“หรือจะเป็นอาการสะลึมสะลือเหมือนที่คุณหมอว่า น้องนีม ลูก”
‘เอ๋...เดี๋ยวนะ คุณเขาเรียกหานีมงั้นเหรอ ฉันชื่อนุ่มไม่ได้ชื่อนีมนะคะ’ ชั่วขณะหนึ่งฉันคิดไปถึงพี่นีรญาในความฝัน พี่สาวคนนั้นชื่อนีม แต่งตัว แต่งหน้าสวยหนำซ้ำยังเพ้นท์เล็บ!ไม่จริงใช่ไหม ฉันก้มมองมือของตัวเอง ก่อนจะถามอีกฝ่ายด้วยเสียงสั่นๆ “คุณเรียกฉันว่าอะไรนะคะ”
กัลยายิ้มน้อยๆ อย่างใจเย็น อาการกระทบกระเทือนทางสมองคือเรื่องที่คุณหมอผู้เป็นเจ้าของไข้ บอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าคนไข้อาจจะมีอาการสับสนและมึนงงไปบ้างแต่โดยรวมแล้วก็ไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสจนถึงขั้นจำความไม่ได้ตลอดชีวิตเพราะฉะนั้นสิ่งที่คนเป็นแม่อย่างเธอต้องทำก็คือให้กำลังใจ “เอาเถอะ ตอนนี้นีมของแม่อาจจะยังสับสนอยู่นะลูก ตอนนี้ยังไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่ลูกเชื่อว่าแม่ของลูกคนนี้ ไม่ได้คิดจะทำร้ายลูก เข้าใจไหม” ส่งยิ้มก่อนจะปรับเตียงนอนของคนป่วยให้ยกระดับขึ้น จึงเหมือนกับว่าตอนนี้ลูกสาวกำลังนั่งพิงพนักอยู่
“แม่เหรอคะ” ฉันเริ่มหน้าเครียดลงกว่าเดิม ‘ก็ฉันจะมีแม่ได้ยังไงกัน?’ ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนอายุสิบเก้าปี นอกจากจะมีชีวิตอยู่อย่างดิ้นรนขัดสนกับพี่ชายแค่เพียงสองคนเพราะเราเป็นเด็กกำพร้าแล้ว ความซวยของฉันก็ยังไม่หมด เมื่อพี่ชายเพียงคนเดียวกลับหนีไปพร้อมทิ้งภาระเงินกู้มหาโหดเอาไว้ แล้วในตอนนี้ ตอนที่ฉันมั่นใจว่าตัวเองมีสติครบถ้วน มั่นใจว่าไม่ใช่ความฝัน…แต่ทำไม? ‘ทั้งชื่อนีม ทั้งคุณแม่ที่ดูจะเป็นคนร่ำรวยตรงหน้าถึงมาเรียกฉันว่าลูก’ หรือว่าฉันในตอนนี้ ไม่ใช่นีรญา สุดขนานแล้วงั้นเหรอ?
กัลยาลูบผมลูกสาวแสนสวยด้วยแววตาอ่อนแสง นิสัยเดิมของนีรญาคือสาวมั่นใจตามประสาลูกคุณหนู เย่อหยิ่งมีมาด แต่มาดูด้วยตาตอนนี้ สิ่งที่อีกฝ่ายเคยเป็นมันกลับเปลี่ยนไป ‘แล้วความอ่อนแอกับแววตาหวั่นไหวนี้อีก’ หรือมันเป็นเพราะสติยังฟื้นคืนมาไม่เต็มที่ “นีม” รั้งร่างของลูกสาวเอาไว้ในอ้อมกอด แรงสั่นสะท้านบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าลูกของเธอกำลังร้องไห้ ร้องไห้ทั้งๆ ที่นีรญาของเธอไม่เคยมีเรื่องอะไรให้ต้องเสียใจจนถึงขั้นร้องไห้ออกมาเลย “ยังตกใจอยู่ใช่ไหม โอ๋ๆๆ แม่อยู่ตรงนี้แล้ว ลูกปลอดภัยแล้วนะ” ‘ลูกคงตกใจ’ นี่เป็นเรื่องเดียวที่กัลยาคาดเดาได้ในตอนนี้ เมื่อใบหน้าเนียนเริ่มหม่น เธอจึงลูบเบาๆ บนศีรษะที่มีผ้าสีขาวพันอยู่โดยรอบนั้น ดีเท่าไหร่ที่แผลเย็บที่ได้เห็นมีเพียงหนึ่งนิ้ว ลูกสาวแสนสวยจึงไม่ต้องโกนผมสวยๆ นั้นทิ้งไปทั้งหมด ไม่อย่างนั้นคนรักสวยรักงามในอ้อมกอดก็คงไม่ยอมออกจากบ้านแน่
สัมผัสแผ่วเบาบนกลุ่มผมนุ่มพังทลายความอดกลั้นในใจของฉันจนน้ำตาไหลริน “ฮึก ฮือๆๆ” ยิ่งถูกปลอบด้วยความรัก ฉันก็ยิ่งร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม ‘นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่แม่ไม่เคยกอด’ แม่ที่ทิ้งฉันไป ทิ้งเอาไว้กับพี่ชายที่ตอนนั้นอายุเพียงสิบขวบ ชีวิตรันทดของสองพี่น้องจำต้องวิ่งรับจ้างล้างจานเพื่อหาข้าวมาประทังชีวิต! ต่างจากตอนนี้ที่ฉันรู้แล้วว่าตัวเองคงมาอยู่ในร่างของคนอื่นและมีแม่ “แม่ คะ” ฉันเรียกคำนี้ได้จริงๆ ใช่ไหม? “ฮึ่กๆ” แล้ววันข้างหน้าท่านจะรู้ไหมล่ะว่า ฉันไม่ได้ชื่อนีมแต่ชื่อนุ่ม
สองคนแม่ลูกกอดกันอยู่อย่างนั้นท่ามกลางสายตาของผู้ชายอีกห้าคนของสองครอบครัวที่เดินเข้ามาทีหลัง ทุกคนได้แต่ยิ้มกับภาพนั้นและคิดไปเหมือนๆ กันว่า ‘ดีแล้วที่นีรญาไม่เป็นอะไร ดีแล้วจริงๆ’
ฉันมองคนแปลกหน้าทุกคนภายในห้องโดยไม่พูดอะไรและทุกคนดูเหมือนแต่ละคนต่างพูดเอาอกเอาใจฉันสารพัด เพื่อให้ฉันได้ผ่อนคลายความเครียด แต่ใครเลยจะรู้ว่ายิ่งทุกคนพูด ฉันก็ยิ่งเครียดจัดกว่าเดิมเพราะไม่รู้จักพวกเขาตั้งแต่คุณพ่อที่ชื่อสิงหา พี่ชายที่ชื่อนากร เพื่อนสนิทของคุณพ่อที่ชื่อคุณลุงซือยี่ซึ่งคุณลุงคนนี้เป็นคนจีนอย่างไม่ต้องสงสัย สังเกตได้จากตาชั้นเดียวเล็กหยีคู่นั้น ส่วนด้านข้างเป็นผู้หญิงผมสั้นหน้าตาใจดี ท่านคือภรรยาของลุงซือยี่ชื่อป้าขวัญใจ ไหนจะลูกชายของพวกท่านที่เป็นหนุ่มหล่อลูกครึ่งไทยจีนอีกสองคน คนโตดูท่าทางภูมิฐานและพูดน้อย มีชื่อว่าพี่หยาง ส่วนอีกคนนั้น นั่งอยู่ตรงโซฟาตัวยาวท่าทางนิ่งๆ แต่ดูแบดบอย เสเพลชื่อว่าพี่หย่ง ทั้งหมดที่สาธยายมานี้ ครอบครัวลุงซือยี่ยังขาดคนสำคัญไปอีกหนึ่งคน นั่นก็คือน้องสาวคนเล็กที่ชื่อหยก ความสำคัญของคนสุดท้ายนี้คือความเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าของร่าง ‘จริงสิ ก่อนที่เรื่องราวจะวุ่นวายไปมากกว่านี้ ทางที่ดีฉันควรขจัดความสงสัยในใจของฉันออกไปให้หมดก่อน ว่าแท้ที่จริงแล้วฉันมาอยู่ในร่างของพี่นีมจริงรึเปล่า’ “คุณแม่คะ” ฉันเม้มปากด้วยความประหม่าไปกับคำพูดนั้นของตัวเอง แม้จะรู้ว่าท่านไม่ใช่คุณแม่ของฉัน แต่ฉันคิดว่ามันคงไม่ดีถ้าฉันจะเรียกท่านว่าป้า “ขอกระจกให้หนูได้ไหมคะ”
คำแทนตัวว่า หนู อย่างน่ารักนั้นเรียกรอยยิ้มให้กับคนทั้งห้องได้ดี ไม่รู้ว่าถ้าหากนีรญาไม่สับสนกับตัวเอง ทุกคนจะได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากของสาวมั่นแบบนี้เมื่อไหร่...หรืออาจจะไม่ได้ยินเลยทั้งชีวิต
“นีมของแม่ยังคงห่วงสวยเหมือนเดิม เห็นแบบนี้แม่ก็สบายใจมากแล้ว” กุลยาบอกลูกสาวตัวเองยิ้มๆ พลางเปิดลิ้นชักตรงหัวเตียงแล้วส่งกระจกบานใหญ่ให้ลูกดู ^^ “นีมแค่หัวแตก แต่ไม่ต้องห่วงเพราะแผลเย็บนั้นคุณหมอจัดการให้แล้วจ่ะ ส่วนเรื่องริ้วรอยบนใบหน้าลูก ยิ่งไม่ต้องห่วงไปใหญ่เพราะลูกไม่มีแผลอะไรเลย ยังเนียนใสเหมือนเดิม”
คำปลอบใจของท่าน ฟังแล้วเหมือนเสียงลมพัดผ่านหู ฉันใช้มือที่ทาสีเล็บกำกระจกใบนั้นไว้แน่นอย่างชั่งใจกับความจริงที่กำลังจะปรากฏให้เห็นกับตา โดยไม่ได้สนใจสภาพของผ้าพันแผลบนศีรษะหรือบาดแผลบนใบหน้าเหมือนที่คุณแม่ท่านบอก และทันทีที่ได้ยกกระจกเงาขึ้นดู....ผู้หญิงในกระจกไม่ใช่ฉันแต่เป็นพี่สาวคนนั้น คนที่อยู่ในความฝัน พี่นีม นีรญา!! “อะ นีม” ในความหมายของฉันที่แม้จะค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าตัวเองสลับวิญญาณมาอยู่ในร่างของคนอื่น แต่ที่แปลกใจก็คือ ฉันมาอยู่ในร่างของพี่สาวในความฝัน แล้วแบบนี้ วิญญาณของพี่เค้าจะหลงไปอยู่ในร่างของฉันใช่ไหมคะ? หรือถ้าจะคิดให้เลวร้ายไปกว่านั้นคือถ้าเราสองคนไม่ได้สลับร่างกัน แล้วตัวจริงๆ ของฉันที่ถูกรถชนเข้าอย่างแรง จะยังรอดชีวิตได้อยู่รึเปล่าต่างหาก ‘ก็ถ้าไม่รอด แล้ววิญญาณของพี่นีมจะไปอยู่ไหน’ น้ำตาของฉันเริ่มไหลออกมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิด เห็นสองมือที่มีแต่สีสัน ก็จำต้องใช้มันเช็ดน้ำตาออกไปลวกๆ จนทุกคนในห้องเริ่มกรูกันเข้ามาปลอบใจอีกครั้ง คำปลอบนั้นผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา หากสายตาของฉันจะมองเห็นวิญญาณของคนตายได้ ไม่แน่ว่าพี่นีมตัวจริงก็อาจจะยืนอยู่แถวนี้แล้วเฝ้ามองฉันที่อยู่ในร่างของเธอ ‘ทำยังไงดี’ คำภาวนาที่ว่า ถ้าหากได้เกิดใหม่อีกครั้งก็ขอให้ได้อยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ซึ่งตอนนี้มันสำเร็จแล้วและฉันควรจะดีใจ แต่มันกลับไม่ใช่! ในเมื่อฉันในตอนนี้ดันเหมือนมาเกิดใหม่ในร่างคนอื่น ไม่ใช่เกิดใหม่เป็นทารก! หรือฉันจะลองเสี่ยงตายดูอีกครั้งเพื่อให้พี่นีมได้กลับเข้าร่างของตัวเอง!!
กัลยากอดลูกสาวผู้น่าสงสารอีกครั้ง “ก็นีมจริงๆ น่ะสิจ๊ะ ไหนดูสิ ลูกแม่ผ่านเคราะห์ร้ายมาได้แล้ว จะร้องไห้ทำไมอีกล่ะ”
“คือ ไม่ใช่นะคะ คือหนู” ในอ้อมกอดอบอุ่นนั้นทำเอาฉันถึงกับไม่กล้าที่จะพูดอะไรเพราะเรื่องแบบนี้มันไม่เคยมีอยู่จริง ‘เรื่องการสลับร่าง สลับวิญญาณ’ และไม่แน่ว่าถ้าหากพูดออกไป ทุกคนคงคิดว่าฉันเป็นบ้า ลำพังชีวิตเดิมของฉันก่อนหน้านี้ก็ถือว่าแย่พอแล้วกับความจน หากตอนนี้สวรรค์จะตอบแทนความจนของฉันด้วยการมอบชีวิตที่ร่ำรวยของคนอื่นมาให้ ฉันก็ไม่ได้ต้องการมันอยู่ดี ทุกคนคิดว่าสมองของคนอายุสิบเก้าที่เรียนแค่การศึกษานอกโรงเรียนจะจัดการอะไรได้เลยไหม ถึงจะจัดการได้ มันคงไม่ใช่ในตอนนี้ที่ฉันยังสับสนว่าตัวเองควรทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก “ฮึกๆๆ” ในความพยายามกลั้นเสียงสะอื้นลงไปให้ลึกสุดใจเมื่อคิดว่าการที่ฉัน เงียบ มันคงดีที่สุดแล้ว
ทุกคนในที่นั้นมองความอ่อนแอเป็นครั้งแรกของนีรญาโดยไม่มีใครพูดขัดอะไรเพราะคิดว่านีรญาคงตกใจและยังกลัวมากจึงเป็นผลให้อีกฝ่ายร้องไห้ออกมา ในความโชคร้ายนั้นยังมีความโชคดีหลงเหลืออยู่เพราะอย่างน้อยๆ นีรญาของพวกเขาก็ไม่เป็นอะไร