เอื้องไอยคชสาร
ในค่ำคืนหนึ่งฤดูเหมันต์ท่ามกลางหุบเขาลำเนาไพรอันอุดมสมบูรณ์ทางตอนเหนือ บรรยากาศเย็นยะเยือกปกคลุมยอดดอย หยาดน้ำค้างเย็นจัดจนอากาศติดลบองศาเกาะกันเป็นกลุ่มก้อนบนยอดหญ้า เรือนกาแลหลังใหญ่ตั้งตระหง่านโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ รายล้อมด้วยช้างเชือกทั้งช้างพลายแลช้างพังหลายร้อยชีวิต
ร่างอรชรบนเตียงนอนหนานุ่มนอนกระสับกระส่ายเหงื่อท่วมตัว ขณะที่บรรยากาศรอบตัวหนาวเย็นจนติดลบ ความฝันอันดำมืดได้กัดกร่อนห้วงนิทราอันยาวนาน ในความฝันขนายยาวของนางไอยราเผือกผ่องเสียดแทงเข้ากลางหลังทะลุหน้าอกของเธออย่างเลือดเย็น ความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนเวียนไม่รู้จักจบจักสิ้น หยาดเลือดสีสดไหลทะลักออกมาทางบาดแผลลงต่ำสู่เบื้องล่าง
ร่างอาบเลือดถูกโยนลงแม่น้ำสีใสบริสุทธิ์อันกว้างแลลึกสุดคณา ลมหายใจรวยรินค่อย ๆ เลือนหายจมดิ่งใต้นที เป็นช่วงเวลาเดียวในชีวิตที่เธอรู้สึกว่ามันช่างเปล่าเปลี่ยวและโดดเดี่ยวเหลือเกิน ในช่วงลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่กำลังจะถูกกระชากพรากออกไป...
“เฮือกกก...”
เอื้อนจันทร์สะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมาในกลางดึก รีบสูดอากาศเข้าเต็มปอดเยี่ยงคนขาดอากาศหายใจ เสียงลมหายใจเข้าออกหนักหน่วงควบคุมจังหวะไม่ได้ดังขึ้น หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำ ดวงหน้างามเหงื่อเย็นผุดพรายเต็มกรอบหน้าและแผ่นหลัง เธอไม่ได้ฝันแบบนี้เป็นครั้งแรก ราตรีอันยาวนานสุดแสนจะดำมืด มันเริ่มต้นขึ้นในช่วงวัยเยาว์ ตั้งแต่เธออายุ ๗ ขวบ
“ฝันแบบนี้อีกแล้ว...”
“ไม่มีอะไรหรอกมั้ง”
เสียงพึมพำแผ่วเบาเอ่ยปลอบใจตนเอง หญิงสาวโน้มตัวลงนอนอีกครั้งทั้ง ๆ ที่ดวงตายังเบิกกว้างเต็มสองตา ทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลงตามท่วงจังหวะการหายใจเข้าออกถี่รัวเหมือนคนออกกำลังกายมาอย่างหนัก ทุกค่ำคืนยามราตรีมืดมิดมาเยือน เธอรู้สึกถึงความหวาดหวั่นพรั่นพรึงคล้ายวิญญาณถูกกระชากออกจากร่างและก็โดนใครบางคนกระชากกลับเข้ามาเหมือนเดิม กว่าเอื้อนจันทร์จะข่มตานอนได้อีกครั้งก็เกือบรุ่งสาง
อากัปกิริยาของหญิงสาวล้วนอยู่ในสายตาคมกริบที่ลอบมองเธออยู่ในความมืดฉายแววความเจ็บปวดของใครบางคน นิทราอันยาวนานที่กัดกร่อนนางมายาวนาน เขาผู้นี้ทำได้เพียงช่วยให้ความฝันอันแสนทุกข์ทรมานของนางสั้นลงในแต่ละคืน แต่มิอาจช่วยกำจัดฝันร้ายที่หยั่งรากฝึงลึกในดวงจิตของหญิงสาว
“เห็นเจ้าเป็นแบบนี้ข้าปวดใจหนาช่อเอื้อง...”
