ปรศุเดินกลับมาก็เห็นอธินินทร์ยืนจ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว ร่างโปร่งบางพุ่งเข้ามาหาแล้วใส่อารมณ์กับเขาทันทีเหมือนที่เขาคิดเอาไว้ไม่ผิด
“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคุณรู้จักกับสองแม่ลูกนั่น ไปรู้จักแล้วหลงเสน่ห์มันตอนไหน”
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกเธอว่ารู้จักกับพวกเขาตอนไหน” ปรศุเสียงห้วนด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมจะไม่จำเป็น ก็ตัวแม่มันนั่นไงที่เป็นคนโกงเงินพ่อฉัน มันปลอมลายเซ็นพ่อฉันโอนหุ้นไปเป็นของมันทั้งหมดแล้วมันก็ขายทิ้ง”
อธินินทร์มองหน้าปรศุที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูดเลยแม้แต่น้อย
“คงเป็นตอนที่ฉันย้ายไปเรียนเมืองนอก แล้วสองแม่ลูกนั่นย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านฉันกับคุณพ่อสินะ”
ปรศุรู้จักกับอธินินทร์ตอนที่เธออายุสิบห้าส่วนเขาอายุสิบแปด ทั้งคู่เจอกันในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งโดยผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายแนะนำให้รู้จักกัน อธินินทร์ไปงานกับบิดาของเธอส่วนปรศุไปออกงานกับผู้เป็นลุง แต่ทว่ามันก็เป็นแค่การรู้จักกันผิวเผินไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งอะไร จากนั้นมาก็มีโอกาสได้เจอกันอยู่อีกเรื่อย ๆ ตามงานสังคมต่าง ๆ ที่ทั้งสองคนไปร่วมงานพร้อมผู้ใหญ่ ซึ่งก็มีการทักทายพูดคุยกันตามประสาคนที่รู้จักกันแต่ไม่ได้สนิทสนม
กับเดหลี ปรศุรู้จักเธอตอนที่เขาขับรถเข้าไปหารุ่นน้องในมหาวิทยาลัยแล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินไม่ระวังมาตัดหน้ารถ ทำให้เกือบเกิดอุบัติเหตุขึ้น นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ปรศุกับเดหลีคุยกัน หญิงสาวตัวเล็กแต่งตัวเรียบร้อย สวมแว่นสายตา หน้าตาใสซื่อดูบริสุทธิ์ ผมยาวตรงมัดครึ่งศีรษะ พูดจาอ่อนหวาน กิริยามารยาทนุ่มนวลน่ามอง ใครเห็นก็เอ็นดู อดที่จะหลงรักความน่ารักไร้เดียงสาของเธอไม่ได้
ถ้าเปรียบเทียบเรื่องความสวยตัดสินด้วยสายตาเขายอมรับว่าอธินินทร์มีความสวยโดดเด่นกว่าเดหลีมาก แต่ให้ตายเขาเป็นคนที่ไม่ได้ชอบแค่ความสวยภายนอกของผู้หญิงเท่านั้น มันต้องวัดกันที่จิตใจข้างใน เดหลีแม้ไม่ได้สวยจัดแต่เธอก็มีความน่ารัก ดวงตากลมโต แก้มป่อง จมูกเล็ก ปากกระจับ ตัวเล็กบอบบางยิ่งทำให้ดูน่าทะนุถนอม เธอเป็นคนมีน้ำใจและจิตใจดีเข้าอกเข้าใจผู้อื่น หวังดีกับคนรอบข้างเสมอ ความขี้อายและขี้เกรงใจทำให้เขายิ่งนึกเอ็นดู อยากปกป้องดูแล เป็นผู้หญิงที่ผู้ชายใฝ่ฝัน
