บทที่ 1 เหตุแห่งความวุ่นวาย
เบื้องหน้าคืออาคารสูงสามชั้นที่ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบวิกตอเรียให้ความรู้สึกสง่างาม สูงส่งและเรียบหรู เหมาะสำหรับนักศึกษาผู้มีอันจะกินในมหา’ลัยคิงเวลล์แห่งนี้ อีกทั้งตรงหน้าคืออาคารขนาดใหญ่ที่สุดเพื่อรองรับนักศึกษาจากหลากหลายคณะเพราะนี่คือ อาคารเรียนรวม ของมหา’ลัย
ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาคณะไหนก็สามารถพบเห็นได้ในบริเวณอาคารแห่งนี้ ทำให้ที่นี่มีผู้คนที่แต่งกายด้วยชุดประจำคณะต่าง ๆ เดินขวักไขว่กันอยู่ตลอดทั้งวัน และที่นิยมมากที่สุดคงจะเป็นโรงอาหารของอาคารเรียนรวมที่บรรดานักศึกษาต่างคณะมาเพื่อดูอาหารตา มากกว่าจะมากินข้าวซะอีก
“โอ๊ย! เหนื่อยชะมัดเลยทำไมอาจารย์ต้องให้พวกเราขนหนังสือเก่า ๆ พวกนี้มาที่นี่ด้วยเนี่ย แลปกับอาคารเรียนไกลกันขนาดนี้” ที่มุมตึกมีเสียงบ่นดังเป็นระยะจากชายหนุ่มร่างสูงในชุดนักศึกษาสะอาดหมดจด เมื่อมองผ่านกองหนังสือที่ตั้งสูงบนท่อนแขนขาวแล้วจะพบว่าชายหนุ่มคนนี้มีใบหน้าเนียนละเอียด คิ้วเข้ม ตาคมรับกับสันจมูกได้เป็นอย่างดีแม้จะมีแว่นสายตาสวมทับก็ไม่สามารถปิดบังออร่าที่มากกว่าคนปกติได้
“แกอย่าบ่นมากได้ไหมอีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว นะ ๆ เจแปน เดี๋ยววันหลังฉันจะเลี้ยงชาบูแกเอง!” ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาอย่างไอดอลเกาหลี แค่นเสียงในลำคอทันทีเมื่อคนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าหันมายิ้มตาหยี และยังเอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อยพยายามชักจูงเขาอีกต่างหาก
นังตัวดีย์!
เจแปนสบถอยู่ในใจก่อนจะเบะปากเป็นการตอบกลับ ทำเอาหญิงสาวที่ยกหนังสืออีกกองในอ้อมแขนหัวเราะเสียงใส เพราะคุ้นชินกับปฏิกิริยาท่าทางของเพื่อนสนิทเสียแล้ว
“แค่เลี้ยงมื้อเดียวจะไปพอค่าครีมกันแดดที่ไหนล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยกระแหนะกระแหนขึ้นมา พลางเร่งฝีเท้าเข้ามาใกล้เพื่อนสาว
“งั้นเลี้ยงชาบูเดือนละครั้งเป็นเวลาสามเดือน ถือว่าพอค่าครีมกันแดดแสนแพงระยับของแกไหม” หญิงสาวเอียงศีรษะอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยออกมา ทำให้เส้นผมสีน้ำตาลที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มขยับไปมา ชวนให้คนพบเห็นอยากจะยื่นมือออกไปเกลี่ยให้ยกเว้นแต่ เจแปน เท่านั้น
“หึ ก็ได้ เพราะกลัวอ้วนหรอกนะไม่เกี่ยวกับค่าครีมเท่าไร ถึงแกเลี้ยงทั้งปีก็ไม่พอค่าครีมของฉันหรอก ชิ” เจแปนก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ใจจริงที่ยอมมาเพราะสงสารคนข้างกายที่ถูกบังคับด้วยคำว่า นักศึกษาดีเด่น ให้มาขนหนังสือส่วนตัวของอาจารย์ประจำวิชาจากอีกตึกมายังอีกตึก ขืนขนคนเดียวยัยคนนี้ควได้ตายก่อนแน่นอน
“เนี่ยฉันรู้อยู่แล้วว่าแกใจดี ไม่ได้ใจร้ายอย่างที่แสดงออก”
“หึ เพราะหวังให้แกเลี้ยงชาบูต่างหาก” เจแปนเชิดหน้าขึ้นอย่างมีจริต เพราะอยู่กันแค่สองคนจึงได้กล้าเผยลักษณะท่าทางส่วนลึกในจิตใจออกมา แม้จะไม่ได้ปิดแต่ก็ไม่ได้เปิดดังนั้นจึงมีแค่คนตรงหน้าอย่าง เดวา เท่านั้นที่รู้เพราะทั้งสองสนิทกันตั้งแต่ปีหนึ่ง
“จ้า ๆ รู้แล้วไม่มีทางบิดพลิ้วแน่นอนเพื่อนรัก” เดวาเอ่ยเสียงสดใสพลางจะโผเข้าหาเพื่อนสนิทด้วยความเคยชิน จนลืมไปว่าทั้งคู่กำลังถือกองหนังสือที่สูงหลายชั้นอยู่
“ว้าย ยัยบ้าอย่าเข้ามาหนังสือจะล้ม!” เจแปนรีบเอ่ยเตือนแต่เหมือนจะไม่ทันการ มือทั้งจะคว้าหนังสือช่วยเพื่อนที่กำลังจะหล่น ส่วนนัยน์ตากลับเบิกโพลงเมื่อเห็นอะไรบางอย่างเกาะบนหนังสือเก่าคร่ำครึชั้นบนสูงที่เดวาถืออยู่
“เดวาแกอย่าขยับ”
“หืม ทำไมมีอะไรเหรอ!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างเสียยิ่งกว่าไข่ห่าน เมื่อเห็นปฏิกิริยาหน้าซีดปากสั่นของเพื่อนชายใจหญิง
“ข้างบน…ข้างบนนั้น” ชายหนุ่มปากสั่นระริก เหงื่อเม็ดเล็กผุดตามกรอบหน้าพลางชี้นิ้วไปยังชั้นบนสุดของกองหนังสือ
“เจแปนอย่าติดอ่าง” เธอไม่เล่นนะบอกไว้ก่อน
“คือฉันจะบอกว่า….”
“อะไรเล่ารีบพูดมาสิ!” ก้อนเนื้อในอกของเธอเต้นโครมคราม เพราะไม่อาจจินตนาการได้ว่ามันคืออะไร แต่พอเห็นสภาพของเพื่อนแล้วเดวาจึงตัดสินใจ ระงับความตระหนกค่อย ๆ เงยหน้าไล่สายตามองกองหนังสือในอ้อมแขนทีละชั้น ๆ จนกระทั่งถึงชั้นบนสุด และสมองก็กำลังประมวลผลกับภาพตรงหน้าพร้อม ๆ กับน้ำเสียงแตกตื่นของเจแปน
“มะมันคือ แมลงสาบ!”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
เดวาที่กำลังอึ้งจัดกับการเผชิญหน้าสิ่งมีชีวิตระดับ-
ดึกดำบรรพ์ สัตว์ปีกแข็งที่บินเก่งยิ่งกว่านกมีปีกอีกทั้งหนวดที่กำลังกระตุกยิก ๆ ก็สั่นประสาทเธอได้เป็นอย่างดี เมื่อตั้งสติได้เธอจึงโยนหนังสือกองหนังสือทิ้งอย่างไม่ไยดี พลางกรีดร้องลั่น กระโดดถอยหลังออกจากบริเวณนั้น พอ ๆ กันกับเจแปนที่ทิ้งหนังสือวิ่งหนีตายก่อนเธอเสียอีก
“เจแปนทำไมแกไม่บอกให้เร็วกว่านี้” เดวาอยากจะลากเพื่อนมาหยุมหัวให้หายเป็นประสาท
“โอ๊ยชะนีตอนนั้นตัวแข็งถือคิดอะไรก็ไม่ออก”
“ฮือ ปีเตอร์บ้าอย่าตามมาเส้!”