วัดแสงแก้วโพธิญาณหนึ่งในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ วัดแห่งนี้โดดเด่นในเรื่องขอพรให้สมหวังในความรัก ใครต่อใครที่มากราบสักการะต่างสุขสมหมายดั่งใจหวังกลับไปทุกคน เสียงไม้ติ้วเซียมซีแผ่นเรียวยาวเคลือบสีแดงปลายสุดระบุหมายเลขเสี่ยงทายเคาะเขย่าดังจากภาชนะกระบอกไม้ไผ่ โดยไม้ที่หล่นลงมาแท่งแรกจะถือเป็นคำทำนายเสี่ยงทายโชคชะตา หญิงสาววัยยี่สิบขวบปีนั่งคุกเข่าต่อหน้าพระโพธิสัตว์นั่งเขย่ากระบอกเซียมซีสีแดงอย่างใจจดใจจ่อ ริมฝีปากกระจับได้รูปขยับพึมพำ
“ขอให้หนูสมหวังเรื่องความรักกับเขาด้วยเถิดเจ้าพระคุ๊ณ ยี่สิบปีแล้วนะเจ้าคะ ไม่มีชายใดเข้ามาให้หนูกระชุ่มกระชวยบ้างเลย แวะเวียนสลับกันมาทีละคนสองคนก็ได้นะเจ้าค่ะ ไม่ต้องหล่อ ไม่ต้องรวยมากก็ได้เจ้าค่ะ ขอคนที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงก็ได้เจ้าค่า”
เอื้อนจันทร์ขอพรน้ำเสียงแผ่วเบา ขนาบข้างซ้ายขวามีหญิงสาวสวมแว่นตาหนาเต๊อะบดบังดวงหน้าอ่อนหวาน อีกข้างมีหญิงสาวดวงหน้าคมเฉี่ยวตามฉบับสาวใต้ผิวเข้มพนมมือสักการะเป็นเพื่อน
“ผลบุญที่หนูเคยสั่งสมมาหนูขอยกให้ยัยเอื้อนจันทร์เพียงผู้เดียวขอให้มันมีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเค้าสักทีนะเจ้าคะหลวงพ่อ มันจะได้ไม่ต้องมาเป็นก้างขวางคอเวลาเพื่อนมีความรัก เพี้ยงงง!”
ยี่สก สาวใต้พัทลุงเพื่อนสนิทเอื้อนจันทร์ที่ย้ายตามครอบครัวมาอยู่ดินแดนล้านนาเพื่อทำการปศุสัตว์เปิดฟาร์มเพาะเลี้ยงหมูส่งให้โรงงาน พนมมือไหว้กราบกรานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยส่งเนื้อคู่มาให้ยัยเอื้อนจันทร์เสียที
เพราะตลอดเวลาหลายปีมานี้ไม่ว่าเธอหรือยัยน้ำว้าจะเปลี่ยนแฟนกันไปแล้วไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ยัยเอื้อนจันทร์ก็ดูจะหาคนข้างกายไม่ได้ซะที ทั้ง ๆ ที่หน้าตาก็ออกสะสวยไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร คนที่ทำท่าจะเข้ามาจีบพออีกวันมาก็ดันทำเป็นไม่รู้จักกันเสียอย่างนั้น และไม่ใช่แค่ครั้งเดียวมันเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน จนเหตุการณ์เหล่านั้นกลายมาเป็นปมภายในใจของเอื้อนจันทร์
เพล้ง!!!
“ว้ายยย” ยี่สกและน้ำว้าสะดุ้งโหยงสุดตัวส่งเสียงวี้ดว้ายด้วยความตื่นตกใจ
กระถางแจกันไว้สำหรับใส่ดอกไม้บูชาตกลงมาแตก คล้ายมีคนตั้งใจปัดกระถางใบใหญ่ตกลงมาแตก ทว่า ณ เวลานี้บริเวณนี้มีเพียงสาวแรกแย้มสามคนไม่มีใครอื่น จะว่าลมแรงแล้วแล้วทำให้แจกันตกลงมาก็ดูจะไม่ใช่เหตุผลที่ฟังขึ้นเท่าไหร่เพราะมันไม่มีลมเลยต่างหาก เศษแจกันกระเด็นกระดอนทั่วใต้โต๊ะหมู่บูชา ดอกบัวตูมสีชมพูระเรื่อตกกระจัดกระจาย
“หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่อยากให้แกมีผัว” ยี่สกป้องปากกระซิบบอกเอื้อนจันทร์ข้างใบหู
“ยัยยี่สก!!!” เอื้อนจันทร์ถลึงตามองค้อนเพื่อน
“เอาเป็นว่าจัดกล้ามใหญ่ล่ำบึ้กให้ยัยเอื้อนจันทร์ฟัดให้เต็มมัดเต็มหน่วยเลยก็แล้วกันนะเจ้าคะ สาธุ๊…” ยี่สกพนมมือยกท้วมเหนือหัวตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคักของน้ำว้า
“วัดนี้ใครกลับไปก็สมหวังกันทั้งนั้นฉันส่องรีวิวมาหมดแล้วไม่เชื่ออย่าลบหลู่ย่ะ” เอื้อนจันทร์พยายามกล่าวย้ำถึงความศักดิ์ของวัดให้เพื่อนทั้งสองรับรู้
“แต่วัดที่แล้วก็พูดแบบนี้นะยัยเอื้อน ทุกวันนี้สถานที่พวกเราไปบ่อยที่สุดเห็นจะเป็นวัดวากับศาลเจ้า กลิ่นธูปวัดเก่ายังไม่ทันหาย แกก็ลากพวกฉันมาที่ใหม่แล้ว” น้ำว้าลอบยิ้ม
“ยัยน้ำว้าแกก็อีกคนอย่าพึ่งขัด ฉันกำลังตั้งสมาธิอยู่ เกิดฉันไม่มีสมาธิแล้วได้เลขไม่ดีจะทำไงเล่า” น้ำเสียงงุ้งงิ้งของเอื้อนจันทร์เอ่ย ก่อนจะหันไปตั้งสมาธิตามเดิม เรียวแขนเขย่าส่งแรงเคาะอย่างแน่วแน่อยู่หลายนาที จนกระทั่งเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง
ไม้ติ้วเซียมซีกระเด็นหล่นลงมาจากกระบอกเซียมซี ร่างอรชรลืมตาขึ้นมาเชื่องช้าหยิบคว้าไม้ติ้วเซียมซีขึ้นมามองดูหมายเลขอย่างตั้งอกตั้งใจกว่าตอนเรียนซะอีก เธอไม่เคยขอให้ถูกหวยหรือขอโชคลาภ ที่เธอขอก็แค่ผู้ชายที่จริงใจอยากใช้สถานะคนรู้ใจคลายเหงาก็เท่านั้นเอง เหตุใดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายถึงไม่เวทนาเธอบ้างเลย!
“ยี่สิบเอ็ด…” เอื้อนจันทร์พึมพำ ก่อนเพื่อนสาวคนสนิทอย่างน้ำว้าและยี่สกจะชะโงกศรีษระมองหมายเลขบนไม้เซียมซีของเพื่อนด้วยความสนอกสนใจ
“เดี๋ยวฉันไปเอามาให้ แกรออยู่ตรงนี้แหละ” น้ำว้าผุดลุกขึ้นไปดึงเศษกระดาษสีชาจากแผงพนังกำแพงที่ติดกระดาษทำนายทายโชคตามลำดับหมายเลข น้ำว้าคว้ากระดาษใบที่ยี่สิบเอ็ดติดมือนำกลับมาให้เพื่อน
“อ่านเร็วรอฟังอยู่”
“อ่านละนะ…”
“เลขที่ ๒๑ ได้เมื่อพระจักรกฤษณ์ คืนสถิตแสนโสมนัสสา ของที่รักจากไปจะได้มา ปรารถนาสิ่งอันใดสมใจปอง พวกศัตรูก็กลับสู่มาเป็นมิตร กลับชื่อสนิทไม่มีราคีหมอง สัตว์สี่เท้าและเงินทอง จะมีช่องไหลมาตั้งวาริน ถ้าถามไข้ว่าจะหายในไม่ช้า ถามหาคู่ว่าจะสมอารมณ์ถวิล ถามของหายจะได้คืนอย่าราคิน อยู่กับถิ่นลาภจะมาไม่ช้า เอย ฯ” เสียงหวานอ่านคำทำนายเสียงดังฟังชัด ดวงหน้าสะคราญยักคิ้วเล็กน้อยให้เพื่อนทั้งสอง อ่านปราดเดียวก็รู้แล้วว่าดี มันต้องดี!
“สรุปดีหรือไม่ดีที่ฟังมาฉันไม่ค่อยเข้าใจแปลมา ใบเซียมซีพวกนี้ทำไมไม่เขียนให้เข้าใจง่าย อ่านแล้วก็ต้องเอามาแปลอีก” ยี่สกขยับเรือนกายเข้าใกล้เอื้อนจันทร์อีกหน่อย รอเพื่อนแปลความหมายให้ฟัง
“ของที่รักจากไปจะได้มาก็หมายความว่าโดยนัยก็แปลว่าฉันจะสมหวังในความรักสิจ๊ะเพื่อนจ๋า ไม่เสียแรงที่ยอมตื่นแต่เช้าลากพวกแกมา จะของเก่าของใหม่ก็มาเถอะจ้าวินาทีนี้เอื้อนจันทร์ไม่เกี่ยง!”
เอื้อนจันทร์เสียบไม้ติ้วเซียมซีในกระบอกไม้ไผ่ เธอหันมาเก็บกวาดเศษแจกันที่ตกแตกกระเด็นไปคนละทิศละทาง กลัวคนอื่นที่ตั้งใจมาทำบุญจะเผลอเหยียบเศษแก้วจนได้รับบาดเจ็บ
“ของรักจากไปอะไรพูดเหมือนแกเคยมีแฟนงั้นแหละ เค้าหมายถึงของหายจะได้คืนหรือเปล่า” น้ำว้าพูด
“อาจจะหมายถึงผู้ชายที่คิดจะมาจีบแต่ก็เงียบหายไปก็เป็นได้” เอื้อนจันทร์ยักไหล่ท่าทีไม่สนใจในสิ่งที่น้ำว้าพูด
”ให้กำลังใจตัวเองสุด” ยี่สกแซวเพื่อน นั่นทำให้บุหลันวิ่งไล่เพื่อนทั้งสองที่ทำท่าล้อเลียนเธอไม่หยุด
“แกมันหมกมุ่น!”
“ถ้าไม่หมกมุ่นฉันต้องขึ้นคานแหง่!”
นี่ก็เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เธอเติบใหญ่ขึ้นมาในหมู่บ้านปางช้างแม่สรวย รายล้อมด้วยความรัก ความอบอุ่นของพ่อแม่ พี่ชาย และน้องสาวจอมแก่น มีเพื่อนสนิทสองคนที่เรียนที่เดียวกันตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัย คอยปรึกษาและให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมาได้ทุกประเด็น แม้ความรักที่เธอได้จากครอบครัวมันเพียงพอที่จะหล่อหลอมให้เธอเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบ ไม่ได้มีปมด้อยใด ทว่าความรู้สึกส่วนลึกกลับโหยหาความรู้สึกบางอย่าง ที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร เธอพยายามหาคำตอบมานานหลายปี สิ่งที่ได้คือความว่างเปล่า...
เอื้อนจันทร์จึงเลือกที่จะละทิ้งความรู้สึกนั้นคงเพราะเธอคิดว่ามันคือจิตปรุงแต่ง ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอคาใจมากที่สุดในเวลานี้ก็คือทำไมพวกผู้ชายที่เคยเทียวมาขายขนมจีบเธอ ไม่กี่วันต่อมาก็ไม่กล้าเข้ามาทำความรู้จักหรือสานสัมพันธ์ไมตรีกับเธออีกนั่นคือประเด็นหลัก พอเจอหน้าเธอก็พากันหลบเหมือนเห็นผีซะอย่างนั้น
มันทำให้เธอรู้สึกอับอายและประหม่าในรูปร่างหน้าตาของตนเองไม่น้อย ใครต่อใครต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าความสวยของเธอไม่เป็นรองผู้ใด ทว่าท่าทีวิ่งหนีเธอหางจุกตูดของผู้ชายเหล่ามันทำให้เธอรู้สึกสูญเสียความมั่นใจชะมัด
“พวกมันตาถั่วถ้าฉันเป็นผู้ชายคงจีบแกไปแล้ว!” ประโยคที่เธอได้ยินบ่อยที่สุดจากเพื่อนสนิททั้งสอง เห็นทีจะเป็นประโยคนี้ที่ใช้ปลอบใจเธอ
นี่คือสาเหตุที่ทำให้เอื้อนจันทร์เลือกที่จะตระเวนขอคนรู้ใจตามวัดวาอาราม ศาลเจ้าที่ว่าเด่นว่าดังในเรื่องของความรักล้วนแล้วแต่อยู่ในรายชื่อสถานที่วันหยุดสุดสัปดาห์ที่เธอจะต้องไป เพื่อมาลบคำสบประมาทคำว่าไม่มีใครเอาให้ได้ แต่เหมือนยิ่งไขว่คว้าสิ่งที่เธอหมายมั่นอยากจะได้ก็ดูจะหนีห่างเธอออกไปไกลเรื่อย ๆ เห็นทีจะมีแต่เพื่อนสาวทั้งสองที่คอยปลอบใจพาออกไปเปิดหูเปิดตาในยามราตรีกันบางครั้งบางคราว
คล้อยหลังสามสาวพากันเดินขึ้นรถเก๋งสี่ประตูของยี่สก ร่างสูงใหญ่ผิวกายเข้มดุจดั่งแร่รัตนชาติขนานนามนิล ยืนกอดอกมองนางในกายเนื้อด้วยสีหน้าเคืองขุ่น นับวันเค้าโครงใบหน้าแลทรวดทรงของนางละม้ายคล้ายช่อเอื้องเข้าไปทุกที จิตละเอียดของพญาคชสารซ่อนเร้นจากสัมผัสที่หกของหญิงสาวนางนั้นมาเป็นเวลา ๒๐ ขวบปีแล้วหนา เขาติดตามนางมาโดยตลอด พยายามไม่เปิดเผยตัวตนหากยังไม่ถึงเวลาอันเหมาะอันควร แต่ครั้นจะให้เขายอมทนมองนางมีรักครั้งใหม่กับชายอื่น แน่นอนว่าเขาคงทำใจมองดูเฉย ๆ ไม่ได้ดอก จึงต้องทำทุกวิธีทางไม่ให้ริ้นไรพวกนั้นมาดอมดมบุปผาของเขา
“อยากมีผัวหรือช่อเอื้อง ข้าก็เป็นให้เจ้าได้หนาและข้าเป็นมาโดยตลอด อย่าได้ริอ่านหมายตาผู้ใด” สุรเสียงเข้มอย่างหมั่นเขี้ยว