7
...
หนึ่งเดือนผ่านไป
นับตั้งแต่วันที่รู้จักคิว ชีวิตของฉันก็มีเรื่องให้ทำตลอด คิวชวนฉันไปขายของ เสาร์-อาทิตย์ไม่ได้ทำอะไรเราก็จะไปเป็นแม่ค้ากัน
พี่สาวคิวมีหน้าร้านที่ตลาดนัดจตุจักร เธอขายเสื้อผ้าเป็นผ้าฝ้ายลายมัดย้อม ผ้าพิมพ์ลายต่างๆ พร้อมกับมีร้านรองเท้าให้คิวไปดูแล ส่วนมากจะเป็นผ้าใบไซซ์ผู้ชาย คิวชอบงานนี้มากเป็นพิเศษเพราะมีอาหารตามาให้ชมไม่ขาดสาย
เช่นวันนี้
“ซื้อไม่ซื้อเข้ามาดูก่อนได้ครับ”
คิวเรียกลูกค้าที่เดินผ่านหน้าร้านไป น้องผู้ชายสามคนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พลางขำให้กับท่าทางของคิว
เขานั่งบนเก้าอี้สูง มีหมวกดอกไม้ประดับอยู่ ใส่เสื้อยืดสีเขียวนีออนทำหน้าที่ค่อยส่องผู้ชายหล่อ ส่วนคนขายจริงๆ คือฉันเอง
“เขากลัวกันหมดแล้วคิว”
ฉันเอ่ยแซว ก่อนจะหยิบรองเท้ามาเรียงแถวใหม่ให้ลูกค้าที่ผ่านไปมาได้เห็นชัดๆ
เมื่อกี้มีกลุ่มผู้ชายมากันสี่คน พากันซื้อไปคนละสองคู่ ตรงนี้ก็เลยดูโล่งๆ น่ะ
“กลัวไร คนออกจะสวยเด่น”
“มันเด่นไปไง แดดร้อนยังกล้าใส่สีนีออนสะท้อนแสงอีก”
ฉันถามครั้งแรกตั้งแต่เจอกันหน้าหอพักแล้ว คิวมารับตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า พามาหาข้าวกินทำอะไรให้เรียบร้อยค่อยพามาที่ร้าน ซึ่งคิวยังไม่ให้คำตอบดีๆ กับฉันเลย
“ก็อยากให้ผู้มอง”
“ไม่ใช่แค่ผู้จะมอง เขามองทั้งตลาดเลย”
ว่าแล้วฉันก็ขำ ถามว่าอายไหมที่มีคนมองเพื่อน ไม่อายนะ คิวไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา แค่แต่งตัวด้วยสีจัดจ้านไปหน่อยเท่านั้นเอง
“ก็นะ เกิดมามีกรรม มี 'ห..ม' แต่อยากมี 'ห..' ”
ฉันหลุดขำช่างคิดช่างหาคำมาพูด ถึงคิวจะพูดเหมือนน้อยใจในโชคชะตา แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าให้ลงทุนเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ คิวก็คงไม่ทำ
ถึงเขาจะเป็นผู้ชาย แต่คิวก็หน้าตาดี ผิวพรรณดี ดูแลรักษารูปร่างเป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องเป็นเพศเฉพาะ การดูแลตัวเองเป็นเรื่องที่คนเราควรจะทำให้เป็นนิสัย
“เปลี่ยนกันไหมคิว”
“ไม่เอาอะ ไม่อยากสวยไปกว่านี้แล้ว”
จ้า... ขอมองบนกับความหลงตัวเองนี้
มีลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย ซื้อบ้างไม่ซื้อบ้างแล้วแต่ความถูกจริต ไม่นานพี่คิตตี้พี่สาวของคิวก็มาเรียกให้ฉันไปดูร้านอีกฝั่ง พอดีแฟนพี่เขามารับไปกินข้าวเลยจะให้เราสองคนแยกกันเฝ้าร้านไปก่อน
ส่วนตัวฉันชอบขายรองเท้ามากกว่า เสื้อผ้าส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ ส่วนมากฝรั่ง ลาว จีน ซึ่งถ้าเป็นคนลาวหรือฝรั่งฉันพอสื่อสารได้ เขาก็พอเข้าใจและพูดภาษาเราได้ แต่ถ้าเป็นจีนเมื่อไหร่ อยากหายไปจากตรงนั้นทันที บางคนก็คำถามเยอะจนเราตอบไม่ทัน พอเราตอบไม่ได้ก็หันไปคุยกันแล้วเดินหนีไปเฉยเลยก็มี
“อันนี้พิมพ์ลายที่ไหนคะ”
มีลูกค้าผู้หญิงหน้าตาน่ารักเดินเข้ามาถาม พลางหยิบชายเสื้อขึ้นเพื่อสำรวจดูเนื้อผ้า
“พิมพ์ลายจากอินเดียค่ะ ส่งตรงมาจากที่นู่นเลย”
เพราะทำการบ้านกับพี่คิตตี้ไว้บ้างแล้ว เลยไม่ล่กเท่าไหร่เวลาลูกค้าถาม
“มีเป็นเดรสไหมคะ ลายนี้ค่ะ”
“เดรสน่าจะเข้าอาทิตย์หน้าค่ะลูกค้า ร้านเรามีให้เปิดจองในไอจีนะคะ ลูกค้าสามารถเข้าไปดู ลงชื่อจองแบบจองสีและไซซ์ได้เลยค่ะ ตัดยอดวันที่สิบนะคะหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้นมารับที่ร้านได้เลย หรือถ้าลูกค้าไม่สะดวกสามารถแจ้งที่อยู่กับแอดมินส่งฟรีถึงบ้านค่ะ”
ฉันอธิบายไปอย่างใจเย็น ลูกค้าเองก็รับฟังด้วยสีหน้ายิ้มๆ กดไอจีให้เรียบร้อย บอกวิธีสั่งจองต่างๆ ก่อนจะกลับลูกค้าก็อุดหนุนกระเป๋าสะพายหนึ่งใบไปอีก ช่างเป็นผู้หญิงที่น่ารักจริงๆ
“แบบนี้พี่ต้องจ้างถาวรแล้วมั้ง”
ฉันหันไปมองเจ้าของเสียง ก็เห็นว่าพี่คิตตี้ยืนอยู่กับแฟนเธอในมือถือน้ำคนละแก้ว
“จ้างได้ค่ะ มิลชอบ”
“เค้าว่าเค้าได้นางแบบแล้วล่ะตัว”
พี่อ้นพูดขึ้น พี่อ้นเป็นสาวหล่อขายของเหมือนกัน แต่ธุรกิจที่เธอทำคือแบรนด์กางเกงยีนส์ผู้หญิง
“เห้ย... หุ่นได้จริงๆ ด้วย แต่ต้องออกกำลังกายเอาพุงหมาน้อยออกอีกนิดนะ”
พี่คิตตี้ว่าตาม ซึ่งฉันยังงงอยู่บ้างแต่ก็พอเข้าใจในสิ่งที่พี่ๆ พูด
“จะจ้างมิลเหรอคะ”
ฉันได้ความแน่ใจ
“พี่ขอไปคุยกับทีมก่อนละกัน แต่มันต้องเป็นข่าวดีแน่นอน”
ยิ้มรับกับสิ่งที่จะเกิดไว้เลย ให้ออกกำลังกายก็ทำได้ขอแค่ได้ทำงาน
ฉันไม่ใช่คนอ้วนและก็ไม่ได้ผอมมาก หุ่นก็ไม่ได้ลีนเหมือนคนออกกำลังกายเป็นประจำ แฟทท้องมีนิดหน่อยตามประสาคนกินจุกจิก
ถ้าเกิดพี่อ้นจ้างฉันถ่ายงานจริงๆ คงต้องหาเลาไปเสียเหงื่อกันบ้างแล้ว
คราวนี้ถึงเวลาฉันกับคิวต้องออกไปกินข้าว เราเลือกร้านอาหารตามสั่งธรรมดา เพราะว่าคนไม่ค่อยเยอะแล้ว สั่งข้าวซื้อน้ำเรียบร้อยก็มานั่งรอ
“ไง... ได้ข่าวว่ามีผู้บ่าวมาขอข้าวกินทุกวัน”
นี่เป็นอีกเรื่องที่ยังไม่ได้บอกใคร แต่คิวก็รู้มาได้เพียงเพราะบางคนมันอาจจะเล่าให้คิวฟัง
“ล่าสุดซื้อกระทะให้แล้ว”
ฉันกลอกตานิดๆ ที่ต้องกลายเป็นแม่ครัวประจำตัวให้ไอ้หน้าแหลม
เรื่องของเรื่องคือเขาอาสาจะพาฉันไปเรียนด้วยทุกวัน จะได้ไม่เปลืองค่ารถเมล์ แต่สิ่งที่ต้องตอบแทนคือฉันต้องทำกับข้าวให้ศิวะกินทุกเย็น เมนูอะไรก็ได้เขากินได้หมด แล้วถ้าอยากอะไรเป็นพิเศษก็จะไลน์มาบอก เวลาออกข้างนอกเขาก็จะไลน์มาถามว่าขาดเหลืออะไรในตู้เย็นไหม เดี๋ยวซื้อเข้ามาให้ ฉันน่ะประหยัดค่ากับข้าวไปหนึ่งเปราะ แต่ก็ต้องเอาเงินส่วนนี้ไปโปะที่ค่าไฟฟ้าแทน
ส่วนคนเป็นพี่อะเหรอ เห็นดีเห็นงามมากกว่าสิ่งใด ชื่นชมศิวะยกใหญ่ หารู้ไม่ว่าฉันต้องทำกับข้าวไปเสริฟ์คุณชายเขาถึงหน้าห้องทุกวัน
“กระชับมิตรกันไปได้เยอะแล้วสิ”
คิวขำเล็กน้อย
“ติเก่ง เค็มบ้าง จืดบ้าง แต่เห็นพุงเริ่มกางออกนะ”
“เอาน่า ปกติมันไม่ค่อยได้กินข้าวเย็นแบบดีๆ เท่าไหร่หรอก โน่น... เลิกเรียนก็สิงอยู่ร้านเหล้าจนจะเป็นบ้านมันอีกหลังไปแล้ว”
เข้าใจเลยเพราะเห็นมากับตา ไม่ว่าจะเป็นพี่ไมล์ พี่มะลิ ปาร์ตี้กันแบบตลอดๆ จนบางครั้งฉันก็สงสัยว่าพี่ไมล์เอาเงินเยอะแยะมาจากไหน แม่ก็ไม่ได้ส่งให้เหมือนกับฉัน ตั้งแต่พี่ไมล์ทะเลาะกับแม่คราวนั้นเขาก็ไม่รับเงินจากแม่อีกเลย นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพี่ไมล์ถึงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่กลับบ้านเลย
“คิวพอรู้ไหม พี่ไมล์ทำงานอะไร”
เพราะพวกเขาอยู่กลุ่มเดียวกัน ก็น่าจะพอรู้บ้าง
“ไม่รู้ว่างานอะไรนะ แต่พี่ไมล์สนิทกับพ่อไอ้วะ”
ฉันไม่เคยสงสัยใคร่ถามสักครั้งว่าครอบครัวของใครเป็นยังไง แค่นึกว่าถึงเวลาเมื่อไหร่ก็คงจะเล่าให้ฟังเอง
ไม่ว่าจะเป็นอะไร อย่าทำงานผิดกฏหมายก็พอ
“งั้นบ้านศิวะก็รวยอะดิ”
ฉันถามเพราะอยากรู้จริงๆ พี่ก็มาเรียนทุกวันไม่ขาด จะเอาเวลาไปทำงานก็มีแค่เสาร์อาทิตย์ แต่พี่ไมล์อยู่แบบนี้มาสองสามปีแล้วโดยไม่เอาเงินแม่สักบาท ถ้าไม่เพราะบ้านศิวะรวยก็คงนึกไม่ออกว่างานที่พี่ไมล์ทำจะเป็นงานประเภทไหน
“ก็พอมีอยู่มีกินแหละ แต่เชื่อเถอะว่าไม่ใช่งานผิดกฏหมาย พี่ไมล์ไม่เอาอนาคตตัวเองไปทิ้งกับของพวกนั้นหรอก”
ขอให้เป็นอย่างนั้นแหละ ถึงจะสงสัยก็ไม่กล้าถามพี่ออกไปตรงๆ หรอก
ถ้าคิดอีกแง่ ก็คือพี่ไมล์เป็นแมงดาเกาะพี่มะลิกินแหงๆ
“พวกนั้นกินเหล้าอยู่ที่ห้องฉัน ไอ้พี่ไมล์มันให้มารับเธอ”
หน้าเดิมที่มารับ ไม่ได้สงสัยหรือเล่นตัว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นั่งซ้อนท้ายนายศิวะสักหน่อย
“นายกินข้าวยัง”
“ยัง เดี๋ยวแวะตลาดซื้อของไปทำสุกี้”
ฉันพยักหน้า หันไปร่ำลาพี่ๆ ก่อนจะรับค่าแรงมา
พากันไปแวะตลาดสด โดยมีศิวะเป็นคนจ่ายของทุกอย่าง อยากได้อะไรเขาก็หยิบโดยไม่ถามกันสักคำว่าทำเป็นไหม แต่ยังไงฉันคงไม่ไปร่วมกินด้วยหรอก อาจจะแวะไปหาพี่ไมล์บ้างแต่ก็จะไม่อยู่นาน
เหนื่อยมาก ง่วงด้วย อยากอยู่เฉยๆ นอนฟังเพลงนิ่งๆ คนเดียว
“อ๊า... แรงๆ เลย”
“ได้... เดี๋ยวจัดให้”
เพียะ!
เมื่อเดินมาใกล้ถึงห้องของเขา เสียงนี้ก็ดังเข้ามาในประสาทหู คงมีคู่รักสักคู่กำลังแสดงความรักให้แก่กันอย่างถึงใจ
แต่เอ๊ะ!!
มันไม่ได้ดังจากห้องที่เดินผ่านมาสักห้อง มันดังมาจากห้องที่กำลังจะไปมากกว่า
“ศิวะ... ”
ฉันเรียกเขาพลางกระตุกชายเสื้อเบาๆ
“อะไร”
เขายังตั้งหน้าเดินไป หมายจะให้ถึงห้องนั้นไวๆ ไม่สนใจเสียงที่โหยหวนชวนขนลุกนี่สักนิด
“อยู่นี่ก่อนได้ไหม”
ถัดไปหลายห้องยังดังขนาดนี้ ก้าวไปใกล้กว่านี้คงได้มีเอฟเฟคเป็นภาพในหัวแน่
“ทำไม”
เขายังคงทำตาใส รู้ทั้งรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร แต่ทำเหมือนไม่สนใจจะไปห้องตัวเองให้ได้เลย
“ให้พวกเขาหยุดก่อน”
ไม่รู้หรอกว่าในห้องนั้นเป็นใคร แต่ก็ไม่อยากเข้าไปเห็นภาพอะไรที่มันไม่ใช่เรื่องน่าดูสักเท่าไหร่
คราวนี้เขาหยุดเดิน หันมามองหน้าฉันพร้อมรอยยิ้มมุมปากอันคุ้นเคย
“พอเราเข้าไปมันก็หยุดเองแหละ”
ทำไมดื้อด้านนักนะ อยากเห็นนักหรือไง คนมีอะไรกันน่ะ
“ศิวะ... ”
คราวนี้ฉันเปลี่ยนมาดึงแขนเขาอย่างถือวิสาสะ
“แค่คนเอากัน เธอทำเหมือนไม่เคย....เห็นไปได้”
เขาเว้นวรรคคำพูด ฉันถลึงตาใส่เพราะรู้ว่าเขาสื่ออะไร จะเคยหรือไม่เคยแล้วยังไง ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปยืนดูคนอื่นเขาทำกันนิ