“อย่าไล่มาทางฉันชิ้ว ๆ”
สองเพื่อนซี้ต่างกระโดดหลบแมลงสาบตัวร้ายกันเป็นวงกลมเพราะทำอะไรไม่ถูก พลางยกไม้ยกมือปัดป่ายเป็นพัลวันเพื่อไล่มันให้หนีไปอีกทางแต่กลับสร้างความวุ่นวายให้กันเอง
“อ๊าก ตาย ๆ เดวาทำอะไรสักอย่างสิ!” เจแปนแฮกปากร้องลั่น
“หา ให้ฉันทำอะไรเล่า” เดวาตะโกนกลับเสียงห้วน นัยน์ตากลมแทบจะคั้นน้ำออกมาได้ ทั้งตกใจและหวาดกลัวความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมด
“ทำอะไรก็ทำ เร็ว ๆ มันมาทางฉันแล้วกรี๊ดดดดดด”
เดวาอยากจะกัดลิ้นตาเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทำดีทำไมถึงมีอุปสรรคผีบ้าผีบ้าเข้ามาด้วยเนี่ย แล้วดูเจแปนสิทำอย่างกับเธอญาติดีกับปีเตอร์ (แมลงสาบ) อย่างนั้นแหละ
“ยัยเดวา เร็ว ๆ เข้าสิเพื่อนรักก่อนที่มันจะกินหัวฉัน” บ้าเอ๊ย!แมลงสาบที่ไหนมันกินหัวคนได้เล่า เดวาสบถกับตัวเองในใจ ริมฝีปากเม้มแน่น และรวบรวมความกล้าเมื่อเห็นสายตาอาฆาตราวกับศัตรูคู่แค้นของเจแปน เอาเถอะเพื่อเพื่อนรัก
เปล่ามีกันอยู่สองคนถ้าทะเลาะกันจะเล่นกับใครล่ะ!
“ยัยเด!”
“กรี๊ด รู้แล้ว ๆ ฉันจะจัดการเดี๋ยวนี้” สาวน้อยแสนบอบบางค่อย ๆ ถอดรองเท้าผ้าใบออกมาพลางกำมันไว้แน่น นัยน์ตาคู่สวยจับจ้องแล้วเล็งเป้าหมายก่อนจะเงื้อมมือขึ้นฟาดรองเท้าผ้าใบแบรนด์ดังลงบนศีรษะของเพื่อนสนิทที่มีแมลงสาบบินมาเกาะพอดิบพอดี
โป๊ก!
“อ๊ากกกกก หน้าฉัน” เจแปนโอดครวญราวกับกำลังจะขาดใจตาย
“อร้าย ขอโทษเพื่อนรัก” เดวาตกตะลึงเมื่อเห็นผลงานบนหน้าเพื่อน จึงเขวี้ยงรองเท้าผ้าใบเข้าไปในพุ่มไม้ข้างตึก ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาเจแปนด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก ท่าทางลนลาน
“มันไปยัง ๆ แกทำขนาดนี้มันไปยางงงง” ชายหนุ่มจับแว่นตาของตัวเองที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่ของตัวเองไว้ พลางเอ่ยปากถามเพื่อนสาวคนสนิทที่ก่อวีรกรรมไว้บนหน้าของเขา
เดวามองหน้าเพื่อนแล้วกลืนน้ำลายลงคอ ใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะค่อย ๆ เหลือบตาขึ้นสูงมองบริเวณศีรษะของเจแปน มือก็เช็ดถูที่กระโปรงพลีทไปด้วย และค่อย ๆ ยกมือดีดอะไรบางอย่างออกจากเส้นผมของเพื่อนด้วยท่าทางรังเกียจ
“มันไปแล้ว” ในที่สุดเดวาก็หาเสียงของตัวเองเจอ แต่กลับทำให้เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาแบบไอดอลตาเหลือกจนแทบถล่น
“ปะไปแล้ว…เมื่อกี้” เจแปนเอ่ยเสียงสั่น สมองมึนเบลอ
“อือ ฉันตีมันจนแบนแล้วดีดปีเตอร์ไปแล้ว” เดวาตอบอย่างพาซื่อ
“แกบี้มัน…ติดหัวฉัน?”
“อือ”
“กรี๊ดดดดด จะเป็นลมเส้นผมของฉันนนน”
เมื่อเห็นเพื่อนพยักหน้ารับอย่างใสซื่อ เจแปนก็หงายหลังลงไปเลย เพราะรู้สึกช็อกจนเกินจะบรรยาย ส่วนเดวาก็เบิกตากว้างพุ่งเข้ามารับตัวเพื่อนสนิทอย่างตื่นตระหนกและเอ่ยปลอบ
“โถ่เพื่อนรัก ฉันขอโทษแกต้องเข้าใจนะปีเตอร์ไม่สามารถไล่ให้ไปแล้วมันจะไปง่าย ๆ เหมือนยุง มันคือสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่เกิดมาก่อนมนุษย์เรา คิดดูนะว่าขั้วโลกหนาวเหน็บขนาดไหนแต่มันยังจำศีลอยู่ได้จนผ่านมากี่ยุคกี่สมัยมันก็ยังรอดมาจนวันนี้ ดังนั้นฉันเลยตัดสินใจทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ด้วยการฆ่ามัน” เดวาเอ่ยยาวเหยียดเพื่อให้เพื่อนเข้าใจ แต่เจแผนได้ฟังแล้วถึงกับอยากจะตายตามแมลงสาบไปทันที ทำไมเขาถึงเพื่อนแบบนี้กันนะ
“ฉันนึกว่าแกเป็นแม่พระ ที่แท้แกคือนางมารมาฆ่าแมลงสาบนี่เอง” เจแปนค่อนขอดขึ้นมาทันที
“ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย เพื่อช่วยเหลือแกฉันเลยต้องเลือกยะ!”
“หึ ด้วยการฟาดหัวฉันสินะ”
“ฮือ ขอโทษเอาไว้จะพาไปสปาผมนะ”
“ฉันจะรูดบัตรแกให้หมดวงเงินจนโดนพ่อด่าเลย”
“อือ ๆ ก็ได้ยอมแล้วจ้า” เดวาพยักหน้างึกงัก เรื่องรูดบัตรมันเรื่องเล็ก แต่ถ้าเจแปนโกรธต่างหากคือเรื่องใหญ่ เฮ้อ
.
.
เมื่อจบสงครามสองคนกับหนึ่งแมลงสาบแล้วเรียบร้อย ทั้งคู่ก็รีบเก็บหนังสือแสนหวงแหนของอาจารย์แล้วรีบขึ้นตึกไป โดยไม่รู้เลยว่าหลังพุ่มไม้ที่หญิงสาวโยนรองเท้าผ้าใบมานั้นจะมีคนนั่งกันอยู่สามสี่คนและยังเป็นชายหนุ่มตัวอันตรายของมหา’ลัยแห่งนี้เสียด้วย
“แค่ก ๆ ฮ่า ๆ กูกลั้นขำจนหายใจไม่ทันแล้ววะเพื่อน” ชายหนุ่มเรือนผมสีดำไฮไลท์สีน้ำเงินอย่าง อาไก เอามือกุมท้องพลางหัวเราะลั่นอย่างไม่อายใคร ทำให้เพื่อนอีกสองคนหัวเราะและอมยิ้มตามอย่างช่วยไม่ได้ เพราะพวกเขาก็ข่มกลั้นเหมือนกัน