ตอนที่5:พิธีคล้องมาลัย

3485 Words
๕ “ตัวข้าเป็นเพียงสิ่งของในสายตาท่านหรือ” “เจ้าหาใช่สิ่งของแต่เจ้าคือเมียข้าที่ข้าไม่มีวันแบ่งปันแก่ผู้ใด เจ้าคิดผิดแล้วล่ะที่สมยอมข้าในวันนั้นเพราะมันยิ่งทำให้ข้าแน่ใจว่าข้าจะยัดเยียดความเป็นผัวให้แก่เจ้าผู้เดียวช่อเอื้อง” คชคณกระชับวงแขนสูดดมกลิ่นหอมบนเรือนผมยาวสลวยของนาง นางจุติขึ้นมาเพื่อเขาผู้เดียวและมันจะเป็นอย่างนั้นไปตลอดกาล ริมฝีปากหนาร่ายบริกรรมคาถา หัวนิ้วแม่โป้งวาดอักขระบนหน้าผากมน อัตลักษณ์คู่คชสารสีแดงฉานปรากฎบนหน้าผากมนของนาง อัตลักษณ์คู่ผัวเมียนี้เขามอบให้นาง “อัตลักษณ์ข้ามอบให้แก่เจ้าเป็นเครื่องหมายตีตราจองไว้ก่อน” คชคณเอ่ยน้ำเสียงกรุ่มกริ่ม “ข้าต้องไปฝึกซ้อมเหล่านางรำ ท่านคงไม่คิดที่จะกักขังข้าไว้ในอ้อมแขนตลอดทั้งวันใช่หรือไม่” ช่อเอื้องหาได้ใส่ใจอัตลักษณ์ที่เหล่านางไอยราอยากได้มาครอบครอง ฝ่ามือเรียวตวัดเคลื่อนพาดผ่านซ่อนอัตลักษณ์นั้นไว้ด้วยฝ่ามือเดียว “ย่อมได้...ข้าจักไปส่ง ช่วงเย็นข้าจักไปรับพาเจ้าเที่ยวชมพงไพรแลหุบเขา จักพาเจ้าไปชมสรรพสัตว์” “......” ช่อเอื้องเงียบ คชสารใหญ่เดินมาส่งหญิงสาวบริเวณลานบุญฑริก เหล่านางรำที่มาคอยอยู่นานแล้วต่างส่งสายตาให้กันมองชายหญิงคู่นั้นที่กำลังเดินตรงมาทางพวกนาง คชคณที่เห็นสายตาเคลือบแคลงจึงประกาศกร้าวให้พวกนางกระจ่างแจ้ง “นางคือว่าที่ตุนาหงันของข้า หากผู้ใดคิดเสี้ยมให้นางแคลงใจต่อข้า ข้าจะลงโทษสถานหนักแลขับไล่ออกจากคุ้มโขลงกาฬวกหัตถี ช่วยป่าวประกาศให้รู้โดยทั่วกันตามนี้” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเข้มคาดโทษเหล่านางรำ อดีตที่ผิดพลาดอาจจะแก้ไขไม่ได้แต่ปัจจุบันเขาหาได้ทำตัวเหมือนก่อน เขาจริงใจและรักจริงหมายมั่นอยากตบแต่งนางเป็นเมีย ใครหน้าไหนที่คิดขัดขวางเขาไม่มีวันยอมรามือ กว่าเขาจะวางแผนได้นางมาเป็นว่าที่ตุนาหงันช่างยากเย็น แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมให้ความอิจฉา ริษยาของอิสตรีมาทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง “ท่านกลับไปได้แล้ว” ช่อเอื้องรีบออกปากไล่ชายหนุ่ม มาส่งไม่ทันไรก็ออกหน้าป่าวประกาศ ไม่คิดจะให้นางมีพื้นที่หายใจหายคอสะดวกหน่อยหรือ ฟอด! “!!?!!” จมูกโด่งสันคมกดขโมยหอมพวงแก้มอิ่มดังฟอดต่อหน้าธารกำนัล ก่อนจะกระซิบข้างใบหูอวดตำแหน่งว่าที่ตุนาหงันให้เหล่านางรำเห็นเต็มสองตา “ตอนเย็นข้ามารับนะเมียรัก” “ขนลุกใคร่สำรอก...” ช่อเอื้องพึมพำ เดินกลับไปประจำตำแหน่งฝึกซ้อมนางรำโดยไม่สนใจชายหนุ่มทางด้านหลังอีก คชคณจึงแยกไปทำหน้าที่ตรวจตราบนเทือกเขาหิมาลัยตามปกติ “พี่ช่อเอื้องเรื่องจริงดั่งที่ท่านคชคณว่ารึ” แก้วเกล้าวิ่งหน้าตาตื่นมาเกาะแขนถามนาง เด็กสาววัยสิบขวบแทบไม่อยากชื่อหูตนเอง ท่านคชคณคิดจะตบแต่งพี่ช่อเอื้องเป็นชายา แบบนี้จะไม่สร้างความเกลียดชังที่มีต่อพี่ช่อเอื้องในใจนางกำนัลที่เคยพัวพันท่านคชคณหรอกหรือ ยังไม่รวมนางพิณพิมา นางไอยราจากตระกูลฉัททันต์อีก “จริงดั่งเขาว่าแม่ทูลหัวสั่งมาแบบนั้นข้าจะขัดกระไรได้แก้วเกล้า” ช่อเอื้องพูดหน้านิ่ง วันนี้เปรียบดั่งวันฟ้าถล่มล้มทับนางเชียวล่ะ จากที่คิดจะอุทิศชีวิตให้กับการร่ำสุราและร่ายรำ คงไม่แคล้วต้องติดแหง็กอยู่ในเรือนเป็นศรีภรรยาที่ดี “มะ...แม่ทูลหัวสั่งเองเลยหรือ” “วันนี้ข้าหงุดหงิดกลับไปฝึกซ้อมเถิด” เสียงหวานเอ่ยราบเรียบแต่ดูดุดันเป็นพิเศษ จึงทำให้แก้วเกล้าและเหล่านางรำไม่กล้าเอื้อนเอ่ยสิ่งใดให้ผิดหูผิดตา มิเช่นนั้นคงจะโดนช่อเอื้องแยกเขี้ยวใส่เป็นแน่ วันนี้นางสอนรำฉุยฉายซึ่งเป็นศิลปะขั้นสูงถือเป็นการอวดฝีมือในการร่ายรำของผู้แสดง เหล่านางรำจะต้องแสดงสีหน้าและอารมณ์ให้สอดคล้องกับท่วงทำนอง และพวกนางก็ทำได้ดีเยี่ยม จึงทำให้รอยยิ้มหวานกลับมาประดับฉาบดวงหน้างามเป็นหนแรกในรอบวัน “งดงามอ่อนช้อยยิ่งนัก วันงานคงไม่แคล้วโดนคชสารหนุ่มพรากนางรำของข้าไปเป็นแน่” ช่อเอื้องเอ่ยชมทำเหล่านางรำถึงกับเขินหน้าแดง เหล่านางรำสิบนางเริ่มสนิทกับช่อเอื้องจึงพูดคุยหยอกล้อเป็นกันเอง “ไม่มีผู้ใดร่ายรำได้งดงามเท่าพี่ช่อเอื้องดอก ตัวเต็งนางรำคงไม่แคล้วได้มาลัยหลายสิบพวง” อบเชยเอ่ยเย้าช่อเอื้อง “ข้าขอหลีกทางให้พวกเจ้าแทนก็แล้วกัน” “นั่นอีสร้อยโสนอีลูกหวายมันยกโขยงมากันทำไม” ซ้องมาศหนึ่งในนางรำชะเง้อมองบุคคลที่กล่าวถึง พวกนางสามสี่คนเดินตรงมาทางช่อเอื้องท่าทางเอาเรื่อง หลังข่าวการหมั้นหมายที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ของท่านคชคณถึงหูพวกนาง ช่อเอื้องจึงตกเป็นที่ระบายความแค้นของพวกนางไปโดยปริยาย “คนใดคืออีช่อเอื้อง...” สร้อยโสนเอ่ยถามเสียงจิก “ตบปากมัน” ทันทีที่ประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากสร้อยโสน ดวงตากลมดุตวัดหางตามองผู้มาเยือน จึงออกคำสั่งทันควัน ช่อเอื้องที่ดูจะเข้าใจสถานการณ์ดีจึงเพยิดหน้าสั่งให้เหล่านางรำล็อคนางกำนัลถือดีพวกนั้นไว้ ก่อนจะตบปากเจ้าของเสียงที่เอ่ยจิกเมื่อครู่ เพี้ยะ! “ปล่อยกูอีอบเชย อ๋อ...อีนี่ใช่มั้ยอีช่อเอื้อง!” สร้อยโสนแผดเสียงลั่นก่อนจะถูกตบจนหน้าหันอีกครา เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าเสียงสนั่นจนเหล่านางรำพลอยหวาดหวั่นไปตาม ๆ กัน “ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเป็นเพียงบ่าวไพรเรียกจิกนายอีอย่างนั้นหรือไม่มีผู้ใดสั่งสอนมารยาท วันนี้ข้าจักสั่งสอนเอง ตบไปอย่าหยุด...” ช่อเอื้องกระตุกยิ้มเย็นยะเยือก มองดูนางกำนัลผู้โง่เขลาโดนตบสั่งสอน คิดผิดแล้วที่บากหน้ามาหาเรื่องนางถึงที่ แค่ผู้ชายเพียงคนเดียวทำให้เป็นบ้าคลุ่มคลั่งถึงเพียงนี้ ช่างน่าขันนัก... เพี้ยะ! เพี้ยะ! เพี้ยะ! “อบเชยเจ็บมือแล้วก็ถอยมาซ้องมาศไปทำแทน” ช่อเอื้องสั่ง นางยืนมองนางกำนัลเหล่านั้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่งโดยมีลูกศิษย์นางรำคอยยืนกันท่ามองดูด้วยความขบขัน คิดจะมาหาเรื่องพี่ช่อเอื้องคงไม่รู้ละสิท่าว่าพี่ช่อเอื้องน่ะเป็นคนดุขนาดไหน คุมนางรำสิบคนให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและฝึกปรือท่าให้พวกนางจนแม่นภายในเวลาไม่ถึงสองอาทิตย์ก็คิดเอาก็แล้วกัน “พี่ช่อเอื้องพวกนางเลือดกลบปากหมดแล้ว ข้ากลัว...” แก้วเกล้ากระตุกแขนของผู้เป็นนาย “ไม่ต้องกลัวดอก พวกนางไม่เห็นกลัวที่จะมาหาเรื่องข้าเลย วันนี้ไม่สั่งสอนวันหน้าไม่ปีนเกลียวเล่นหัวข้าหรือ สั่งสอนก็ต้องเอาให้หลาบจำ” “จริงเจ้าค่ะพี่ช่อเอื้องคงคิดว่าพี่ช่อเอื้องไม่สู้คนกระมัง หึ...” อบเชยแค่นหัวเราะเยาะ สภาพนางกำนัลถือดีที่หมายมั่นจะมาหาเรื่องว่าที่ตุนาหงันของท่านคชคณ ตอนนี้แทบไม่เหลือเค้าเดิมบนใบหน้า ด้วยพวงแก้มทั้งสองและริมฝีปากบวมเป่งเลือดกลบปากจากการโดนตบเป็นการลงโทษที่พวกนางกระด้างกระเดื่องต่อช่อเอื้อง แม้นจะไม่มีตำแหน่งว่าที่ตุนาหงัน แต่นางก็ยังมีศักดิ์บุตรสาวบุญธรรมของแม่ทูลหัว นางกำนัลจึงมิอาจดูหมิ่นเรียกจิกนางได้เช่นนี้ “จำให้ขึ้นใจว่าผู้ใดบ่าวผู้ใดนาย...” น้ำเสียงเย็นยะเยือกของช่อเอื้องกล่าวเรียบนิ่ง ก่อนนางจะสั่งให้ปล่อยนางกำนัลเหล่านั้นให้เป็นอิสระ “......” “ข้าพูดก็ควรตอบ...” “เจ้าค่ะ” ลูกหวายเนื้อตัวสั่นระริกตอบรับ “ว่าอย่างไรสร้อยโสน?” “......” “ตบนาง” ช่อเอื้องเหลียวหลังเรียกอบเชยมาประจำการ ทำเอาสร้อยโสนที่เคยอวดเก่งถึงกับรีบตกปากรับคำอย่างหวาดกลัว “จะ...เจ้าค่ะ” นับแต่นั้นมาชื่อเสียงเลื่องลือในความดุเยี่ยงเสือของช่อเอื้องเป็นอันแพร่สะบัดในหมู่นางกำนัล ทำให้มิมีผู้ใดกล้าดูหมิ่นนางซ้ำสอง แม่ทูลหัวและท่านคชคณทราบข่าวถึงกับหัวร่อน้ำตาแทบเล็ด มีอย่างที่ไหนใจกล้าไปหาเรื่องนางแต่กลับถูกนางสั่งสอนชุดใหญ่กลับมา คชคณอดเอ็นดูนางไม่ได้ในใจนางคงเคืองขุ่นที่เขาเป็นต้นเหตุให้นางเดือดร้อนอีกแล้ว ในที่สุดวันเวลาที่เหล่าคชสารรอคอยก็หวนมาบรรจบ วันแห่งการครองคู่ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา เหล่าทวยเทพลงมารออวยชัยคชสารสิบตระกูลกันอย่างล้นหลาม ซึ่งคนสำคัญในพิธีปีนี้พิเศษกว่าทุกปีเพราะท่านเอราวัณเสด็จลงจากสรวงสวรรค์มาเปิดพิธีด้วยตนเอง พิธีคล้องมาลัยจัดบริเวณกลางป่าตปันทละ จุดศูนย์กลางดินแดนคชสารแก้ว บรรยากาศครึกครื้นหมู่เหล่าคชสารและไอยราควักไขว่ “ท่านพี่นี่ช่อเอื้องลูกสาวบุญธรรมของน้องเองเจ้าค่ะ จุติจากดองเอื้องไอยเรศเลยหนา บริสุทธิ์งดงามไหมเจ้าคะ ร่ายรำก็เก่งกาจอ่อนช้อยนัก” แม่ทูลหัวดูจะภูมิใจในตัวช่อเอื้องไม่น้อยรีบแนะนำให้สามีรู้จัก “ข้าไหว้เจ้าค่ะท่านเอราวัณ...” ช่อเอื้องพนมมือไหว้ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ผมยาวประบ่าใบหน้าหล่อเหลากรามชัดไม่แพ้ท่านคชคณ ทว่าผิวกายเผือกผ่องเปล่งประกายรัศมีบารมีเจิดจรัสกว่าคชสารตนใด “จักให้ข้าเรียกลูกสาวหรือลูกสะใภ้ดีล่ะ ดูเจ้าคชคณหวงเจ้าไม่เบาแค่มาแนะนำกับข้าถึงกับจ้องไม่วางตา” ช่อเอื้องเหลียวหันหลังกลับไปมองจึงเห็นชายหนุ่มผิวสีเข้มยืนจ้องไม่วางตาดั่งท่านเอราวัณว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนางและเขาเรียกว่าพัฒนาขึ้นไม่น้อย นับว่าเขามีความสามารถไม่เบา คอยหามุขหยอดมุขตลกมาเล่นกับนางได้ทุกวี่ทุกวัน มิหนำซ้ำยังใจกล้าย้ายตนมาอยู่อาศัยร่วมหลังคากับนางเป็นกิจลักษณะ คราแรกก็โดนนางไล่ตะเพิดให้กลับไป แต่มีหรือคนหน้าหนาเยี่ยงเขาจะรับฟัง เขาทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้ร่วมรักกับนางทุกค่ำคืน น้ำจัณฑ์ที่นางชอบเขาก็ตระเวนหาจากทั่วทิศทั่วแดนมาประเคนมอบความสุขให้นาง มัจฉาหลากสีที่นางชื่นชอบเป็นอันต้องโดนเจ้าของกายานิลไปตักตวงขึ้นมาจากแม่น้ำนำมาใส่บ่อดินหน้าเรือนให้นางเชยชม ความเอาใจใส่และหน้าด้านหน้าทนของเขาจึงทำให้นางค่อย ๆ เปิดใจรับเขาเข้ามาทีละนิด “สมควรหวงมั้ยล่ะเจ้าค่ะท่านพี่” นางไอยรากมลาลอบยิ้ม นางแอบลุ้นความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวคู่นี้อยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ แอบดีใจที่คชคณทำคะแนนสูงลิ่วจนช่อเอื้องยอมผ่อนปรนความตึงเครียดลงบ้าง “สมควร” ท่านเอราวัณผู้ทรงสิทธิ์พยักหน้าเห็นด้วยกับภรรยา “เดินไปหาพี่เถิดช่อเอื้องชะเง้อรอจนคอแทบหักแล้ว” แม่ทูลหัวเอ่ยแกมกลั้นขำ “เจ้าค่ะ...” ช่อเอื้องสวมชุดนางรำท่อนบนคาดอกอวดหน้าท้องแบนราบขาวเนียนส่วนเว้าส่วนโค้งอรชร ท่อนล่างสวมผ้าแพรไหมยาวปักเย็บอย่างประณีตสีขาวยวง เครื่องประดับประดาสีทองเหลืองตัดผิวขาวผุดผ่อง อีกทั้งยังมีเครื่องประดับจอนหูเอื้องไอยเรศที่ติดตัวมายามจุติ พญาคชสารมองตามแววตาขุ่น เขาไม่ค่อยชอบใจอาภรณ์อวดส่วนเว้าส่วนโค้งของนางในวันนี้ ทว่าภายหลังรู้ว่าเป็นฝีมือการตัดเย็บของช่อเอื้องอย่างประณีต จึงจำใจข่มความขุ่นเคืองทดแทนด้วยคำประจบเอาใจ สองแขนแกร่งรวบหญิงสาวมากกกอดให้หนำใจ “งามกว่าทุกวันหนา ชักไม่อยากให้เจ้าไปร่ายรำอวดโฉมให้ชายใดแล” คชคณประทับจูบลงบนหน้าผากมน กลิ่นน้ำอบบุปผาหอมอบอวลจากกายนาง “ข้าเป็นนางรำหากไม่ร่ายรำแล้วจะให้ทำกระไรล่ะเจ้าคะ” ช่อเอื้องเลิกคิ้วถามหยั่งเจ้าของกายาสีนิล “เป็นเมียข้าก็เพียงพอแล้ว” “พูดคำว่าเมียออกมาไม่กระดากปากเลยนะเจ้าคะ” นางกรอกดวงตาไปมา “แล้วทุกค่ำคืนที่ข้าสอดใส่เข้าไปในกายเจ้าไม่ให้เรียกเมียจะให้เรียกแม่หรือช่อเอื้อง...” “หน้าไม่อาย” นางเฉไฉแสร้งมองไปทางอื่นแก้อาย สิ่งที่เขาพูดมาก็จริงอยู่ดอก เขาต้องการนางและนางก็ต้องการเขาเช่นกัน เรียกได้ว่าโหยหาซึ่งกันและกัน “พี่ช่อเอื้องต้องไปรำเปิดพิธีแล้ว ท่านคชคณข้าขอยืมตัวพี่ช่อเอื้องก่อนนะเจ้าคะ ไว้เกี้ยวกันคราวหลังก็ยังไม่สาย...” อบเชยรีบคว้าหมับเข้าที่แขนของช่อเอื้อง ก่อนจะกึ่งลากกึ่งจูงนางเพื่อไปเตรียมความพร้อมสำหรับการแสดง พิธีคล้องพวงมาลัยเลือกคู่มีกฎเกณฑ์คือคชสารวัยเจริญพันธุ์ทุกตนจักต้องใช้ร่างคชสารในการเข้าร่วมพิธี เมื่อเริ่มพิธีแล้วพึงใจนางใดให้นำพวงมาลัยคล้องแขนนางผู้นั้นแล้วยกนางผู้นั้นขึ้นลำคอ เป็นอันเสร็จสิ้นการเลือกคู่ ท่วงทำนองเพลงดนตรีเริ่มบรรเลงเพลงขับขาน นางร่ายรำสิบเอ็ดนางค่อย ๆ ย่างกรายออกมาอวดโฉมความงามตระการตาแก่ผู้รับชม ช่อเอื้องนางรำตัวหลักกรุยกรายวาดลวดไม้ลีลาร่ายรำอันอ่อนช้อยเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้พบเห็น ยามฝ่ามือเรียวโปรยกลีบบุปผาทั้งนุ่มนวลแลเย้ายวนชวนให้เหล่าคชสารสิบตระกูลต่างใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ รอยยิ้มหวานฉาบประดับบนดวงหน้างามสะคราญ ดวงตากลมโตไล่มองเรียวแขนของตนที่วาดท่วงท่าลีลาอย่างชำนาญ ยามอกเอวสะโพกโอนเอนเคลื่อนไหวทำใครบางคนแทบหยุดหายใจ ไม่นานก่อนการร่ายรำจะจบลงคชสารจากตระกูลอุโบสถหัตถีกูล หนึ่งในสามตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุดในหมู่สิบตระกูลคชสาร เจ้าของเรือนกายสีดั่งทองคำใช้ช่องวงยาวโยนพวงมาลัยคล้องเรียวแขนนาง เรียกเสียงฮือฮาให้แก่ผู้ชมที่กำลังรับชมการแสดง “ท่านอหัสกรพึงใจนาง!” “ท่านอหัสกรจากตระกูลอุโบสถหัตถีกูลคล้องนางก่อนผู้ใดตั้งแต่ยังไม่เริ่มพิธี คงพึงใจนางไม่น้อย...” เสียงซุบซิบนินทาเริ่มดังแซ่ ทำให้ท่านเอราวัณจำต้องยกมือปราม “อหัสกรเอ๋ยมาเก็บพวงมาลัยของเจ้าไปก่อน” “ขออภัยขอรับ...” คชสารกายามหึมาสีทองเดินแหวกเหล่าคชสารมุ่งตรงมายังนาง นัยเนตรสีทองสุกสกาวกระตุกวูบยามใดเห็นดวงหน้าของนางอย่างใกล้ชิด “ข้าขออภัยแม่นาง...” ช่องวงยาวสีทองประกายคว้าพวงมาลัยกลับไปดังเดิม ทุกอิริยาบถของเขาทั้งคู่ล้วนอยู่ในสายตาคมกริบคชสารร่างมหึมาสามเศียรสีนิล เขาจำต้องสงบนิ่งเมื่อเห็นสายตาปรามของมารดาที่ส่งมาเป็นระยะ “เจ้าค่ะ” “เจ้าชื่อกระไร...” “......” นางไม่ทันเอ่ย ท่านเอราวัณที่เห็นท่าไม่ดีจึงขัดเสียก่อน “กลับไปประจำที่ก่อนเถิดเราจะเปิดพิธีเดี๋ยวเสียฤกษ์เสียยาม” “ขอรับ” อหัสกรจากไปอย่างว่าง่าย แต่ไม่ยอมละสายตาจากนาง เหล่าคชสารจากตระกูลอื่นเมื่อรู้ว่านางเป็นที่พึงใจแก่ท่านอหัสกรจึงไม่มีผู้ใดกล้าหมายเอื้อมนางอีก ต่างเบนมองหานางไอยราที่เหมาะสมในการเลือกคู่ครองวันนี้ทว่ามีนางไอยราเผือกผ่องอยู่นางหนึ่งต่างเป็นที่หมายปองแก่เหล่าคชสาร นางพิณพิมาจากตระกูลฉัททันต์ ผิวกายละเอียดเผือกผ่องดุจสีเงินยวง ใบหน้าสวยหมดจดของนางจับจ้องไปยังคชสารมหึมาสามเศียรสีนิลเพียงผู้เดียว ด้วยหวังว่าเขาจะยอมใจอ่อนมอบมาลัยให้แก่นางในวันนี้ เมื่อท่านเอราวัณเปิดพิธีเหล่าคชสารต่างวิ่งกรูหานางไอยราที่ตนหมายปองกันจ้าละหวั่น ทำให้ช่อเอื้องที่อยู่กลางวงล้อมไม่สามารถฝ่าออกไปได้ ในจังหวะที่กำลังหาทางหนีทีไล่นั้นเอง คชสารสีทองขนาดมหึมายืนกั้นนางจากเหล่าคชสารที่วิ่งชนกันวุ่นวายจนฝุ่นตลบอบอวล คชสารตนนี้ยืนแกร่งดั่งหินผาราวกับกำแพงปราการป้องกันนาง “เจ้าชื่อกระไร...” คชสารสีทองเอ่ยถาม พลางมองนางใต้ปราการการคุ้มกันของเขา งวงสีทองแกร่งโอบล้อมรอบนาง ดวงตากลมโตของนางไร้ท่าทีขลาดกลัวเพียงฉายแววงุนงง กลิ่นน้ำอบบนเรือนร่างนางลอยโชยแตะจมูก “ขอบใจข้าชื่อช่อเอื้อง” “ดวงจิตเอื้องไอยเรศที่เขาเล่าลือกันหรือ” “อืม” ช่องวงสีทองแกร่งโอบรัดรอบเอวนางจนตัวลอยขึ้นจากพื้น ช่อเอื้องเกร็งทั้งตัว อหัสกรตวัดโอบร่างนางหมายจะให้นางนั่งบนลำคอตน จู่ ๆ งวงแกร่งสีนิลเข้ามายื้อฉุดกระชากนางพร้อมเสียงคำรามสั่นสะเทือนดังกึกก้องพสุธา “ปล่อยนาง!” “คชคณนั้นท่านหรือ...” ช่อเอื้องที่อยู่ระหว่างกึ่งกลางพญาคชสารสองตนที่กำลังตั้งท่าจะสู้กันอย่างดุเดือดเอ่ย ดวงตากลมโตเล็งเห็นเศียรอันมหึมาสามเศียรสีนิลเสมอตัว แม้กระทั่งงาเคลือของเขาไม่มีสัดส่วนใดเป็นสีอื่นเลย “ข้าเอง” เสียงทุ้มคุ้นหูขานตอบหญิงสาว “ช่อเอื้องเราจักปล่อยเจ้าลงก่อนหนา...” คชคณได้ยินดังนั้นจึงถอยกรู่ให้พื้นที่นางเล็กน้อย เกรงนางจะได้รับอันตรายจากงาเคลือของตน เมื่อคชสารสีทองวางนางลงใต้ต้นมะเดื่อ นัยเนตรสีทองที่เคยอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว พญาคชสารสองตนพุ่งชนกันเต็มแรง งาเคลือยาวใหญ่สีนิลงัดสู้งาเคลือทองประกายอย่างไม่มีใครยอมใคร ศึกสองพญาเป็นที่สนอกสนใจแก่เหล่าคชสารนัก นานทีพญาคชสารสองตนจะสู้ศึกแย่งนางมาครอบครอง เสียงคำรามของพญาคชสารคำรามสะท้านสะเทือน แม้แต่เหล่าทวยเทพยังจับตามองการต่อสู้ในครั้งนี้ มหาพละกำลังชนกันย่อมต้องสร้างความเสียหายไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง ช่อเอื้องที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบสั่งเหล่านางรำไปตักน้ำมาหลายถัง เมื่อน้ำที่สั่งมาถึงนางจึงสาดน้ำใส่พญาคชสารสองตนที่กำลังกัดกันเหมือนหมา ซ่าาาา!!! “หยุดทั้งคู่!” พญาคชสารสองตนที่กำลังเดือดดาลได้ที่เมื่อถูกน้ำเย็นเยียบฟาดกระเซ็นจึงหยุดชะงักด้วยความงวยงง งวงแกร่งสีนิลฉวยโอกาสนี้คว้าร่างนางเข้าหาตัว ก่อนจะยกนางขึ้นบนลำคอแกร่งของตน ช่อเอื้องรีบเกาะเนื้อหยาบสีนิลแน่นเพราะกลัวจะพลัดตกลงไป ท่ามกลางนัยเนตรเหลือบทองที่มองมาแข็งกร้าว ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บเลือดซิบกันทั้งคู่ หากฝืนสู้ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคงเกิดการสูญเสีย งาเคลือของพญาคชสารทั้งสองต่างได้ลิ้มรสชาติเลือดของกันและกันจึงไม่ถือว่ามีฝ่ายใดแพ้ชนะ “นับว่าเจ้ามีตาแต่หามีแววไม่ นางคือคู่ตุนาหงันของข้า เจ้าเลือกผิดคนแล้ว” คชคณประกาศกร้าวต่อหน้าธารกำนัล เขาเลือกที่จะพานางเดินออกไปจากสถานที่วุ่นวายแห่งนี้ ก่อนที่จะมีพญาคชสารตนใดมาคล้องมาลัยนางอีกหน เดินห่างออกมาได้สักระยะพวงมาลัยเอื้องไอยเรศสีม่วงอ่อนสภาพบิดเบี้ยวที่เขาตั้งใจทำมันให้นางจึงถูกงวงนิลวางพวงมาลัยบนฝ่ามือนุ่ม ช่อเอื้องมองพวงมาลัยสภาพบิดเบี้ยวนี้พลางหัวเราะร่าออกมาจนน้ำตาเล็ด “เจ้าหัวเราะทำกระไรข้าตั้งใจทำให้เจ้าโดยเฉพาะเลยหนาช่อเอื้อง” “ขอบใจท่าน แผลลึกไหมเลือดไหลขนาดนั้น” ช่อเอื้องลอบยิ้ม ชายผู้นี้อ่อนโยนไม่เบา “ไม่รู้เหมือนกันรู้เพียงข้าเจ็บมาก หากเจ้าอยู่ต่อข้าไม่ต้องสู้กับเหล่าคชสารสิบตระกูลเลยหรือ เจ้าพวกนี้ริอาจอยากได้เมียข้าใช้ได้ที่ไหน” คชสารมหึมาสีนิลครางหงิง ๆ เหมือนลูกหมาออดอ้อนหญิงสาว “ยามงัดงาเคลือสู้ไม่เห็นร้องโอดครวญบ้างล่ะเจ้าคะ” “เสียเชิงชายน่ะสิโอดครวญกับเมียดีกว่าเยอะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD