ถ้าอนุญาต

1385 Words
ตุบ ตับ เสียงวัตถุของแข็งถูกฟาดเต็มแรงปะทะกับเนื้อหุ้มกระดูก ชายคนหนึ่งซึ่งตรวนไว้กับโซ่คล้องกับคานบนขนาดเขื่อง เขาอยู่ในท่ากลับหัว ศีรษะขนานเป็นแรงโน้มถ่วงโลก ทว่าแลดูทรมานขนาดนั้นยังถูกใครคนหนึ่งประทุษร้าย โดยผู้ถูกสั่งให้กระทำอีกทีหนึ่ง ผั๊วะ! “บอกมา!” ดวงตาครั่นคร้ามสีน้ำข้าวทอดมองไปยังเชลยชะตาใกล้ขาดตาไม่กะพริบ เขาอยู่ในท่ายืนตระหง่านแขนกอดอกราวกับรอการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ที่ความน่าจะเป็นมีเปอร์เซ็นต่ำกว่าครึ่ง เชลยใกล้สิ้นใจอยู่ลอมล่อ แต่ไม่ยืมคายความลับนั้นออกมาสักที “พอก่อน มันจะตายซะเปล่าๆ” เขายกมือห้าม ทำลูกน้องซึ่งเตรียมจะฟาดอยู่ในท่าง้างไม้ค้าง จำต้องลดลงแล้วหันมาโน้มตัว “ครับนาย” จากนั้นจึงจะเดินเอาไม้ไปเก็บ และเช็ดเหงื่อบนมือ ก็ตอนผู้เป็นนายพยักพเยิดหน้าเชิงไล่ไสส่ง สงครามมองดูผลงานนั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน ความนิ่งสงบแสดงออกถึงความเลือดเย็น และความคิดที่ยากจะเข้าถึง ไม่นานก็หมุนตัวเดินออกจากตรงนั้น หลังสั่งลูกน้องอีกคนปล่อยเชลยลงจากตรวน และมัดไว้กับเก้าอี้เหล็กแทน “ให้มันได้หายใจหายคอหน่อย” ขายาวมุ่งหน้ามายังทางเบี่ยง ปีกขวาที่มีห้องลับเล็กไว้สำหรับผสานงานปนสังสรรค์ หลบซ่อนหลบมุมของโกดังอีกที เรอัสซ์อยู่ในนั้น และสงครามต้องไปสมทบ “ยังสิท่า” เขาชำเลืองขึ้นมาพูดก่อนคนมาใหม่จะปิดประตู นั่งลงตรงกันข้าม มาเฟียหนุ่มรุ่นน้องพยักหน้า แววตาฉุนเฉียวขุ่นเคือง “อืม” “อึดน่าดู” “ฝั่งโน้นคงจะโหดเอาการ คงคิดว่ายังไงก็ตาย เรายังจะเก็บมันไว้อีกหรือ?" หากไม่เสร็จเรื่องนี้ เขาจะกลับไปเอเชียไม่ได้ และนี่คือสาเหตุหนึ่งซึ่งทำให้เขาเริ่มเครียด เร่งรีบจัดการเรื่องนี้ให้จบเสียที การเสาะหาเบาะแสคนที่ทำให้หุ้นส่วนรายย่อย แต่แสนจะสำคัญของพวกเขาตาย นั่นเพราะว่าต่อให้คนที่กล่าวถึงจะเป็นรายย่อยไม่ใหญ่อลังการเท่ากับแดนอื่นยังไง เมื่อเปรียบเท่าปริมณฑลแล้ว หากแต่มีคนรู้จักเขามากในถิ่นนั้น ก็เท่ากับว่าในอนาคตจะสร้างกำไรเป็นกอบเก็บกำก็เป็นได้ “คิดว่ามันจะยอมบอกไหม?” สงครามส่ายหน้า ยื่นมือไปหยิบแก้วบรั่นดีที่ถูกรินไว้ครึ่งหนึ่งมาซดรวดเดียวหมด ก่อนจะก้มหน้าหรี่ตาลงต่ำ ราวกำลังครุ่นคิดบางอย่าง แล้วเมื่อคิดดีจึงตัดสินใจพูด “ผมจะจัดการขั้นเด็ดขาด ถ้าพี่อนุญาตผม” เรกาโด เรอัสซ์ถึงได้เงียบ เกือบจะปล่อยแก้วบรั่นดีร่วง