“ไหนเธอบอกว่าจะคุยเรื่องหย่าใหม่ไง”
“หึ ใครบอก ฉันเปลี่ยนใจแล้ว เรื่องอะไรจะให้คุณเอาชู้ที่เป็นศัตรูของฉันทั้งแม่ทั้งลูกเข้ามาเสวยสุขอยู่ในบ้านง่าย ๆ”
“อย่ามาพูดกล่าวหาคนอื่นลอย ๆ เธอมีหลักฐานอะไร”
อธินินทร์ชะงัก รู้สึกจุกแน่นในอกจนพูดไม่ออกเพราะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีไม่เคยคิดที่จะเชื่อเธอเลยสักครั้ง หลักฐานน่ะมีแน่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ มันยังไม่ถึงเวลา เธอกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อคิดบัญชีกับสองแม่ลูกนี่ย้อนหลังแบบที่จะทำให้มันทั้งคู่ดิ้นไม่หลุดต้องติดคุกยาวเพื่อชดใช้สิ่งที่มันกระทำกับบิดาและครอบครัวของเธอ แต่ตอนนี้เธอยังบอกใครไม่ได้ เพราะไม่ต้องการแหวกหญ้าให้งูตื่น
ริมฝีปากหยักแสยะยิ้ม เมื่อเห็นว่าหญิงสาวจนหนทาง
“ดีแต่ใส่ร้ายคนอื่นสินะ”
อธินินทร์ข่มความโกรธและน้อยใจที่พุ่งขึ้นมา “ฉันไม่ได้ใส่ร้ายใคร แล้วสักวันคุณจะรู้”
“สักวันของเธอน่ะเมื่อไหร่ พอเถอะ ไอ้นิสัยเสีย ๆ ที่เที่ยวปรักปรำคนอื่นแบบนี้เนี่ย มันน่ารำคาญแล้วก็น่ารังเกียจ”
คนฟังสะอึก หัวใจบีบรัดจนเจ็บปวด แน่ล่ะเธอคงไม่มีอะไรดีในสายตาของเขา หญิงสาวพยายามกดข่มความรู้สึกรวดร้าวนั้นไว้ บอกกับตัวเองให้อดทนอีกนิดเพื่อจัดการกับสองแม่ลูกอสรพิษนั่น
“แล้วคุณจะให้พวกนั้นอยู่ที่นี่ถึงเมื่อไหร่”
“แล้วแต่ความพอใจของพวกเขา เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น” ปรศุตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่คิดจะเห็นหัวกันเลยนะ เมียถือทะเบียนสมรสยืนอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ”
“ก็กอดไว้ให้แน่น ๆ ก็แล้วกันถ้าคิดว่ามันมีประโยชน์มากล่ะก็”
อธินินทร์นิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะถามในสิ่งที่อยากรู้ “เคยคบกันเหรอ”
“ใช่”
ได้ฟังคำตอบหญิงสาวก็รู้สึกเหมือนถูกมีดแทงเข้าที่อกอย่างแรง
“แล้วมาแต่งงานกับฉันทำไม ทำไมไม่แต่งกับมันให้จบ ๆ”
“หึ คิดว่าฉันอยากจะแต่งกับเธอเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของเธอมาอ้อนวอนลุงของฉัน ขู่จะยิงตัวตายต่อหน้าเมื่อวันที่พ่อเธอหมดตัวฉันคงไม่แต่ง ลุงของฉันคงเห็นแก่ความเป็นเพื่อน ความซวยมันเลยมาลงที่ฉันนี่ไง”
น้ำตาที่กบดวงตาทั้งสองข้างร่วงเผาะลงมาพร้อมกันอย่างสุดจะต้านทานไหว
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ”
“มันเป็นความจริง ทำไม ยอมรับไม่ได้รึไง”
“แต่ปีแรกคุณก็ทำดีกับฉัน เหมือนว่าเรา...รักกัน”
“มันก็ไม่ได้แย่อะไรนี่ ก็แค่ทำดีนิดหน่อย ฝืนใจบ้างแต่ก็พอรับไหว”
