เสียงแตกหักของกระเบื้อง หล่นร่วงกระทบพื้น สร้างความตกใจให้กับแม่บ้านไม่น้อย หล่อนอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก พฤติกรรมคนตรงหน้าเกรี้ยวกราดเกินไป สำหรับหล่อนคิดว่ามันเกินการควบคุม เมื่อเด็กสาวอาละวาด ปาเข้าของ ทั้งที่หน้ายังนิ่งสนิทแบบนี้
ความตกใจหายไป เหลือแต่ความกลัวเข้ามาแทน รีบเรียกสติกลับมา ชำเลืองไปเห็นความเสียหายกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
“แม่เจ้า..”
มือใกล้เหี่ยวทาบอกค้างไว้ ดวงตาขึงกว้างช้อนขึ้นมองไปยังตัวการ แต่กลับถูกฝ่ายนั้นจ้องเขม็งกลับมาอย่างเอาเรื่องอยู่ก่อนแล้ว ความตึงเครียดของใบหน้าถึงกับทำแม่บ้านพูดไม่ออก
เด็กอะไรทำไมนิสัยแย่ ราวกับไร้การศึกษา ไร้การอบรมสั่งสอน
“ไม่ทานก็ควรจะบอกกันดีๆ ไม่ใช่ทำข้าวของเสียหายแบบนี้”
หล่อนปราม ด้วยความขุ่นเคือง อีกนัยคือเกรงกลัวอิทธิพลของผู้เป็นนาย เขายิ่งเป็นคนเงียบยากนักจะเข้าถึง การสรรหาคำอธิบายแบบรัดกุม จับใจความได้ภายในเวลาอันสั้น จึงเป็นงานที่ยากสุดสำหรับหล่อน เด็กรุ่นลูกตรงหน้ากำลังทำหล่อนซวยโดยใช่เหตุ
“ออกไป..”
มดตะนอยพ่นคำเดิม ดวงตาไร้ความเกรงใจ เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดเสมือนคนจรจัด ไม่ได้สนใจในสิ่งที่หล่อนพูด หามีความสะทกสะท้านไม่
แม่บ้านอ้าปากค้าง หาคำสวนกลับไปไม่เจอ ในหัวแวบไปนึกถึงจงอางเผือก ที่มีลักษณะผิดแปลก ดวงตาคู่กลมเล็กประดุจสีเลือด ซึ่งยามนี้หญิงสาวตรงหน้ากำลังเป็นเฉกนั้น เพียงแต่เธอไม่มีเขี้ยวมีพิษเหมือนงู
ด้วยความยากแท้จะหยั่งถึง ต่อท่าทางแสดงออกมา หล่อนจึงเลือกที่จะทำตามความต้องการของเธอมากกว่าการยืนเฉือน ยอมเดินออกมาอย่างว่าง่าย แล้วมุ่งตรงไปรายงานผู้เป็นนายให้มาจัดการแทนจะดีที่สุด
โคมไฟราคาเป็นแสน คงยากที่จะมองข้ามทำเมิน อีกอย่างคนนิสัยไม่ดีอย่างเธอ ไม่สมควรได้รับการปกป้อง!
เสียงแจ้งเตือน ระบบป้องกันแบบทันสมัยขออนุญาตก่อนเข้า เรียกคนภายในสมาธิหลุด ขณะใช้ความคิดท่ามกลางความเงียบสงบ
สงครามถอนหายใจพรืดวางปากกาผู้บริหารด้ามเหล็กสีทองขนาดถนัดมือลงบนกระดาษเอกสารที่มีแฟ้มดำหนาแข็งแรงรองอยู่เบื้องล่าง ช้อนตากดปุ่มเปิดประตูให้
“มีอะไร?”