เพราะเดาทางเขาไม่ถูก คำพูดเหล่านี้ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นจากคนตรงหน้าสักเท่าไหร่ เหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนจึงย้อนเข้ามาในความทรงจำ ภาพเหล่านั้นผุดฉายขึ้นมาอีกครั้ง เป็นฉากที่เขาเคยบ้าคลั่งจากการหงุดหงิด ใครต่างรู้เขาไม่ชอบการโดนหักหลังเป็นที่สุด และบ่อยครั้งสงครามมักจะเป็นฝ่ายเตือนสติเขาเสมอ ทว่าคราวนี้ เหตุใดจึงเหิมเกริมเองเสียจนน่าแปลกใจ ดวงตาละจากอีกทิศมายังอีกทิศ สบตาผู้ถูกถามพร้อมกับคำถาม สงครามไม่ตอบแต่กลับหยิบขวดบรั่นดีขึ้นมาดึงจุกแล้วรินใส่แก้วตัวเองอย่างเงียบๆ เพียงแค่นั้นเรอัสซ์ก็พอจะเดารู้ เขาคงเคียดแค้นเชลย ที่มีส่วนทำให้พ่อของเด็กในปกครองตาย ส่งผลให้หล่อนต้องโดดเดี่ยว เกิดการเปลี่ยนแปลงกับชีวิตฉับพลันแบบไม่ทันตั้งตัว มิหนำซ้ำเชลย ถามอะไรก็ไม่ตอบ จนต้องใช้ไม้ตายอย่างที่เขาเสนอขึ้นเป็นประการฉะนี้ ทั้งที่สงครามนั้นหาใช่คนชอบใช้ความรุนแรงไม่ สำหรับมาเฟียผู้เลือดเย็น เมื่อต้องใช้ความเด็ดขาดเข้าตัดสิน การเงียบของเชลย หวังปกป้องคนเป็นนาย แม้จะแลกมาด้วยความทรมาน นั่นมีความหมายคล้ายว่าเชลยเลือกที่จะตายแล้ว “งั้นก็เอาเลย” เรอัสซ์ถึงได้พยักหน้า ด้วยแววตาคมกริบไร้ความเมตตา ขณะจ้องเขม็งทะลุน้ำสีอำพันราวกับหาสารบางกลุ่มของอะตอม สารจุลินทรีย์อะไรสักอย่างภายในนั้น แน่นอนเมื่อสิ้นสุดการอนุญาต เปรียบนาทีชีวิตของเชลยเป็นนาฬิกาทรายกลับหัวทันที สงครามเดินเร็วกลับไปยังที่จากมา ห้องเดิมซึ่งคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด บ่งบอกถึงประวัติอันน่าสยดสยองมากมาย แต่ละก้าวเต็มไปด้วยความมั่นคง พร้อมที่จะตัดปัญหาทุกอย่างออก ในหัวปิดความคิดตริตรองทุกอย่าง เมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องเคารพตัวเอง และบีบบังคับให้โชคชะตาเคารพเขาด้วย เพราะไม่ว่าสวรรค์จะลิขิตชีวิตเชลยผู้นี้มายัง วันนี้มัจจุราชจำอย่างเขาจะลบมันทิ้งทั้งหมด ก่อนจะดึงปืนประจำตัวขึ้นมาจากเอวสอบ ช่วงจังหวะข้ามผ่านวงกบประตู และ.. “นะ นาย..” การมาเยือนโดยไม่ทราบสาเหตุ ถึงกับทำลูกน้องสองคนกำลังนั่งเล่นหมากกระดานอย่างสำราญปานสุขถึงกับสะดุ้งโหยง พวกเขาพากันลุกขึ้นยืนเกือบจะกระโดดอย่างไม่ได้นัดหมาย ทำกระดานกระฉอกเม็ดหมากคว่ำราวกับโละมันทิ้ง ไม่พอแค่นั้น น้ำเสียงแตกตื่นปลุกเชลยที่โดนมัดไว้และกำลังอยู่ในลักษณะคอตกยกศีรษะขึ้นมามอง ทอดสายตาเหนื่อยล้ามายังคนมาใหม่ ก่อนจะหายง่วงเป็นปลิดทิ้งก็ตอนปลายคางถูกดันขึ้นให้เงยหน้าโดยปลายกระบอกปืน ความอุกอาจของคนเป็นนายที่มาพร้อมแววตายากต่อการคาดเดา เหมือนจะสอนให้ลูกน้องอย่างพวกเขาได้เรียนรู้ไปด้วย ว่าอย่าได้ทำผิดพลาดแม้แค่เรื่องเล็กน้อย มิเช่นนั้นเขาจะไม่มีทางหลุดพ้นจากความหวาดระแวงนี้ได้เลย สงครามผู้มีฉายาทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นการหลั่งน้ำตาต่อหน้าผู้คน ไม่มีใครหยั่งรู้แม้กระทั่งความคิด “โอกาสสุดท้ายแล้วพวก.. ถ้าบอกยังมีสิทธิ์รอด ตั้งใจฟัง ใคร...เป็น คน สั่งให้มึงฆ่าคนของกู” การถามที่มาพร้อมกับความนิ่ง สามารถทำให้เชลยขึงตาขึ้นได้ สงครามละปลายกระบอกปืนออกห่างจากขมับมาเพียงคืบ เพื่อขึ้นนก ขณะเล็งก็จ้องเข้าไปในสายตานั้นด้วย ต้องการสื่อบางอย่างถึงคนตรงหน้า แววตาหม่นแสงประกายกลายเป็นความครั่นคร้ามคล้ายดวงตามัจจุราชประหนึ่งกำลังอำลา และการยิ้มเย้ยหยันตรงมุมปากของเพชฌฆาต จะมาพร้อมกับการตัดสินใจสายไปเพียงเสี้ยววินาที “คนใกล้ชิดกะ..” เชลยกำลังจะบอก แต่... “หมดประโยชน์” ปัง! เขารู้ว่ามันโกหก จึงลั่นกระสุนเจาะกะโหลกต่อหน้าต่อตาลูกน้องคนสนิท ช่วงเวลาเดียวกันหลายพันกว่าไมล์ เด็กสาวผู้ไม่รู้เรื่องใดเลยแม้แต่อย่าง กำลังนั่งกอดเข่าเพราะตกใจเสียงฟ้าร้องและลมแรงที่ทำให้สลักบานหน้าต่างหลุดเหวี่ยงมาตีวงกบเกิดเสียงดัง ตรงหน้าของเธอคือจอทีวีซึ่งกำลังเผยแพร่ข่าวเรื่องของตัวเอง และได้ใจความว่า หญิงสาวกลายเป็นผู้หายสาบสูญก็หลังจากรถคว่ำ “ฮึก นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย” สาวเจ้าดิ้นพล่าน ไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่ความปวดร้าวทำให้ต้องเสียน้ำตา บวกกับความสับสนเพราะไม่ได้คำตอบอะไรเลย จนรู้สึกได้ว่าสมองของเธอเริ่มจะเสื่อมเนื่องจากไม่มีออกซิเจนที่ดีไปเลี้ยงเพียงพอ จนกระทั่ง.. บานประตูห้องถูกเปิดออก สมองที่กำลังล้าถึงได้โลดแล่นขึ้นมาอีกครั้งเพื่อตั้งคำถาม แต่ไม่ทันได้ขยับปาก กลับถูกคาร์สและชายฉกรรจ์อีกสองสั่งให้ลุกคนและเดินตามเพื่อไปที่ไหนสักแห่ง แต่เธอกลับเลือกที่จะทำในสิ่งตรงกันข้าม นั่นคือการรั้นไม่ยอมทำตามเขา จึงถูกเข็มฉีดยาขนาดเล็กในมือของคาร์สปักลงมาบนเส้นเลือดของเธอ “คุณคาร์ส..” “โทษทีนะ” ก่อนเปลือกตาที่ปิดลง รอบบริเวณดับวูบเลือนหายอีกครั้ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD