กักขัง

1506 Words
สาวเจ้ามองตาขวาง แม้ปลายคางจะถูกบีบจนเจ็บด้วยท้องนิ้วมือที่แข็งปานหิน บ่งบอกถึงการจับอาวุธเพื่อฝึกหนักมากกว่าด้ามปากกา คนอย่างหล่อนถ้าจะกลัวอะไรสักอย่างก็แค่ระยะเวลาอันสั้น ไม่มีทางสลดหรือศิโรราบให้ใครหรอก ไม่เว้นแม้กระทั่งคนเป็นพ่อของหล่อนเอง “ไม่เก็บ” ร่างบางกัดฟันพูด การถูกบีบแก้มไร้ซึ่งอิสรภาพไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใดจึงเป็นสาเหตุทำให้เขาถอยห่าง “งั้นหรือ?” สงครามปล่อยมือผละตัวไปยืนเต็มความสูง ความคุกรุ่นเริ่มสุมในสมองเขา แทบจะสลัดคิดลบยึดสติเอาไว้ไม่อยู่ กว่าจะหันมามองก็หลังจากทิ้งเวลาให้เงียบไปหลายอึดใจ และพบว่าเธอเองก็มองอยู่แล้วเช่นกัน “ถ้าหนูไม่เก็บ คุณจะทำอะไร ฆ่าหนูนะเหรอ” เขาขบกรามกรอดพลางเอ่ยเสียงแหบ ดวงตาจ้องเขม็งราวจะกินเลือดเนื้อ “เธอคิดว่าสิ่งนี้ที่ทำอยู่มันคืออะไรกัน เป็นการเรียกร้องความสนใจ แล้วช่วยให้เธอได้รับความเป็นธรรมได้อย่างนั้นหรือ” หญิงสาวไม่ตอบ การจ้องหน้าหาเรื่อง ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้นเข้าไปใหญ่ แต่ชั่วพริบเดียวก็เปลี่ยนไปเป็นเย็นชานิ่ง หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว “ถ้าคิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ก็ได้ แล้วเดี๋ยวเรามาดูกัน” “หนูจะรอนะคะ” ส่วนเธอก็ใช่ย่อย เถียงคำไม่ตกฟาก น้ำเสียงเปล่งออกมาพร้อมสีหน้าดูท้าทายสุดติ่ง สงครามเปลี่ยนจากท่ายืนกอดอกเป็นล้วงกระเป๋ากางเกงแทน พยายามเพ่งเข้าไปในตาลึกของเธอ ใช้หลักวิทยาค้นหาตัวตนที่แท้จริง แน่นอน เขาเห็นความกลัวถูกซ่อนอยู่ภายใต้ความก้าวร้าวนั้น ปกปิดไม่มิดและพยายามวิ่งพล่านเพื่อหาทางจะออก ซึ่งนั่นทำให้เขารู้ว่าสาวเจ้าตรงหน้าดื้อด้านเพียงใด แถมฉลาดแกมโกง ไม่ต่างจากพ่อเธอเลย แต่กระนั้นมาเฟียอย่างเขาก็ใช่ว่าจะหูเบา เหมารวมทุกอย่างมาเป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด คนทุกคนไม่เหมือนกัน แม้คนผู้นั้นจะเป็นครอบครัวโดยสายเลือดเดียวกันก็ตามที มดตะนอยช้อนตาขึ้นจ้องหน้าเขา ไม่เข้าใจที่เขาพูด คนตรงหน้ายามนิ่งดูน่ายำเกรงเกินใคร แต่อีกนัยก็เหมือนย้อนแย้งกัน เขารูปหล่อ หล่อชนิดไม่อยากเชื่อว่าจะมีท่าทางดุดันแบบนี้ได้ การพูดพร้อมยักไหล่ไม่ยี่หระเป็นภาพประกอบเริ่มทำให้สับสน สาวเจ้ามองเขาเงียบกริบ เผลอใช้ฟันขบริมฝีปากล่างจนเจ็บ และนั่นเรียกสติให้คืนกลับมา “หนูเคยเจอคุณที่ร้านหนังสือ” อยู่ๆก็โพล่งประโยคนี้ขึ้น หลังสูดลมหายใจเข้าปอดจนสุด “แล้วไง?” “หนูแค่งงว่าทำไมเป็นคุณที่ยืนอยู่ตรงนี้ ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน และพยายามขัดขวางหนูไม่ให้ไปหาพ่อ” มาเฟียหนุ่มเกาสันจมูก เขาเบื่อที่จะยืนต่อล้อต่อเถียงกับเรื่องเดิมๆ เพราะมันช่างเสียเวลา แต่การจะเดินออกไปเสียดื้อๆตามอำเภอใจ ไม่อธิบายอะไรให้มันกระจ่างสักหน่อย เหมือนจะดูใจร้ายจนเกินไป “ฟู่ว~ จะทำยังไงกับเด็กไร้เดียงสาอย่างเธอดี ฆ่าข่มขืนซะดีไหม?” สงครามใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม เท้าเอวสอบมองเธออย่างกระหายหื่น แกล้งใช้สายตาแทะโลมจนเธอต้องห่อตัว ก่อนจะละสายตาเบือนหน้าไปทางอื่นประหนึ่งใช้ความคิด ในเมื่อเธออยากไขปริศนา เขาจะสนับสนุนโยนสมการข้อไม่ยากมากนักให้ แต่ทว่าเหมือนจะทำให้คนตรงหน้ายิ่งกลัวมากขึ้นไปอีก เธอขมวดคิ้วนิ่วหน้าจะเป็นจะตาย “เอาเป็นว่าเด็กอย่างเธอไม่คู่ควรกับคำอธิบายหรอก พูดไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดี” เขาหรี่ตาต่ำก้มมองเธอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ซึ่งเป็นยิ้มที่ดูแคลนเท่าที่สุดที่เธอเจอมา มดตะนอยโกรธจนตัวสั่น เมื่อเห็นท่าทางของคนตรงหน้าที่มีชั้นเชิงมากกว่าเธอ กำลังหัวเราะเยาะกัน “หนูไปทำอะไรให้?” “เปล่าเลยสาวน้อย เธอไม่ได้ทำอะไรเลย" ก่อนจะส่ายหน้าแล้วยิ้มกริ่ม "ถ้าจะมีก็คง..อวดดีเกินไปหน่อย” “นี่!” สาวเจ้ามองค้อน ผลักมือเขาที่เตรียมยื่นมาจับปลายคางอีกครั้ง “ถ้างั้น วันนั้นไม่ได้ไปซื้อหนังสือ แล้วคุณไปทำอะไร พออีกวันร้านนั้นก็ถูกปิด เป็นฝีมือของคุณใช่ไหม” “รวมถึงหนังสือสิบเล่มนั้นด้วย” ดวงตากลมโตขึงกว้าง หลังได้คำตอบ ราวกับตื่นเต้นที่ความจริงกับการคาดเดาของตัวเองตรงกันกับสิ่งที่สวนแทรกมา แต่มันเป็นเรื่องน่าขบขันสำหรับเขา สงครามกลั้วหัวเราะ “ไม่เห็นต้องทำหน้าเหมือนจับฉลากได้ของเล่นที่ชอบขนาดนั้นเลย ฉันตอนนี้เป็นคนเดียวกับวันนั้นมันถูกต้องแล้ว เพราะไม่ได้จงใจจะปิดบังใคร ไม่เหมือนกับพ่อของเธอ” ประโยคเอ่ยขึ้นพร้อมกับการเย้ยหยัน ก่อนหุบยิ้มทันควันในตอนหลัง ขณะจ้องสาวเจ้าสายตาดุดัน “เกี่ยวอะไรกับพ่อของหนู” “หึ ก็พอจะเข้าใจที่เธอปกป้องนั่นเพราะคือพ่อ แต่ถ้าเธอได้รู้อะไรฉันรับรอง ต่อให้เป็นพ่อเธอก็ปกป้องไม่ได้” “มะ หมายความว่ายังไง..” “หมายความแบบที่เธอคิด สัญชาตญาณของเธอบอกว่าอะไรล่ะ สำหรับเธอการมองเขาในฐานะลูก เขาเป็นพ่อบกพร่องต่อคำนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ” มดตะนอยอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะเหนือชั้น เขารู้ทุกอย่างที่เธอคิดราวกับเป็นสมองของเธอ และเหนือกว่าผู้ใหญ่หลายคนที่เธอคุยมา ทั้งการวางท่า แววตา น้ำเสียงที่พูด แสดงออกถึงความนิ่งสงบ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้คู่สนทนาอ่านความคิดไม่ออก นั่นบ่งบอกว่าเขาควบคุมมันได้ดี ผู้ชายตรงหน้าไม่ธรรมดา “คุณเป็นใครกันแน่..” “เป็นใครไม่สำคัญ มันสำคัญที่ว่าเธอละอ่อนเกินกว่าจะมารับรู้เรื่องพวกนี้ได้ อีกอย่าง มองแค่นี้ก็พอจะรู้ เด็กกำพร้าแม่ แถมความสนิทระหว่างพ่อลูกแทบไม่มี..เด็กจำพวกนี้ฉันรู้ดีจะเป็นยังไง” เขาไม่เปิดโอกาสให้เธอได้พูดแทรกไม่พอ ยังวางท่านิ่งขรึมให้เธอกลัวอีก นั่นคือการโน้มหน้าเข้ามา ใช้สายตาครั่นคร้ามจ้องมอง “แต่อันที่จริงเธอก็ใช่ว่าจะละอ่อนมาก ถ้าวัดกันที่วุฒิภาวะ..” ก่อนจะเหยียดหยามก็ตอนกวาดสายตาไปทั่วเรือนร่าง ประหนึ่งกำลังบอกให้รู้ว่าเขาหมายถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องภายใน ที่หญิงสาวอาจไม่หลงเหลืออยู่แล้วก็ได้ “ถ้างั้นเอางี้ ฉันจะบอกให้รู้แบบรวบรัดทีเดียวดีไหม จะได้ไม่ต้องบรรยายให้เสียเวลา ฟังแล้วก็จำเอาไว้ซะเด็กน้อย พ่อของเธอเป็นคนไม่ดี และคนไม่ดีย่อมสมควร..ตาย” “นี่!” “ชู่ว~ ไม่เอาน่า อย่าโกรธ เพราะยิ่งเธอโกรธมันจะทำให้ฉันโกรธมากกว่า ทางที่ดีอยู่เฉยๆ ทำตัวให้มันน่ารัก ว่านอนสอนง่าย นั่นล่ะ คือวิธีรอดตายที่มีอยู่ทางเดียว” เขาตัดบทเสียดื้อๆ หมุนตัวเดินไปไม่เปิดโอกาสให้เธอได้เถียงต่อ และไม่สนใจกันด้วย ปล่อยให้นั่งอยู่ในท่าเดิม มองแผ่นหลังที่ขยับเขยื้อนค่อยๆห่างไกลไป กับลูกน้องคนสนิทที่ปรายตามามองเธอก่อนจะเดินตามนาย และแม่บ้านคนเดิมถืออุปกรณ์เก็บกวาดเข้ามา ไม่พูดไม่จาสักคำ ไม่พอแค่นั้น เมื่อการเก็บกวาดเกิดขึ้นจนเสร็จ หล่อนก็เดินมาหยิบถาดอาหารที่ยังไม่ได้แตะสักแอะกลับไป และไม่วายหันมากระแทกเสียงใส่เธอ “นายสั่งดิฉันไม่ให้นำข้าวและยามาให้คุณจนกว่าจะครบ 24 ชั่วโมง เพราะเดาว่าคุณคงไม่หิวค่ะ” ซึ่งนั่นแทนที่จะทำให้เธอสลด เกรงกลัวเขา กลับทำให้เธอโกรธแค้นหนักไปอีก มดตะนอยเบือนสายตาไปทางอื่นพร้อมทำหน้าตึงใส่ขณะฟังเซริลน่าพูด จนกระทั่ง.. ได้ยินเสียงประตูปิดลงถึงจะหันกลับมา “ไหนว่าจะให้เก็บกวาดเองไง เฮอะ” เธอกัดฟันพูด ก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วห้อง ราวกับมองหาช่องทางหนีใหม่อีกครั้ง ในขณะสังขารตอนนี้ก็บอกอย่างชัดเจนอยู่แล้ว หนีไปยังไงก็ไม่พ้น หญิงสาวก้มลงมองแผลตัวเอง ที่ตอนนี้เหมือนจะอักเสบ ทั้งบวมปูดทั้งแดงจ้ำช้ำเลือด “อูยยย.. เจ็บจังเลยง่า~”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD