บท 1

2528 Words
1  [ดวงตาสีแดงสดงั้นเหรอ? นายแน่ใจใช่ไหมว่านั่นเป็นดวงตาของหมาป่าน่ะ] “แน่ใจสิ ถ้าไม่ใช่ดวงตาของหมาป่าแล้วมันจะเป็นดวงตาของอะไรกัน?” หลังเดินทางกลับมาถึงบ้านและรอดจากการถูกหมาป่าทำร้ายได้อย่างหวุดหวิด เปอร์ก็รีบโทรหาเพื่อนสนิทที่มีอยู่ในเมืองนี้เพียงคนเดียวด้วยอาการใจระส่ำทันที เมื่อเขาไม่คิดว่าช่วงเวลาหลังเลิกงานในวันนี้เขาจะได้เจอกับหมาป่าตัวเป็น ๆ [ไม่รู้สิ แต่ฝั่งเราไม่มีหมาป่าอาศัยอยู่สักตัวเลยนะ และต่อให้มีก็ไม่ใช่ดวงตาสีแดงแบบที่นายว่าแน่ ๆ ] “ถ้าไม่ใช่หมาป่าแล้วมันจะเป็นตัวอะไรล่ะ? เพราะตัวมันใหญ่มากเลยนะ” เปอร์ถามคนปลายสาย ขณะเดียวกันเขาก็พยายามคาดเดาไปด้วยว่าสิ่งที่เขาเจอมาช่วงเย็นมันเป็นตัวอะไรกันแน่ [ไม่รู้สิ อาจจะเป็นมนุษย์หมาป่าแหละมั้ง] เจเน็ตเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดตลก “บ้าเหรอเจเน็ต ของแบบนั้นมีแค่ในตำนานเท่านั้นแหละ” เปอร์สวนกลับทันที ซึ่งตัวเขาเองก็เคยได้ยินเรื่องมนุษย์หมาป่ามาอยู่บ้าง มันเป็นตำนานดังที่ตีคู่มากับเรื่องราวของแวมไพร์ แต่เปอร์คิดว่านั่นเป็นแค่ตำนานเท่านั้น มันไม่มีอยู่จริงในชีวิต [พูดแบบนี้ แสดงว่าก่อนที่นายจะย้ายมาที่นี่ นายไม่ได้ทำการบ้านมาสินะ] เจเน็ตว่า ทำเอาคนที่กำลังนั่งหน้าโน้ตบุ๊กพร้อมคุยโทรศัพท์ไปด้วยต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะถามกลับไป “การบ้านอะไรเหรอ ในเมืองนี้มันมีอะไร” เปอร์ถามเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ เพราะก่อนที่เขาจะย้ายมาอยู่กับแม่ที่นี่ เปอร์ศึกษาแค่เรื่องสภาพอากาศ ความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองนี้เท่านั้น โดยเขาก็ไม่มีความคิดที่จะเปิดอ่านตำนานความเชื่อหรือเรื่องลี้ลับในเมืองนี้ด้วยซ้ำ เนื่องจากเปอร์คิดว่าการที่เขาไม่รู้อะไรเลยตั้งแต่แรก มันน่าจะทำให้เขารู้สึกสะดวกใจในการอยู่ที่นี่ [ก็ตำนานมนุษย์หมาป่าน่ะสิ นี่นายรู้หรือเปล่าว่าทางตอนเหนือของเมืองเรา มีมนุษย์หมาป่าอาศัยอยู่ด้วยนะ] เจเน็ตบอกกลับมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ขณะที่เปอร์ก็ยังคงทำหน้างงเช่นเดิม เนื่องจากเขาไม่แน่ใจนักว่าเธอพูดเรื่องจริงหรืออำกันเล่น เพียงเพราะเขาไม่ใช่คนในเมืองนี้กันแน่ “เรื่องจริงเหรอ” เขาถามคนปลายสายกลับไปอย่างซื่อ ๆ [ก็เรื่องจริงน่ะสิ ฉันจะโกหกไปทำไม] เจเน็ตยืนยันกลับมาและเริ่มเล่าเรื่องราวที่ว่าให้เปอร์ฟัง [ทางตอนเหนือของเมืองมีพวกมนุษย์หมาป่าอาศัยอยู่จริง ๆ แต่พวกมันเป็นสัตว์รักสงบ ไม่ชอบมาสุงสิงกับมนุษย์หรอก] “ไม่เอาแบบนี้สิ ฉันไม่อยากได้ตำนาน แต่อยากได้หลักฐานต่างหาก” เปอร์ท้วงกลับไปโดยพลัน และถ้าเจเน็ตไม่มีหลักฐานอะไรมากางให้เขาดู นอกเสียจากตำนานที่เล่าขานกันมารุ่นสู่รุ่น เปอร์ก็ไม่อยากจะให้ค่าอะไรมากนัก เนื่องจากทุกที่บนโลกนี้ มันก็มีตำนานกันทั้งนั้น [นายก็ลองเข้าไปในเว็บwerewolf.snสิ ในนั้นจะมีบทความเกี่ยวกับพวกมนุษย์หมาป่าในเมืองนี้] ทันทีที่เจเน็ตชี้พิกัดให้เปอร์ฟัง เขาที่กำลังนั่งอยู่หน้าโน้ตบุ๊กพอดีก็รีบกดหาเว็บนั้นตามคำพูดของเพื่อนสนิทอย่างไม่รีรอ ซึ่งทันทีที่หน้าเว็บปรากฎขึ้น เปอร์ก็นิ่งไปเล็กน้อย เนื่องจากเขาไม่คิดว่าตำนานมนุษย์หมาป่าที่มีอยู่ในเมืองนี้ มันจะจริงจังมากจนถึงขั้นก่อตั้งเว็บขึ้นมา “มันมีจริง ๆ เหรอ” เปอร์ยังคงถามย้ำคำเดิม ระหว่างที่เขากำลังใช้เมาส์เลื่อนดูที่หน้าเว็บพอคร่าว ๆ โดยเว็บที่เจเน็ตให้เขาเปิดดูนั้น มันก็จะเป็นเว็บที่ให้ผู้คนในเมืองนี้รวมไปถึงทุกคนทั่วมุมโลกที่สนใจเรื่องตำนานมนุษย์หมาป่าเข้ามาดู ซึ่งก็จะมีบทความที่กล่าวถึงการมีอยู่ของมนุษย์หมาป่า รวมไปถึงหลักฐานชิ้นต่าง ๆ ที่บ่งบอกว่ามนุษย์หมาป่าไม่ได้เป็นแค่ตำนานเล่าขาน แต่มันมีอยู่จริงต่างหาก [เฮ้อ จนถึงขนาดนี้แล้วนายยังไม่เชื่ออีกหรือไง] เจเน็ตไม่พูดเปล่า แต่เธอยังมีการถอนหายใจใส่เปอร์ด้วย คล้ายกับอีกฝ่ายเหนื่อยหน่ายในความเชื่อคนยากของเขา “ก็เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อไง” [อืม ฉันก็พอจะเข้าใจได้นะ ว่าแต่ตอนนี้นายกำลังอยู่ที่หน้าเว็บใช่หรือเปล่า?] เธอถามกลับมา “ใช่ ฉันกำลังอยู่ที่หน้าเว็บ” [พอดีเลย งั้นนายก็ลองเปิดหารูปดูสิ ถ้าฉันจำไม่ผิดจะมีคนคอยอัปโหลดรูปหมาป่าที่น่าจะไม่ใช่แค่หมาป่าธรรมดา ๆ ไว้ในเว็บอยู่นะ] เมื่อเพื่อนสนิทของเขาแนะนำเช่นนั้น เปอร์ก็รีบเลื่อนหาปุ่มแกลอรี่เพื่อหารูปหมาป่าที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาพบเจอมาทันที [เป็นยังไง เจอหรือเปล่า?] “ไม่เจอนะ” เปอร์ตอบเพื่อน ขณะที่มือข้างหนึ่งของเขาก็เลื่อนดูรูปภาพหมาป่าไม่หยุด ซึ่งภาพหมาป่าส่วนใหญ่ที่ถูกอัปโหลดลงในเว็บไซต์นี้ เท่าที่เปอร์เห็นและรู้สึกว่าแต่ละตัวมีบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือขนาดตัวที่ใหญ่ยักษ์เกินกว่าที่จะเป็นหมาป่าธรรมชาติ รวมไปถึงลักษณะสีขนและสีตาประหลาด ๆ ที่น่าจะถูกปรุงแต่งขึ้นมาโดยฝีมือมนุษย์ เปอร์คิดอย่างนั้น จนกระทั่ง... “ด—เดี๋ยวนะ” [อะไร! นายเจอแล้วเหรอ] เจเน็ตรีบถามกันเสียงตกใจ เมื่อเธอได้ยินเสียงพูดของเขา “บ้าน่า...” เปอร์ว่าเสียงแผ่ว เวลาเดียวกันสายตาของเขาก็จ้องมองภาพตรงหน้าตาไม่กะพริบ เมื่อดวงตาของหมาป่าที่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์นี้มีลักษณะแบบเดียวกันกับที่เปอร์เพิ่งเจอมาในช่วงเย็น ราวกับว่ามันเป็นตัวเดียวกัน “เธอช่วยเล่าตำนานมนุษย์หมาป่าให้ฟังหน่อยสิ มันกินมนุษย์หรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามคนปลายสายเสียงแหบแห้ง หลังจู่ ๆ เปอร์ก็เกิดอาการลำคอแห้งผากขึ้นมาเสียอย่างนั้น [เท่าที่ฉันรู้มานะ มนุษย์หมาป่าไม่กินเนื้อมนุษย์หรอก ถ้ามันอยู่ในร่างมนุษย์มันก็กินอาหารคนทั่วไปนี่แหละ และถ้ามันอยู่ในร่างหมาป่ามันก็จะกินแค่สัตว์ที่มีขนาดตัวเล็กกว่ามันเท่านั้น] “แต่ถ้ารูปหมาป่าในเว็บนี้เป็นของจริง งั้นก็แสดงว่ามนุษย์มีขนาดตัวที่เล็กกว่ามันนะ” เปอร์บอกคนปลายสายกลับไป เมื่อเขาคิดว่าถ้าหากหมาป่าตัวที่เขาเพิ่งเจอมาตอนช่วงเย็นเป็นมนุษย์หมาป่าจริง ๆ บางทีหมาป่าตัวนั้นที่ย่องเดินตามเขามา มันอาจจะหิวโซและต้องการกินเปอร์เป็นอาหารก็ได้ [อ—เอ่อ อันนี้ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจแฮะ] เจเน็ตตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยแน่ใจนัก ขณะที่เขาเองก็ทำได้เพียงแค่กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอเท่านั้น ก่อนที่ต่อมาเปอร์จะสะดุ้งโหยง เมื่อจู่ ๆ เสียงเคาะประตูห้องเขาก็ดังขึ้นอย่างได้จังหวะ ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! “เปอร์ได้เวลากินข้าวแล้วลูก” เป็นแม่เขาที่ยืนอยู่หน้าห้อง โดยนั่นก็ทำให้เปอร์พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลังตอนแรกเขาใจร่วงไปถึงตาตุ่ม “ครับ เดี๋ยวผมลงไป” เปอร์ตะโกนตอบกลับไปเป็นภาษาไทย ซึ่งหลังจากที่ฝีเท้าแม่เดินห่างออกไปแล้ว เปอร์ถึงค่อยพูดกับคนปลายสายต่อเพื่อจบบทสนทนาไว้แค่เท่านี้ “แค่นี้ก่อนนะ พอดีแม่ฉันเรียกให้ไปกินข้าวน่ะ” เขาบอกเจเน็ต [อือ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันก็ได้] เจเน็ตตอบกลับมาอย่างเข้าใจ และหลังจากที่เขาวางสายจากเพื่อนสนิทไปแล้ว เปอร์ก็โยนโทรศัพท์ไว้ที่เตียงนอนขนาด3.5ฟุตของเขาอย่างไม่ใยดี เขาลุกขึ้นยืนเต็มสูงพร้อมบิดขี้เกียจไปมาตามประสาคนเหนื่อยล้าจากการทำงาน ก่อนที่เวลาต่อมาเปอร์จะต้องสะดุ้งตัวอีกครั้ง เมื่อเขาได้ยินเสียงหมาหอน โดยเสียงหมาหอนที่ว่านั้นมันก็ดังมาก จนทำให้เปอร์อดคิดไม่ได้ว่ามันตั้งใจจะมาเห่าหอนอยู่ที่หน้าบ้านของเขาโดยเฉพาะ “หมาบ้าที่ไหนมาเห่ามาหอนแถวนี้” เปอร์พูดทั้งคิ้วขมวด หลังจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าจากยูนิฟอร์มที่ทำงานมาใส่เป็นเสื้อผ้าสบายตัวเรียบร้อยแล้ว เปอร์ก็เดินลงมาที่ชั้นล่างของบ้าน เพื่อร่วมกินข้าวเย็นกับแม่และพ่อเลี้ยงของเขา โดยในเมืองนี้แม่กับคุณโทมัสก็ทำอาชีพเป็นนายหน้าขายที่ดินและที่อยู่อาศัย ทั้งสองมักไม่ค่อยอยู่ติดบ้านนัก เนื่องจากต้องไปดูสถานที่ต่าง ๆ และเดินเรื่องเอกสารให้ลูกค้า “เมื่อกี้คุยโทรศัพท์กับใคร?” แม่ที่กำลังง่วนอยู่กับการยกอาหารออกจากเตาถามขึ้น หลังเปอร์เดินเข้าไปในห้องครัว เพื่อช่วยเธอตั้งโต๊ะอาหาร “ก็กับเจเน็ตไง เพื่อนของผมที่เคยเล่าให้ฟัง” “ลูกกับเจเน็ตคงไม่ได้...” “ไม่แม่ เราเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น” เปอร์รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที เมื่อเขารู้ว่าแม่ต้องการจะสื่ออะไร “ขอโทษที แม่เห็นเปอร์ชอบคุยโทรศัพท์กับเจเน็ตเป็นประจำ แม่ก็เลยคิดว่าเรา...” “ผมไม่ได้โกรธอะไรครับ และก็เข้าใจด้วยว่าทำไมแม่ถึงคิดในแง่นั้น” เปอร์ตอบกลับไปและว่าต่อ “ในเมืองนี้ผมมีเพื่อนสนิทอยู่คนเดียวเท่านั้น เพราะงั้นผมก็เลยใช้เวลาอยู่กับเธอมากเป็นพิเศษ” “ถ้าอย่างนั้นเรียนต่อมหาลัยดีไหม?” แม่เสนอความคิดกลับมา โดยคำพูดของเธอก็ทำให้เขานิ่งไปเล็กน้อย เนื่องจากเปอร์ไม่เคยมีความคิดว่าจะมาที่นี่เพื่อเรียนต่อด้วยซ้ำ “ผมยังไม่รู้เลยครับว่าผมชอบอะไร” เขาตอบแม่เสียงนิ่ง ซึ่งคำตอบของเปอร์ก็ทำให้แม่แสดงท่าทีผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน อันที่จริงเปอร์มีทักษะหลายอย่าง ทว่าทักษะที่ว่านั้นมันกลับไม่เด่นชัดเลยสักอย่าง เปอร์ไม่มีความชอบหรือความหลงใหลอะไรทั้งนั้น นั่นจึงทำให้เขาไม่รู้เลยว่าจริง ๆ แล้วเขาอยากประกอบอาชีพอะไรในอนาคตกันแน่ ทุกวันนี้เปอร์ก็ดีแต่ใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น “โอเค งั้นแม่ก็จะไม่กดดันเราแล้วกัน หาตัวเองให้เจอนะว่าชอบอะไรกันแน่” นานเกือบนาทีกว่าที่แม่จะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงคล้ายจะเข้าใจ ทว่าดวงตาของเธอกลับฟ้องเปอร์ว่าเธอไม่ได้เข้าใจอะไรเลย “ครับ ผมจะพยายาม” เปอร์พยักหน้ารับกลับไป จากนั้นเขาก็ถือจานใบใหญ่จำนวนสามใบออกไปจากห้องครัว เมื่อวันนี้แม่ของเขาทำพิซซ่าให้กินเป็นมื้อเย็น หลังนั่งทานอาหารมื้อเย็นกับแม่และคุณโทมัสเสร็จ เปอร์ก็เดินกลับขึ้นมาที่ห้องนอนของเขาอีกครั้ง เขาลืมไปเสียสนิทว่าจะคุยกับโทมัสเรื่องอะไร เนื่องจากแม่กำลังทำให้เปอร์เครียด ดวงตากลมโตที่ได้มาจากครอบครัวฝั่งแม่เต็ม ๆ เหม่อมองเพดานห้องอย่างใช้ความคิด เขาพยายามถามตัวเองเป็นหนที่ร้อยว่าตกลงแล้วเขาชื่นชอบอะไรกันแน่ ซึ่งคำตอบที่ได้รับกลับมาก็เป็นแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น “เฮ้อ...” คราวนี้เปอร์ถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง ก่อนที่สายตาของเขาจะเหลือบไปเห็นเครื่องมือสื่อสารของตัวเองที่ถูกวางทิ้งไว้บนเตียงตั้งแต่ก่อนลงไปกินข้าวแล้ว เมื่อคว้ามันมาได้ สิ่งแรกที่เปอร์ทำหลังจากนั้น นั่นก็คือการกดหาชื่อเว็บไซต์ที่เจเน็ตให้มาเมื่อตอนเย็นอีกครั้ง หลังก่อนหน้านี้เขายังสำรวจหน้าเว็บไซต์ได้ไม่หนำใจนัก เหมือนโลกที่เปอร์เคยอยู่มันกว้างขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย เพราะเขาเพิ่งรู้ว่าบนโลกนี้มีคนที่คลั่งไคล้มนุษย์หมาป่าแบบจริง ๆ จัง ๆ จนถึงขั้นก่อตั้งเว็บไซต์ขึ้นมาด้วย แถมพิกัดที่มนุษย์หมาป่าอาศัยอยู่ก็คือเมืองนี้อีกต่างหาก มันจะเหมาะเจาะอะไรขนาดนั้น “ตกลงมีจริง ๆ สินะ” เขาว่า ขณะที่ก้านนิ้วยาวก็คอยไถหน้าจอโทรศัพท์อย่างช้า ๆ พร้อมกับอ่านข้อความที่ปรากฏในเว็บไซต์ โดยในเว็บไซต์นอกจากจะเป็นแหล่งรวมรูปหมาป่าตัวยักษ์ที่น่าจะไม่ใช่หมาป่าธรรมดา ๆ แล้วก็ยังมีขายบทความที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์หมาป่ารวมไปถึงการรวบรวมคลิปเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่บ่งชี้ว่ามนุษย์หมาป่าอาจมีจริงอีกต่างหาก ซึ่งสิ่งที่สะดุดตาเปอร์ มันก็ไม่ใช่รูปภาพหมาป่าตัวมหึมาแต่อย่างใด ทว่ามันกลับเป็นข้อความสั้น ๆ จากทางเว็บไซต์ที่บอกว่ารับซื้อบทความที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์หมาป่าต่างหาก “โห...” เพราะเห็นค่าตอบแทนขั้นต่ำที่สูงลิ่ว นั่นจึงทำให้เปอร์เผลออุทานออกมาอย่างลืมตัว หลังรายได้ขั้นต่ำมีมูลค่าสูงชนิดที่ว่านั่นเป็นรายได้ของเปอร์ตลอดทั้งการทำงานของเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม แบบที่ไม่มีการหยุดสักวันที่ร้านอาหารของคุณนายสมิธ “หรือว่าเราจะไปเอาดีทางด้านนี้ดีวะ” เพราะเห็นช่องทางการทำเงินที่น่าสนใจ เปอร์จึงคิดแบบนั้น ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้คิดทุกอย่างให้เป็นเรื่องเป็นราว เปอร์ก็ต้องพับโครงการทำเงินนี้ไว้เสียก่อน เพราะถึงแม้เขาจะอยู่ในเมืองที่มีการอ้างว่ามีมนุษย์หมาป่าอาศัยอยู่ แต่ยังไงเขาก็อยู่คนละที่อยู่ดี เพราะพวกมนุษย์หมาป่าอยู่ทางตอนเหนือของเมือง ส่วนเปอร์และครอบครัวอยู่ทางตอนใต้ของเมือง “น่าเสียดายจังแฮะ” เขาว่า จากนั้นเปอร์ก็โยนโทรศัพท์ทิ้งไว้ที่เตียงอีกครั้ง เมื่อถึงเวลาที่เขาจะต้องไปอาบน้ำแล้ว โดยเปอร์ก็พยายามอย่างยิ่งที่จะลืมภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นวันนี้ออกจากหัวไป เขาพยายามลบภาพดวงตาสีแดงสดนั้นออกจากความทรงจำ เนื่องจากเปอร์คิดว่าเขาไม่น่าจะได้เจอดวงตาคู่นั้นอีกแล้ว ถ้ามันไม่จ้องจะจับเขากินเป็นอาหารจริง ๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD