ปรศุพาเดหลีกลับมาส่งที่เรือนหลังเล็ก ดาหลาเห็นว่าลูกสาวถูกประคองมาก็รีบเข้ามาดู
“เกิดอะไรขึ้นลูก”
“ไม่มีอะไรค่ะคุณแม่ หลีแค่... เอ่อ แค่ล้มเองค่ะ”
“ล้มเหรอ”
“ค่ะ หลีล้มเอง”
หญิงสาวทำหน้าน่าสงสารพลางส่งสายตาและส่ายหน้าให้กับปรศุที่กำลังจะพูดสิ่งที่เขาเห็นออกไป
“เจ็บมากมั้ยลูก มาให้แม่ทำแผลให้ เรามีกันแค่สองคนแม่ลูกถ้ามีใครทำอะไรลูกให้เจ็บ แม่ก็เจ็บด้วย ถ้าลูกเป็นอะไรไป แล้วแม่จะอยู่ยังไง” ดาหลาพูดเสียงสั่น น้ำตาคลอเบ้าราวกับถูกกระทบกระเทือนจิตใจอย่างแรง
“คุณแม่คะ หลีไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่โดนหนามกุหลาบเกี่ยวนิดหน่อยเอง ไว้หลีจะระวังตัวให้มากขึ้นนะคะ” เดหลีลูบมือมารดาพลางพูดปลอบใจอย่างน่าสงสาร ดวงตากลมมีน้ำตาคลอเหมือนจะหยดเหลือบมองปรศุ แววตาสั่นระริกท่าทางเหมือนลูกแมวที่กำลังบาดเจ็บและระแวงภัย สวมบทบาทผู้ถูกกระทำได้อย่างแนบเนียนจนปรศุรู้สึกสงสารและเห็นใจสองแม่ลูกมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยิ่งรู้สึกว่าอธินินทร์เป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจมากขึ้นทุกที
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ลับหลังชายหนุ่มเดหลีก็เปลี่ยนท่าทีไปอย่างสิ้นเชิง ความเจ็บปวดและท่าทางที่ต้องโอนอ่อนยอมก้มหน้ากับโชคชะตาแสนอาภัพพลันสูญสลาย เช่นเดียวกับคนเป็นแม่ ทั้งคู่ยิ้มให้กันอย่างสมใจ
ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น มีสายโทร. มาบอกสองแม่ลูกว่าปรศุกำลังจะออกจากบริษัทแล้ว และก็ประจวบเหมาะกับที่ทั้งคู่เห็นอธินินทร์ลงมาเดินดูแปลงกุหลาบในสวน จึงเข้าทางพอดี เดหลีกะเวลาที่ชายหนุ่มจะมาถึงบ้านก่อนจะถือตะกร้าออกไปตัดกุหลาบเพื่อตั้งใจยั่วให้อธินินทร์โกรธจนระเบิดโทสะใส่หล่อนต่อหน้าปรศุ แม้จะผิดแผนไปบ้างที่อธินินทร์กลับเยือกเย็นและรับมือกับสถานการณ์ยั่วยุได้ดีกว่าที่คิด แต่ก็ไม่เกินฝีมือการแสดงระดับออสการ์ของเดหลี และแผนการก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ปรศุโกรธจัดจนสั่งทำลายของรักของหวงของอธินินทร์แบบไม่ต้องหยุดคิดให้เสียเวลา ทำให้ดาหลาและเดหลียิ่งมั่นใจในแผนการที่จะแย่งปรสุกลับมาจากอธินินทร์
ดาหลาเคยทำงานเป็นแคดดีที่สนามกอล์ฟซึ่งอธิปบิดาของอธินินทร์ไปออกรอบเป็นประจำและสามารถใช้จริตมารยาจับนักธุรกิจใหญ่ได้สำเร็จ อธิปพาหล่อนเข้ามาอยู่ในบ้าน ตอนนั้นอธินินทร์ใกล้จะเรียนจบมหาวิทยาลัยนานาชาติในประเทศแล้ว และกำลังวางแผนจะบินไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา เมื่อพ่อของเธอพาผู้หญิงคนหนึ่งมาแนะนำบอกว่าจะเข้ามาอยู่ในฐานะภรรยาใหม่ของท่าน แม้จะรู้สึกไม่พอใจนักแต่เธอก็ไม่ได้ขัดขวาง หญิงสาวเข้าใจดีว่าที่ผ่านมาบิดาคงจะเหงามากเพราะมารดาจากไปหลายปีแล้ว รวมถึงอีกไม่กี่เดือนตัวเธอเองก็ต้องจากท่านไปเรียนต่ออีกคนหากจะมีคนเข้ามาช่วยดูแลบิดาในขณะที่เธอไม่อยู่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
ทว่าหญิงสาวก็มีพูดเตือนผู้เป็นพ่อไปบ้างเรื่องผู้หญิงคนนี้ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เพิ่งรู้จัก นิสัยใจคอที่แท้จริงเป็นอย่างไรก็ยังบอกไม่ได้ แต่อธิปบอกกับลูกสาวเพียงคนเดียวว่าไม่ต้องห่วงเรื่องที่ตนจะถูกหลอกเพราะได้ทำพินัยกรรมยกสมบัติทุกอย่างให้เป็นชื่อของอธินินทร์หมดแล้ว เพียงแต่อยากมีใครมาคอยพูดคุยด้วยสักคน แล้วก็มั่นใจว่าดาหลาเป็นคนดี
หลังจากที่ดาหลาเข้ามาอยู่ได้ไม่นานก็ได้ขออนุญาตพาลูกสาวของตนเข้ามาอยู่ในบ้านด้วย
“คุณหนูนินทร์คะ นี่เดหลีลูกสาวของน้าค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”
“สวัสดีค่ะคุณหนูนินทร์” เดหลีเอ่ยทักทายพร้อมกับยิ้มมองหญิงสาวที่มีศักดิ์และฐานะสูงกว่าโดยไม่ได้ยกมือไหว้ทั้งที่ตัวเองอายุน้อยกว่าอีกฝ่ายถึงสองปี แต่อธินินทร์ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ
เดหลีเป็นสาวร่างเล็กกะทัดรัด ดวงตากลมโต เครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋ม ผิวขาวเนียน ท่าทางใสซื่อไร้พิษภัย ทำให้คนที่พบเห็นเกิดความรู้สึกเอ็นดูได้ไม่ยาก แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว หล่อนมีความสามารถในการเสแสร้งระดับตัวมัม เข้ามาอยู่ในบ้านได้ไม่นานเดหลีก็ทำตัวประหนึ่งว่าเป็นลูกเจ้าของบ้านจริง ๆ ชี้นิ้วสั่งแม่บ้านให้ทำทุกอย่างให้แม้แต่จะใส่หรือถอดรองเท้า ครั้งหนึ่งเดหลีแอบเข้าไปหยิบเครื่องประดับของอธินินทร์ไปใส่ พอถูกเห็นเข้าขณะสวมอยู่บนตัวและโดนซักไซ้ หล่อนก็ทำหน้าเหมือนถูกใส่ร้าย น้ำตาปริ่ม รีบอธิบายบิดเบือนเรื่องราวเสียงสั่นอย่างน่าสงสาร
“หลีเก็บสร้อยนี่ได้ในสวนค่ะ เห็นว่าสวยดีก็เลยลองใส่ดู กะว่าจะมาถามคุณแม่บ้านจิตรก็พอดีคุณแม่ชวนออกไปซื้อของ”
“ใช่ค่ะ ทีแรกลูกหลีจะถอดวางไว้ในห้อง น้ากลัวว่าจะลืมก็เลยบอกให้ใส่ไว้ก่อน กลับมาค่อยว่ากัน” ตัวแม่รีบเข้ามาร้องรับอย่างรู้ทางกัน
“หลีกลับมาถึงบ้านก็ทำนั่นนี่เลยลืมไปค่ะ หลีต้องขอโทษด้วยนะคะคุณหนูนินทร์ หลีไม่ได้ตั้งใจจะใส่มัน แค่อยากลองสวมดู” ว่าแล้วก็น้ำตาริน รีบถอดสร้อยออกมายื่นส่งคืนให้ ท่าทางสำนึกผิดเจียมเนื้อเจียมตัวเต็มที่
“น้าก็ต้องขอโทษคุณหนูนินทร์ด้วยเหมือนกัน น้าผิดเองที่ไม่คิดให้ถี่ถ้วน น่าจะจัดการเรื่องสร้อยให้เรียบร้อยก่อนออกไปข้างนอก กลับมาก็ยังลืมเตือนลูกหลีอีก” ดาหลาทำหน้าเศร้าออกตัวรับผิดพร้อมกับลูกสาว พลางช้อนสายตารู้สึกผิดมองไปที่อธิป
ท่าทางซื่อ ๆ ประกอบกับหน้าตาน่าสงสารของสองแม่ลูกทำให้คนที่เห็นเชื่อสนิทใจ
“แค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เอง นินทร์ทำของตก น้องเขาเก็บได้ แล้วก็ไม่ได้มีเจตนาเอาของของลูกไป ของก็ไม่ได้ราคาแพงมากมายอะไร”
เรื่องจึงจบลงง่าย ๆ แค่นั้น เพราะประมุขของบ้านออกโรงสรุป อธินินทร์เองในตอนนั้นก็กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวเดินทางไปต่างประเทศ จึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
อธินินทร์เลือกเก็บกุหลาบดอกที่ยังสวยงามจำนวนสิบดอกกลับขึ้นมาบนห้องนอน ร่างโปร่งบางล้มตัวนอนลงบนเตียงอย่างคนไร้ซึ่งเรี่ยวแรง น้ำตาเหือดแห้งไปหมดแล้วเหลือแต่ความรู้สึกเจ็บที่เริ่มกลายเป็นชินชา แววตาว่างเปล่า ความสุขที่พอจะมีเหลืออยู่บ้างเพียงเล็กน้อยกลับถูกทำลายด้วยมือของคนที่เธอรักสุดหัวใจ ความรู้สึกสิ้นหวังโถมทับจนเธอแทบหายใจไม่ออก หญิงสาวปล่อยความคิดให้ล่องลอย ก่อนที่ไม่นานประตูห้องนอนจะถูกดันเปิดเข้ามาอย่างแรงพร้อมกับสามีใจร้ายของเธอ
“ทนไม่ไหวก็ไปหย่ากันซะ” ปรศุจ้องหน้าเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ผู้หญิงคนนี้นิสัยเสียจนเขารู้สึกขยะแขยง
“ฉันหย่าให้คุณแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
“เธอไม่มีสิทธิ์มายื้อเวลากับฉัน อยากอยู่แบบเจ็บปวดแบบนี้ไปตลอดรึไง” เขากระชากเสียง
“ฉันไม่ได้เจ็บปวดตรงไหน สนุกดีชีวิตมีสีสันจะตายตั้งแต่คุณพาสองแม่ลูกนั่นเข้ามา ตอนแรกก็นึกไม่ออกว่าทำไมผู้ชายนิสัยแข็งกระด้างเย็นชาแบบคุณถึงไปชอบพอกับยัยเดหลีนั่นได้ แต่ตอนนี้รู้แล้ว” อธินินทร์ปรับสีหน้าเป็นเย้ยหยัน “ที่แท้ก็ถูกจริตกับผู้หญิงซ่อนพิษตอแหลตัวแม่นี่เอง”
“โอ๊ย อ่อยอั๋นอ๊ะ”
มือหนาราวกับคีบเหล็กพุ่งเข้ามาบีบข้างแก้มของอธินินทร์ ก่อนสะบัดออก
“อย่าเอานิสัยตัวเองไปพูดว่าคนอื่น ไม่อายปากบ้างหรือไง” ปรศุตะคอกใส่
“ทำไมต้องอายปาก ในเมื่อฉันพูดเรื่องจริง พวกนั้นมันตอแหล พวกมันตอแหลได้ยินมั้ย...โอ๊ย”
ร่างบางที่ลุกขึ้นยืนตะโกนใส่หน้าเขาถูกผลักกระเด็นจนหงายหลังลงบนเตียง ตามด้วยร่างหนาขึ้นมาคร่อมทับแล้วตรึงมือทั้งสองข้างไว้กับผืนเตียง ดวงตาสองคู่สบประสานกันอย่างดุเดือด
“จะทำอะไร เล่นบทพิศวาสกับฉันเหรอ”
“หรือจะไม่ได้ล่ะ” เขาแสยะยิ้ม
“ทุเรศ น่ารังเกียจ คุณมันน่ารังเกียจที่สุด ฉันเกลียดคุณ”
“เกลียดฉัน? เธอน่ะเหรอจะเกลียดฉัน” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงหยัน ถ้าเธอเกลียดเขาจะมาทนตื๊อไม่ยอมหย่ากับเขาอยู่แบบนี้หรือ
“ถ้าฉันลองได้เกลียดแล้ว ก็อย่าหวังว่าชาตินี้จะกลับมารักได้อีก”
“งั้นเหรอ เหอะ ฉันอยากเป็นคนที่ได้รับ ‘เกลียด’นั้นจากเธอเร็ว ๆ จัง จะรออะไรล่ะ” น้ำเสียงเยาะเย้ยปนดูแคลน
คนใต้ร่างเงียบ จ้องมองใบหน้าของคนที่เธอทุ่มเทความรักให้จนหมดหัวใจ เธอหลงรักผู้ชายคนนี้ตั้งแต่เป็นสาวแรกแย้มที่ได้มีโอกาสเจอเขาตามงานสังคม แม้เขาเฉยชากับเธอเป็นที่สุด ไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้มให้ พูดคุยก็ถามคำตอบคำ แต่เธอก็หลงใหลในความเงียบขรึมท่าทางหยิ่งไม่แคร์ใครของเขา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ช่วยเหลือทุกครั้งเมื่อเอ่ยปากแม้จะดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจ บุคลิกเหมือนจะย้อนแย้งแต่ก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจสาวน้อย ไม่คิดว่าวันหนึ่งบิดาของเธอจะบอกว่าผู้ชายคนนี้ต้องการแต่งงานกับเธอ ในตอนนั้นหัวใจของหญิงสาวเต้นโลดพองโตยิ่งกว่าบอลลูนที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เธอไม่ถามเหตุผลสักคำว่าทำไมเขาถึงต้องการแต่งงานกับเธอ
และวันนี้เธอได้รู้แล้ว
^
^
^
***อดทนจนกว่าจะแลนด์นะนินทร์