เมื่อเห็นเป็นลูกน้องมือขวา เขาจึงเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจทันที ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการสั่งงาน คงจะมีเรื่องด่วนถึงทำให้เขาเลือกที่จะตัดสินใจเข้ามาพบโดยพลการได้
“เกิดเรื่องแล้วครับ เด็กคนนั้นเธออาละวาดใส่เซริลน่า”
“เซริลน่า แม่บ้านนะหรือ”
คัสเตเว่นไม่ตอบแต่เลือกที่จะก้มหน้าลงแทน เขาคงไม่กล้าบอกตรงๆว่าเธอคนนั้น ได้ปาข้าวห้องพังเสียหาย ซึ่งเป็นการกระทำที่คนตรงหน้าไม่ชอบเอาสุดๆ เขาอาจลุกพรวดแล้วแปลงร่างหลังได้ยินเรื่องเล่านี้ก็เป็นได้
ทว่าการกระทำของคัสเตเว่นที่เจ้าตัวอาจไม่รู้ คนอย่างเขารับใช้นานจนคนเป็นนายมองออก ถึงขนาดรู้ไส้รู้พุงแบบไม่ต้องอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ทำสงครามกระจ่างใจได้โดยไม่ถึงพูด
ร่างสูงค่อยๆยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หรี่ตาแคบเป็นวงรี พลางถอนลมหายใจพรืดแล้วเดินผ่านไป นาทีนั้นผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังถึงกับทำหน้าเหยเก
“บรรลัยแล้วไง..”
ทางเดินเงียบสนิท มุ่งหน้าสู่ปลายทางเป็นห้องลับห้องหนึ่ง สองข้างกำแพงสีขาวถูกพาดด้วยเงาของคนเดินผ่าน สลับกับลมหายใจแบบเป็นจังหวะ บวกกับเสียงรองเท้ากระทบพื้นที่สามารถนับจำนวนคู่ได้
ห้องนี้ มีไม่กี่คนจะได้รับอนุญาตเข้ามา
ร่างสูงชะลอฝีเท้า หยุดอยู่ตรงหน้าประตูบานสีเดียวกัน เขากดรหัสและสแกนนิ้วมือโดยไม่แจ้งหรือส่งสัญญาณเตือนให้คนภายในรู้ตัวก่อน กว่าหญิงสาวจะตั้งสติและหันขวับมามองได้ก็ตอนประตูถูกเปิดแล้ว
มดตะนอยกัดริมฝีปากตัวเอง รู้สึกมวนท้องขึ้นมาฉับพลัน หลังเห็นร่างสูงยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า มองผลงานของเธอที่เพิ่งจะละเลงไปเมื่อไม่นานมานี้ ราวกับศิลปะขั้นสูง
“นี่ฝีมือเธอหรือ?”
กลั้นหายใจก็ตอนเขาถาม พร้อมเหลือบตาขึ้นมา เธอจะไม่ประหม่าเลยถ้าประโยคที่เขาพูดไม่ใช้น้ำเสียงเย็นยะเยือก
มดตะนอยไม่ตอบแต่เลือกที่จะทำใจดีสู้เสือแทน เธอเปลี่ยนท่าจากการนั่งกอดเข่าเป็นการนั่งขัดตะหมาดเผชิญหน้ากับเขา
“ใช่ หนูทำ ทำไมเหรอ”
ยอกย้อน สีหน้าท้าทาย แต่เขากลับยืนนิ่งเสียจนเธอไปไม่ถูก สาวเจ้าจึงตระหนักรู้ทันทีในเวลานั้น คนวัยเขาที่มีวุฒิภาวะด้านอารมณ์สูงกว่า คงเสียเวลาเปล่าหากจะทำสงครามน้ำลายกับเด็ก เธอจึงทำหน้าหงอย เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นระดับอ่อนลงเสียเอง
“อยากกลับบ้าน พาหนูกลับบ้านหน่อยได้ไหมคะ”
“ไม่”
แน่นอนคำตอบเสียงทุ้มที่แทบจะไม่คิดหลุดออกมาจากปากเขา สาวเจ้าเงยหน้าขึ้น ความกล้าที่มีมากมายเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น ราวกับไม่เคยมีมันมาก่อน ซึ่งเธอเองก็ยังแปลกใจ ความประหม่าที่เกิดขึ้นมาเอง มักจะเกิดขึ้นก็ตอนเผชิญหน้ากันกับเขา เพียงคนเดียวเท่านั้น
ความนิ่งของเขาสยบทุกสิ่งทุกอย่างได้จริงๆ สยบได้แม้กระทั่งเด็กหัวดื้อที่เคยถกเถียงพ่อของตัวเองเป็นกิจวัตร และไม่ยอมใครหน้าไหนหากเธอไม่ใช่คนกระทำผิด!
ทว่ากับเขา...
“พ่อหนูตายทั้งคนนะ ใจคอ จะไม่ให้...” ความนิ่งเฉยเริ่มสะกิดต่อมโมโห มดตะนอยใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มมองหน้าเขาด้วยความงง “ไปงานศพพ่อเลยรึไง”
“พ่อเธอไม่มีงานศพ”
“ฮะ?!”
มดตะนอยมองหน้า แววตาคู่นั้นแสดงออกถึงความตกตะลึงสุดขีด เธอเริ่มเกลียดคนตรงหน้า เริ่มขยะแขยงต่อการกระทำที่เขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่น้อย!
“ไม่มีงานศพ หมายความว่าไงกัน?”
“ไม่มีก็คือไม่มี ยังจะหาความหมายได้อีกหรือ?”
สงครามเลิกคิ้วสูง ดวงตาที่จ้องมองมาขณะตอบสื่อถึงความคุกรุ่นอย่างชัดเจน ความหมายที่ว่าคงหมายถึง หากเธอยังจะซักไซ้ไม่เลิก หรือสร้างความรำคาญให้กับเขา จะเจอดีไม่น้อย
“นี่เราจะคุยกันดีๆไม่ได้เลยใช่ไหมคะ”
“แล้วตอนนี้มันไม่ดีตรงไหน”
“เอาจริงดิ?”
ความเฉยชา ตอบแบบไร้เยื่อขาดใย ทำคนฟังอ้าปากค้าง ชักไม่แน่ใจแล้วว่าคนตรงหน้าต้องการอะไรกันแน่ เพราะที่สนทนาไม่มีตอนไหนเลยที่ทำให้เธอกระจ่างใจ เขาก้ำกึ่งซะจนเริ่มหงุดหงิด
“กักขังหน่วงเหนี่ยวหนู ทำแบบนี้มันผิดกฎหมายนะ!”
สาวเจ้าทำหน้าบึ้ง แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมากลายเป็นเสียงแค่นหัวเราะแทน พร้อมกับเดินหน้าเข้ามาเรื่อยๆ ร่างบางเห็นเช่นนั้นถึงกับใจคอไม่ดี เริ่มเปลี่ยนจากท่าที่นั่งสบายๆ เอนตัวไปข้างหลัง
“กฎหมายอย่างนั้นหรือ แล้วคิดว่าคนอย่างฉันจะรู้ไหม”
“คนอย่างคุณ? คุณถามเหมือนฉันรู้จัก โอ้ย”
ถามกลับไม่พอเขายื่นมือมาจับปลายคางเธอด้วย ก่อนจะบีบบังคับเธอให้หันมาสบตาเขา
“ฟังนะสาวน้อย เวลาจะถามหรือพูดอะไรออกมา ได้โปรดใช้หัวคิดด้วย กรณีเรื่องนี้ บอกตามตรงถ้าฉันกลัว คงไม่ทำ”
อยู่ดีๆก็ใจเสาะขึ้นมาซะงั้น จากที่อวดเก่งอยู่เมื่อครู่ เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพียงเขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้ จ้องตาเขม็งเข้ามาในตาลึก พร้อมรอยยิ้มร้าย
“ถ้างั้น คุณจะฆ่าหนูไหม”
“อาจเป็นไปได้ ถ้ากวนประสาทกันมากกว่านี้”
O.O
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง ความตกใจของเธอทำให้จำต้องนิ่งชะงัน ถึงขนาดเห็นสีหน้าของตัวเองอยู่ในม่ายตาสีน้ำข้าว
“เอาจริง สิ่งที่ฉันต้องการ ระหว่างที่อยู่กับฉันอยากให้เธอได้อยู่สบาย แต่ถ้าเธอเอาแต่สร้างปัญหาให้คนอื่นต้องมาเหนื่อยเพิ่มละก็ ฉันว่าเธอก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่นะ ฉะนั้นอย่าถ่วงคนอื่น อย่าพยายามทำให้ทุกอย่างมันแย่ขึ้น บอกแล้วให้ใช้สมองคิดเยอะๆ เธอมีเวลานั่งกอดเข่าอยู่คนเดียวตั้งนาน ทำไมถึงยังคิดไม่ได้ว่าใครก็ตามที่มันมีเจตนาร้ายคงไม่ช่วยให้คนใกล้ตาย ฟื้นขึ้นมาหรอก”
“ฮึก!”
“เก็บกวาดซะด้วย อย่าให้แม่บ้านต้องมาเปลืองแรง”