บทที่7 ไม่ชอบขี้หน้า
''ผมไม่อยากไปครับแม่ ผมว่าผมชัดเจนแล้วนะที่ทำไปครั้งก่อน แพรไหมเธอไม่ได้บอกแม่หรอครับว่าผมเตือนเธอไปว่ายังไง''ภากรเอ่ยกับมารดาในเช้าของวันต่อมาในขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งทานอาหารเช้ากันอยู่
''แพรไหมบอกทุกอย่างที่ลูกพูดนั้นแหละ บอกด้วยว่าลูกพ่นควันบ้าๆ นั้นใส่เธอ และนั้นคือเหตุผลที่ลูกสมควรต้องไปเพราะไม่มีสุภาพชนดีๆ ที่ไหนปฏิบัติแบบนั้นต่อผู้อื่น แล้วยิ่งเป็นกับคนที่อ่อนแอกว่าด้วยก็ยิ่งไม่สมควร นี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเป็นสุภาพบุรุษเลยนะเพราะเมื่อวานลูกวางตัวได้แย่มาก แม่ผิดหวังกับลูกมากภากร ลูกเปลี่ยนไปจริงๆ ตั้งแต่มีเพชรกัญญาเข้ามาในชีวิต ยอมรับเถอะว่าหล่อนทำให้นิสัยลูกแย่ลง''
''คุณแม่ จะด่าจะว่าอะไรก็มาลงที่ผมคนเดียวเถอะครับ ทำไมอะไรๆ ก็ต้องไปโทษเพชรเขาด้วย ที่ผมทำกับแพรไหมแบบนั้นเพราะผมไม่ได้ชอบเธอ!!!!!''ภากรตวาดเสียงดังใส่มารดาอย่างไม่เคยทำมาก่อน คุณหญิงพิศมัยแทบทำช้อนที่กำลังตักอาหารอยู่หลุดมือ เธอใช้สายตาผิดหวังปนเจ็บปวดมองไปที่ลูกชายเพียงคนเดียวก่อนจะวางช้อนอาหารลง ภากรได้สติว่าตัวเองนั้นใช้น้ำเสียงที่ไม่ดีกับมารดาเข้าเสียแล้ว
'' ผมขอโทษครับแม่ที่เสียงดังใส่ ผมเพียงแค่อยากจะให้แม่เข้าใจผม''ภากรเอ่ยด้วยน้ำเสียงสึกนึกผิดที่ได้เสียงดังใส่มารดา คุณหญิงพิศมัยรวบช้อนส้อมที่ยังไม่แม้แต่จะตักอาหารเข้าปากสักคำลงบนจาน เธอไม่ได้เอ่ยคำใดๆ กับบุตรชายอีก แต่เลือกจะลุกออกจากโต๊ะอาหารไปอย่างเงียบๆ
''คุณแม่ คุณแม่ครับ''ภากรลุกขึ้นจะเดินตามมารดาไป
''แม่คงเลี้ยงลูกได้แต่ตัวจริงๆ นั้นแหละ ลูกทานข้าวแล้วรีบเข้าบริษัทเถอะ''คุณหญิงพิศมัยเอ่ยด้วยโทนเสียงราบเรียบและสั่นเครือ ภากรไม่ค่อยจะได้ยินหรือได้เห็นท่าทางแบบนี้ของมารดาเท่าไหร่นัก หากจำไม่ผิดเขาเคยเห็นอยู่สองสามหน นั้นคือตอนที่ได้ผู้เป็นสูญเสียบิดาไปเมื่อหลายปีก่อน
''ก็ได้ครับแม่ผมจะยอมไปก็ได้''เมื่อตระหนักได้ว่าความรู้สึกของมารดานั้นก็สำคัญไม่ได้น้อยกว่าสิ่งใดภากรจึงยอมที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ตามที่ผู้เป็นแม่เอ่ยขอ นั้นจึงทำให้คุณหญิงพิศมัยยิ้มออกมาได้
..........................................................
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่คฤหาสน์หลังใหญ่งของพริ้งพราว ที่นี้เป็นคฤหาสน์ที่เธอตั้งใจสร้างมันให้แพรไหมโดยเฉพาะ จะเรียกได้ว่านี้คืองานเปิดตัวแพรไหมลูกสาวเพียงคนเดียวของพริ้งพราวก็ได้ เพราะถึงพริ้งพราวจะแต่งงานกับสามีนักธุรกิจชาวฝรั่งเศษไปแต่ก็ไม่ได้มีลูกด้วยกัน เพราะสามีของพริ้งพราวนั้นเป็นหมัน และพริ้งพราวเองก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องที่เธอเคยมีลูกมาก่อน สามีใหม่ของพริ้งพราวนั้นเข้าใจเธอทุกอย่าง และไม่ได้รังเกียจเธอและลูกเลย
คฤหาสน์สุดหรูถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงตรีมงานวัดตามคำขอของแพรไหม
'ถ้าจะจัดงานเลี้ยงเปิดตัวหนู หนูขอคิดตรีมงานเองนะคะ'
'ได้สิลูก อยากได้แบบไหนแม่ตามใจลูกทุกอย่างเลย'
'พูดแล้วห้ามคืนคำนะคะ'
'ไม่คืนคำอยู่แล้ว ลูกสาวแม่อยากได้แบบไหนล่ะ '
'หนูอยากจัดตรีมงานวัดค่ะ'
'ห๊า...งานวัด...จัดงานเลี้ยงตรีมงานวัดเนี่ยนะลูก ทำไมล่ะ?'
'ก็หนูไม่เคยได้ออกไปเที่ยวงานวัดกับแม่เลยหนิคะ หนูอยากมีความทรงจำกับแม่ในงานเทศกาลแบบคนทั่วไปบ้าง'
เพียงแค่เหตุผลนั้นพริ้วพราวก็เนรมิตงานวัดขนาดใหญ่ให้อยู่ในงานเลี้ยงของค่ำคืนนี้ทันที ในงานมีเครื่องเล่นและร้านค้ามากมายราวกับว่านี้คืองานวัดจริงๆ และมันถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับสังคมไฮโซระดับแถวหน้าเป็นอย่างมาก เพราะปกติพวกเขาจะจัดแต่งานเลี้ยงที่หรูหรา แม้แต่ภากรเองยังประหลาดใจที่งานเลี้ยงคราวนี้แตกต่างออกไปจากทุกงานที่เขาเคยเข้าร่วม
''แม่ครับ เรามาถูกงานแน่นะ?''ภากรกระซิบถามมารดาอย่างไม่ค่อยแน่ใจ หากว่าไม่มีตัวคฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ด้วยเขาคงคิดว่ามาผิดที่แล้วแน่ๆ
''ถูกสิ เขาจัดตรีมงานวัดลูกไม่ได้อ่านในการ์ดเชิญรึไง?'' คุณหญิงพิศมัยเอ่ยพร้อมกับมองบุตรชาย
เมื่องานเลี้ยงเริ่มขึ้นเหล่านักข่าวมากมายต่างรุมสาดแสงแฟลชใส่แพรไหมทายาทเพียงคนเดียวของนักธุรกิจแบรนน้ำหอมระดับโลก ข้างๆ เธอมีภากรในชุดสูทสีเข้มที่ยืนปั้นหน้ายิ้มอยู่ ภากรเก่งเรื่องการสร้างภาพลักษณ์มากโดยเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าสาธารณะชนนั้นเขาจะดูแตกต่างออกไปราวกับเป็นคนล่ะคน เขาสามารถสร้างรอยยิ้มจอมปลอมได้เป็นอย่างดี ราวกับว่าเขานั้นมีความสุขที่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้จริงๆ
‘’ โอ้ยบ้าเอ้ยถ่ายอะไรกันนักหนาไม่รู้เหนื่อยเป็นบ้า’ ’ภากรที่แอบหลบมุมออกมาจากในงานหนีเข้ามานั่งอยู่บนโซฟาของตัวคฤหาสน์ที่ไร้ซึ้งผู้คนเนื่องด้วยตอนนี้แขกทุกคนกำลังสนุกกับงานเลี้ยงตรีมงานวัดอยู่จึงไม่มีใครสนใจเขามากนักยกเว้นก็แต่แพรไหมที่ถูกมารดาของเธอและมารดาของภากรคะยั้นคะยอให้เธอนั้นเดินตามภากรไปเพื่อเอาใจเขา
แพรไหมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อรวบรวมความกล้าที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับว่าที่คู่หมั้นซึ้งกำลังหลบมุมนั่งดื่มไวน์เงียบๆ อยู่คนเดียว
‘’ เอ่อ แฮ่ม ทำไมมานั่งดื่มอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะคะ?’ ’ แพรไหมถามออกไป ภากรเลิกคิ้วสูงมองหน้าของคนที่เข้ามาทักอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่เขาก็เก็บอาการไม่ค่อยชอบใจไว้เพราะที่นี้นักข่าวเยอะถ้าเกิดทำอะไรหรือพูดอะไรที่ไม่ดีออกไปแม้เพียงเล็กน้อยอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเขาได้
‘’ ไม่ค่อยชอบเสียงดังน่ะเลยออกมานั่งดื่มตรงนี้ แล้วเธอล่ะทำไมไม่อยู่สนุกในงานออกมาทำไม?’ ’
‘’ คือ คือว่า คุณแม่ฉันกับคุณแม่ของคุณบอกให้ฉันมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ’ ’แพรไหมบอกออกไปตามตรง ภากรแสยะยิ้ม
‘’ จำเป็นต้องทำตามทุกอย่างที่พวกผู้ใหญ่บอกด้วยหรอ ใช้ชีวิตแบบนี้จะไปมีความสุขได้ยังไง?’ ’ ภารเอ่ยเชิงตั้งคำถาม
‘’ ก็ความสุขของฉันคือการทำตามความต้องการของคุณแม่ไงคะ ฉันมีความสุขค่ะที่ได้ทำสิ่งที่คุณแม่ขอ’ ’แพรไหมตอบออกไปตามตรง
‘’ แม้กระทั้งการต้องแต่งงานกับฉัน คนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนงั้นหรอ ยอมทำเพื่อความสุขของแม่ขนาดนั้นเลยจริงดิ?’ ’ ภากรที่ตอนนี้เริ่มจะมีแอลกอฮอล์ในเลือดเอ่ยคำถามอย่างตรงไปตรงมา แพรไหมพยักหน้าแทนคำตอบ
‘’ ซื่อบื่อ’ ’ภากรกดเสียงต่ำพูดรอดไรฟันออกไปแต่แพรไหมก็ได้ยินอยู่ดี
‘’ ฉันไม่ได้ซื่อบื่อนะ!!!’ ’แพรไหมสวนกลับ เธอมองภากรด้วยความไม่พอใจแต่ดูเหมือนภากรจะดูไม่ยีหละ เพราะเขาทำเพียงไหวไหล่แล้วยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มเพราะไม่อยากจะเสวนากับแพรไหมให้มากความ ทำเอาคนตัวเล็กรู้สึกไม่ค่อยชอบใจในท่าทีหยิ่งยโสและดูไม่เป็นมิตรของภากร
‘’ ถ้าเธอไม่ได้ซื่อบื่อ ฉันคงไม่ต้องมานั่งเซ็งอยู่แบบนี้หรอก งานเลี้ยงอะไรก็ไม่รู้ โลคลาสสุดๆ’ ’ภากรยังคงพ่นคำร้ายออกมาไม่หยุด
‘’ นี้เกินไปแล้วนะ สูงส่งมาจากไหนกันถึงได้มาดูถูกคนอื่นว่าโลคลาส พ่อคนมาตรฐานสูง ชิ !!!’ ’แพรไหมที่ทนเก็บอาการกุลสตรีไม่ไหวอีกต่อไปเริ่มยืนเท้าสะเอวตอกกลับภากรอย่างเหลืออด นั้นทำให้ภากรยิ่งชอบใจเพราะจุดประสงค์ของเขาก็คือต้องการอยากปะทะคารมกับแพรไหมอยู่แล้ว
‘’ ด่าอีกสิ มีปัญญาด่าได้แค่นี้เองหรอ หึๆ แม่คนโลคาส โลคลาสไม่พอยังดูจืดชืดอีก’ ’คราวนี้ภากรไม่ได้แค่เพียงพ้นคำร้ายเขายังทำท่ายียวนโดยการใช้สายตามองเหยียดแพรไหมตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกด้วย