอยู่บนนั้นรวมทั้งคอเลคชั่นของสะสมที่เกี่ยวกับหนังต่างๆ วางเรียงอยู่ในนั้น ถัดไปอีกห้องก็เป็นห้องนอนโล่งๆ ที่มีเพียงเตียงนอนกับโต๊ะตัวเล็กห้องนี่น่าจะเป็นห้องนอนสำหรับแขก จากนั้นฉันก็เดินออกมาเพื่อจะไปเปิดประตูของอีกห้องที่อยู่ข้างๆ แต่ปรากฏว่ามันถูกล็อคไว้ด้วยกุญแจอันเล็กจากด้านนอก
“นี่มันห้องอะไรทำไมต้องล็อคแน่นหนาขนาดนี้?” ได้แต่ตั้งคำถามในใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากก่อนจะเดินไปดูห้องครัวที่ตั้งอยู่ด้านในข้างๆ กันมีห้องน้ำสำหรับแขก และถัดไปก็เป็นห้องซักผ้าที่มีเครื่องซักผ้ากับเครื่องอบผ้าวางอยู่ข้างกัน ภายในมีอุปกรณ์รีดผ้าและอุปกรณ์ทำความสะอาดจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะเดินกลับมาเปิดตู้เย็นเพื่อดูว่ามีอะไรให้กินบ้าง แต่ด้านในกลับไม่มีอะไรเลยนอกจากขวดน้ำและเบียร์กระป๋องมากมายที่อัดแน่นอยู่ในนั้น
“นี่เขากินเบียร์แทนข้าวเหรอเนี้ย” ฉันส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องครัวและมองไปยังฝั่งตรงข้ามอีกด้านหนึ่งซึ่งมีประตูบานใหญ่กั้นอยู่ เดินไปเปิดมันออกและทันทีที่ประตูเปิดออกก็ต้องอ้าปากค้างอีกครั้งเมื่อตรงหน้าคือสวนขนาดเล็กและมีสระว่ายน้ำส่วนตัวที่มีกระจกบานใหญ่ตรงปลายสระและยังมีห้องฟิตเนสอยู่ด้านข้างอีกด้วย ...ให้ตายเหอะนี่เขาเป็นนักศึกษาหรือเป็นเจ้าของบริษัทกันแน่เนี้ยถึงได้มีห้องหรูหราขนาดนี้??... ฉันได้แต่สะบัดหัวไปมาก่อนที่จะเดินกลับมาแล้วยกกระเป๋าเดินทางใบเล็กของตัวเองขึ้นไปด้านบนที่เป็นส่วนของห้องนอน ซึ่งด้านข้างมีประตูเดินเข้าไปก็เป็นห้องแต่งตัวที่มีตู้เสื้อผ้าแบบบิวอินรายล้อมอยู่ ออเดินเข้าไปด้านในสุดก็เป็นส่วนของห้องน้ำและห้องอาบน้ำที่แยกออกจากกัน และไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมคะว่ามันหรูหราแค่ไหน ก็นั่นแหละค่ะหรูหราหมาเห่าเหมือนกับส่วนต่างๆ ของห้อง
ฉันจัดการเก็บของใช้บางส่วนเข้าตู้เสื้อผ้า ซึ่งไม่ได้มีอะไรมากนักเพราะของใช้ส่วนใหญ่ของฉันยังอยู่ที่คอนโดซึ่งฉันยังไม่ได้ย้ายของอะไรมาที่นี่เลย จะมีก็แค่เสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวที่เอากลับไปเชียงใหม่ตอนไปแต่งงานแค่นั้นเอง พอจัดอะไรให้เข้าที่เรียบร้อยแล้วฉันก็เดินลงมาด้านล่างก่อนจะเดินไปนั่งตอบไลน์เพื่อนที่โซฟาตรงกลางห้อง คืนนี้เพื่อนฉันนัดกันออกไปข้างนอกฉันเองก็ตอบตกลงว่าจะออกไปกับพวกมัน จากนั้นก็ลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อไปแต่งตัวเตรียมจะออกไปข้างนอกกับเพื่อนสาว แต่ก่อนที่จะออกจากห้องฉันเหลือบไปเห็นคีย์การ์ดห้องที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก สงสัยพี่ธามจะทิ้งไว้ให้ก่อนที่จะออกไป ฉันคว้าคีย์การ์ดแล้วก็ออกจากห้องไป....
3 ทุ่มครึ่ง ร้าน C bar ....
ยัยแตงกวานัดฉันไว้ที่นี่ ร้านนี้เป็นร้านเหล้าที่คนไม่ค่อยแน่นเท่าไรเนื่องจากเป็นร้านที่ค่อนข้างหรูไม่ใช่ฟิวผับบาร์ทั่วไปเน้นไปทางนั่งดื่มโยกตามเพลงได้เบาๆ มีดีเจคอยเปิดเพลงอยู่กลางร้าน มีแยกโซนชัดเจนตรงกลางเป็นโซนโต๊ะสูงสำหรับยืน ตรงมุมร้านเป็นโซนโซฟานั่ง และด้านบนชั้นสองเป็นโซน VIP ซึ่งโซนนั้นจะมีการ์ดยืนเฝ้าหน้าลิฟต์และบันไดทางขึ้นอยู่สองสามคน ที่นี่ฉันกับเพื่อนมากันเป็นประจำ ถึงฉันจะเพิ่งเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ได้ไม่นานแต่ก็ไปนู่นนี่นั่นกับเพื่อนบ่อยๆ อ้อ... ลืมบอกไปยัยแตงกวาเนี้ยเป็นเพื่อนที่เจอกันที่มหา’ลัย เราเรียนคลาสเดียวกันก็เลยสนิทกันนอกจากยัยแตงกวาแล้วก็ยังมีน้ำหวานอีกคน ยัยแตงกวาออกจะเป็นคนห้าวๆ เซี้ยวๆ เปรี้ยวๆ นิสัยคล้ายๆ กันกับฉันนี่แหละ แบบว่าศลีเสมอกันอะไรประมาณนั้น ส่วนยัยน้ำหวานน่ะเหรอ...ก็สวยหวานเหมือนกับชื่อมันนั่นแหละ เราสามคนเพิ่งจะรู้จักกันแต่ก็สนิทกันเอามากๆ
“ยัยอาย!! อายตา!! ทางนี้!!” ทันทีที่ก้าวเข้ามาในร้านฉันก็ได้ยินเสียงของแตงกวาตะโกนเรียกพร้อมกับโบกไม้โบกมือเรียกฉันอยู่ตรงโต๊ะมุมร้าน ฉันรีบก้าวเท้าฉับๆ ไปหาเพื่อนสาวทันที
“เบาๆ อายเขา!” พอไปถึงโต๊ะฉันก็รีบบอกให้ยัยแตงกวาหยุดเรียกฉันซะทีเพราะตอนนี้คนรอบๆ หันมามองโต๊ะเราหมดแล้ว
“มาช้าจังวะ!” แตงกวาที่อยู่ในชุดเดรสสายเดี่ยวสีแดงเลือดนกเอ่ยถามฉัน วันนี้เพื่อนฉันมันแซ่บจริงๆ ชุดแดง ปากแดง เล็บยังแดงอีก ไม่รู้ว่ากางเกงในมันแดงด้วยหรือป่าว
“รถมันติดไง นี่มาถึงก่อนสี่ทุ่มก็บุญแค่ไหนแล้ว” ฉันว่าพลางยกแก้วน้ำเปล่าที่อยู่ตรงหน้าขึ้นดื่ม