เขาตอบอย่างไร้เยื่อไย เหมือนที่ผ่านมามันก็แค่ละครฉากหนึ่งที่เขาเล่นไปตามบทบาทรอวันที่ผู้หญิงตัวจริงของเขาจะกลับมาแค่นั้น
“ที่ผ่านมาคือคุณฝืนใจมาตลอด...ฮึก”
“ใช่ ยอมรับความจริงแล้วก็หย่ากันเถอะ”
ริมฝีปากอิ่มสวยเม้มเข้าหากัน กลืนก้อนสะอื้นลงคอแล้วบอกกับตัวเองว่าให้เข้มแข้ง ถ้าเป็นคนอื่นเธออาจจะยินยอมหลีกทางให้ แต่นี่เป็นคนชั่วที่เข้ามาปอกลอกพ่อของเธอทำลายครอบครัวของเธอมีหรือที่เธอจะยอมให้มันสมปรารถนาโดยง่าย สิ่งที่มันมุ่งหวังเธอจะขัดขวางมัน เธอต้องอดทน รออีกนิด แม้มันจะต้องเจ็บจนหัวใจแทบสลาย
“ไม่ ฉันจะยอมหย่าให้คุณก็ต่อเมื่อพวกมันสองคนนั้นต้องได้รับกรรมที่มันก่อ”
“เธอนี่มันแย่กว่าที่ฉันคิด ในสมองมีแต่เรื่องคิดร้ายกับคนอื่น เธอเป็นคนทำร้ายพวกเขาสองแม่ลูก ยังจะกล้าไปใส่ร้ายเขา คนที่จะต้องได้รับผลกรรมคือเธอมากกว่า”
อธินินทร์ยิ้มหยัน “ก็คอยดูกันไปว่าใครดีใครร้าย แล้วใครจะต้องได้รับกรรม”
“เห็นอยู่เต็มตา ฉันคงไม่ต้องดูอะไรอีก” ปรศุมั่นใจในสิ่งที่เห็น
“คนเราถ้าลองว่าใจเชื่อไปแล้ว มีตาก็เหมือนไม่มี ต่อให้เห็นตำตาก็เหมือนมองไม่เห็นอยู่ดี”
พูดจบเธอก็หมุนตัวพร้อมกับปาดน้ำตาวิ่งกลับขึ้นไปบนห้อง ร้องไห้ให้กับความน่าสมเพชของตัวเอง เธอทุ่มเทความรักให้กับสามีจนหมดหัวใจ แต่กลับไม่มีความหมายอะไรเลยสำหรับเขา ทุกสิ่งที่มอบให้ไปคือความไร้ค่าสูญเปล่า
เช้าวันต่อมาอธินินทร์ก็ลงมารับอาหารเช้าในเวลาเจ็ดโมง ที่โต๊ะรับประทานอาหารซึ่งปกติต้องมีสามีนั่งรับประทานด้วยกันแม้จะมีเรื่องกันหนักหนาแค่ไหนก็ตามถ้าเขาไม่ได้รีบออกไปไหน แต่วันนี้มีเธอมานั่งอยู่เพียงลำพังแม้จะรอเขาแล้วก็ตาม
“คุณรามไปไหนคะป้าจิตร ทำไมไม่มาทานอาหารเช้า”
แม่บ้านอาวุโสส่งยิ้มให้เธออย่างเห็นใจก่อนจะเอ่ย
“คุณรามไปรับอาหารเช้าที่เรือนเล็กค่ะคุณนินทร์คุณนินทร์ไม่ต้องรอหรอกนะคะ ทานให้อิ่มเถอะค่ะ”
“เหรอคะ”
ที่โต๊ะรับประทานอาหารเช้าเรือนหลังเล็ก
ปรศุมากินมื้อเช้ากับสองแม่ลูก พูดคุยให้ทั้งสองสบายใจเรื่องการอยู่ในบ้านหลังนี้
“เมื่อเช้าหลีออกไปเดินเล่นเห็นแปลงกุหลาบแดงสวยมากเลยค่ะ วันไหนที่หลีอยากจัดแจกันหลีขอตัดมาใส่แจกันตั้งไว้ในบ้านได้มั้ยคะ มองแล้วจะได้สดชื่น”
คนถูกขอนิ่งคิด แปลงกุหลาบนั้นจะว่าไปแล้วมันเป็นของอธินินทร์ที่ปลูกไว้เพื่อระลึกถึงมารดาของเธอที่จากไปและไม่ให้ใครตัด แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่เคยตัดมันแม้แต่ดอกเดียว ปล่อยให้มันสวยแล้วโรยราอยู่บนต้น
“อืม ได้สิ”
“ขอบคุณค่ะ พี่รามใจดีที่สุดเลย” หญิงสาวทำท่าดีใจพร้อมรอยยิ้มใสซื่อไร้พิษภัยแบบที่ทำให้ผู้ชายเห็นแล้วต้องใจละลาย