ในวันที่ผมเริ่มโตขึ้นและเริ่มสู้คนบ้างแล้ว แต่มันก็ยังมีเหตุการณ์ที่โดนแกล้งหนักๆ ผมถูกรุ่นพี่หลอกไปขังไว้ที่ห้องเก็บของรกๆ แคบๆ ผมนั่งกอดเข่าในมุมมืด เหมือนเวลาที่ถูกแม่ตีและขังผมไว้...ตั้งแต่จำความได้ ผมถูกสั่งว่าห้ามพูด ห้ามร้อง ผมทำผิดสมควรแล้วที่ต้องถูกลงโทษให้สำนึก ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ผมแทบจะไม่พูดเลยตั้งแต่เด็กจนถึงสี่ขวบ แต่แม่ก็บอกว่าผมผิดอยู่ดี ผิดตั้งแต่เกิดมา
ตอนนี้ผมควรโตพอที่จะดิ้นรนพาตัวเองออกไปจากห้องนี้ได้แล้ว ทุบหน้าต่าง ประตู ตะโกนให้คนช่วย แต่สิ่งที่ผมทำคือนั่งรับโทษของตัวเอง รอแม่มาเปิดห้องให้ ซึ่งไม่รู้ว่าตอนไหน บางครั้งก็ทั้งคืนจนถึงเช้า
“ปลื้ม นายอยู่ข้างในไหม” เสียงของวิปครีมและเสียงที่เคาะประตูรัวๆ ทำให้ผมเพิ่งได้สติ ผมลุกไปที่ประตูตะโกนตอบกลับไป
“วิป เราอยู่ในนี้ช่วยหน่อย”
“ปลื้มเหรอ โอเค รอแป๊บหนึ่งเดี๋ยวไปหากุญแจ นายไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ไม่ๆ ไม่เป็นไร” แล้วผมก็ได้ยินเสียงวิ่ง วิปครีมน่าจะไปหากุญแจกับภารโรงหรือตามคนมาช่วย ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปอีกเท่าไร แต่ในความรู้สึกมันไม่นานเลย ที่วิปครีมไขกุญแจเปิดประตูเข้ามา เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนคนที่เหนื่อยมาก
“ฉันมาตรงนี้รอบหนึ่งแล้วไม่รู้ว่านายอยู่ในนี้”
“แล้วทำไมวิปครีมรู้”
“ก็ไปถามไอ้รุ่นพี่พวกนั้นไง จนมันยอมบอก” ผมคิดว่าพวกนั้นคงไม่กะขังลืมผมหรอก ได้สะใจแล้วก็คงปล่อยนั่นแหละ
“ทำไมพวกนั้นยอมบอกวิปครีมล่ะ”
“เราไปเรียกรุ่นพี่มอห้าให้มาช่วยถามน่ะ มันกลัวก็เลยยอมบอก” วิปครีมน่าจะโมโหมาก เรียกมันทุกคำ
“อยู่ในนี้นานมากไหม โอเคไหมตอนนี้”
“อืม ชินแล้ว”
“หา อะไรชินแล้ว”
“ก็เวลาเราทำผิดแม่ก็ขังเราไว้ในห้องแบบนี้แหละ” วิปครีมดูอึ้งไปเหมือนกัน เธอโวยวาย
“จะมาเหมือนได้ยังไง ดูสภาพห้องนี้สิ แต่จริงๆ แม่นายก็ไม่ควรขังนายไว้ในห้องนอนหรอก” ผมยิ้ม ให้วิปครีมเข้าใจว่าห้องนอนน่ะดีแล้ว แม้ความจริงห้องที่แม่ขังไว้ทั้งเล็กและมืดกว่าห้องนี้หลายเท่าในความรู้สึกผม
“ไป ไปหาครู ครั้งนี้ต้องให้ผอ.ไล่มันออกให้ได้” วิปครีมจูงแขนผมเดินออกจากห้อง ผมมองแขนตัวเองแล้วยิ้ม ปกติไม่ค่อยเห็นวิปครีมจะมีอารมณ์ยินดียินร้ายกับใคร อย่างมากก็เห็นแค่ความหงุดหงิดขี้รำคาญ เธอค่อนข้างนิ่งและเป็นผู้ใหญ่ มีแต่เรื่องผมนี่แหละที่เธอคอยยุ่งด้วยบ่อยๆ...รู้สึกเหมือนมีคนปกป้อง แบบที่ผมไม่เคยได้รับจากคนอื่น
ผมอยู่กับแม่จนถึงปอหก ก่อนที่พ่อจะมารับผมไปอยู่ด้วย มันเป็นเหตุการณ์ที่ผมจำได้ดี วันนั้นผมถูกแม่ขังไว้ในห้องแคบๆ ที่เหมือนกับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลงโทษผมโดยเฉพาะ ตั้งแต่ตอนเช้ามืดไม่ยอมให้ผมไปโรงเรียน ผมไม่ได้ไปโรงเรียนมาสองวันแล้ว ผมนั่งอยู่ในนั้นด้วยความขัดแย้งว่าตัวเองจะต้องทนให้แม่ทำแบบนี้ต่อไปถึงเมื่อไร
ประตูถูกเปิดออก แต่ไม่ได้มีแค่แม่ คุณพ่อผม วิปครีมและคุณพ่อของเธอ ทุกคนดูตกใจและสลดตอนที่เห็นผม
“ปลื้มมานี่ลูก” พ่อดึงแขนผมออกมาจากห้องมืดๆ นั้น พอมาเจอแสงสว่างก็เห็นร่องรอยถูกทำร้ายบนเนื้อตัวผม
“นี่คุณทำกับลูกขนาดนี้เลยเหรอแก้ม คุณยังเป็นคนอยู่ไหม” พ่อผมหันไปตวาดแม่ด้วยความโมโห ส่วนแม่ที่อยู่ในสถาพเมามายซึ่งเป็นภาพปกติก็ไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่น้อย
“จะเป็นคนหรือเป็นอะไรฉันก็เลี้ยงลูกคุณมาจนโตป่านนี้แล้วกัน คุณล่ะเคยรู้อะไรบ้างว่าฉันต้องลำบากแค่ไหนกับการเลี้ยงมันน่ะ” ผมเจ็บกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ไม่รู้ว่าควรจะแสดงออกแบบไหน ผมได้ยืนก้มหน้า ยิ้มจางๆ อย่างยอมรับ
“ผมก็ดูแลซัปพอร์ตคุณทุกอย่างไม่ใช่เหรอแก้ม มีอะไรขาดเหลือ มีปัญหาอะไรคุณก็บอกผมสิ ไม่ใช่มาทำกับลูกแบบนี้”
“ทำไมจะทำไม่ได้ ก็ลูกฉัน ฉันเบ่งมันออกมาเอง แต่มันกลับเกิดมาเพื่อตอกย้ำว่ายังไงคุณก็ไม่เลือกฉันอยู่ดี แล้วยิ่งมันโตมันก็ยิ่งหน้าเหมือนคุณ มันยิ่งแต่ทำให้ฉันคิดถึงแต่คุณ ทำไมคุณทำกับฉันแบบนี้คะเปรม” ทุกอย่างเงียบเชียบ พ่อที่โมโหแม่มากยังพูดอะไรไม่ออก
“ผมจะพาลูกกลับบ้าน”
“เอาไปเลย เอาไปเลี้ยงเองเลย ฉันไม่ต้องการแล้ว ไร้ประโยชน์” สิ้นเสียงแผดของแม่พ่อก็โอบตัวผมออกมา ผมหันไปมองวิปครีมเห็นเธอน้ำตาคลอ...คนที่ผมไม่เคยได้เห็นน้ำตาเธอเลย
เราสี่คนขึ้นมาบนรถ พ่อผมกับพ่อวิปครีมนั่งด้านหน้า ผมกับเธอจึงนั่งด้านหลังด้วยกัน วิปครีมนั่งก้มหน้า ผมเห็นเธอน้ำตาไหลและเอามือปาดน้ำตาเรื่อยๆ ผมไม่ได้รู้สึกแย่เลยที่เห็นวิปครีมร้องไห้เพราะสะเทือนใจกับเรื่องของผม มันเป็นความรู้สึกในทางบวก ผมไม่ได้ถามอะไรเธอ ปล่อยให้เธอได้ปรับอารมณ์สักพัก
“ฉันเห็นนายไม่ไปโรงเรียน ทักหาก็ไม่ตอบ เลยนึกถึงที่นายเคยเล่าให้ฟังว่าแม่ชอบขังนายไว้ในห้องนอน ไม่สิ ฉันคิดไปเองว่าห้องนอน”
“หนูวิปครีมให้อาเก้าคุยกับพ่อ เราก็เลยมาหาลูกที่บ้าน ไม่คิดว่าแม่เขาจะทำกับปลื้มขนาดนี้ พ่อน่าจะรู้ตั้งนานแล้วนะปลื้ม” พ่อผมดูหงุดหงิดที่ปล่อยให้ผมถูกแม่ทำร้ายมานานขนาดนี้ พ่อไม่ผิดหรอก ผมไม่เคยบอก ผมไม่รู้ว่าจะสามารถบอกใครได้ เพราะแม่บอกว่าผมผิด ก็ต้องถูกทำโทษ แม้พอโตขึ้นจนเริ่มรู้สึกขัดแย้งมันก็ยังไม่กล้าจะพาตัวเองออกมาอยู่ดี ผมสงสารแม่ ผมรู้ว่าเขาเจ็บปวดถึงเป็นแบบนั้น
“ปลื้มมาอยู่กับพ่อนะลูก พ่อไม่กล้าปล่อยปลื้มกลับไปหาแม่ของลูกอีกแล้ว”
ผมไม่ได้ตอบพ่อในทันที ใช้เวลาคิดอยู่หลายวัน คนที่ผมคุยด้วยก็มีแค่วิปครีม แน่นอนว่าเธอต้องบอกให้ผมออกมาจากบ้านแม่อยู่แล้ว ยิ่งผมเล่าหลายๆ เรื่องที่เจอมาตั้งแต่เด็กๆ ให้เธอฟังเหมือนเพิ่งได้ที่ระบาย วิปครีมยิ่งไม่แนะนำให้ผมอยู่กับแม่
“นายมาอยู่กับลุงเปรมนั่นแหละปลื้ม ถ้านายกลับไปฉันว่า...ขอโทษนะ แม่นายก็ทำกับนายแบบเดิมอยู่ดี” มันสะเทือนใจที่วิปครีมบอกแบบนั้น แต่ผมไม่ได้รู้สึกแย่กับเธอเลย
“เอาไว้ถ้านายโตกว่านี้ แบบที่แม่นายจะทำอะไรนายแบบนี้ไม่ได้อีก ถ้านายยังเป็นห่วง นายค่อยไปดูแลเขาก็ได้” วิปครีมยังเสนอทางเลือกให้ผม ซึ่งพอออกมาอยู่กับพ่อได้สองสัปดาห์ผมก็ตัดสินใจได้ว่าไม่ควรกลับไปให้แม่ทำร้ายอีก
พ่อฟ้องร้องเพื่อขอสิทธิ์เลี้ยงดูผมจากแม่ เขาจ่ายให้แม่ไปมากเหมือนกันเพื่อให้ได้ผมมาอยู่ด้วย ชีวิตในครอบครัวใหม่ที่มีน้องๆ สามคนมันน่าอยู่กว่าการถูกขังอยู่ในบ้านหลังนั้นเป็นไหนๆ ภรรยาใหม่ของพ่อ รักและดูแลผมได้ดีกว่าแม่แท้ๆ เสียอีก มันฟังดูน่าเจ็บปวดแต่ผมก็คิดได้ว่าควรใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง
ส่วนกับแม่ตอนแรกๆ ก็ไม่ได้ติดต่อกันเกือบสองปี ก่อนที่เขาจะโทรมาหา และบอกขอโทษ แต่ผมไม่คิดที่จะกลับไปหาแม่แล้ว เพราะต่อให้เขาบอกขอโทษก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทำร้ายผมอีก ยิ่งออกมาอยู่ห่างแล้วมองย้อนกลับไปผมยิ่งรู้สึกว่าแม่ไม่เคยต้องการผมตั้งแต่แรก เขาแค่มองผมเป็นเครื่องต่อรองกับพ่อก็แค่นั้นเอง ผมจำที่วิปครีมบอก เอาไว้ผมโตกว่านี้ ดูแลตัวเองได้ ผมค่อยดูแลเขาตามที่ผมจะสามารถทำได้ก็แล้วกัน
ส่วนกับวิปครีมพอขึ้นมอต้นเราก็เรียนกันคนละห้อง คนละสายการเรียน แต่ก็ยังอยู่โรงเรียนเดียวกัน วิปครีมชอบเรียนศิลปะมากเป็นพิเศษแม้เธอจะเรียนได้ดีในวิชาอื่นๆ ด้วย ทำให้วิปครีมเลือกห้องเรียนในมอต้นที่จะสนับสนุนเธอตรงนั้นได้เพื่อนต่อยอดในมอปลาย วิปครีมมีโรงเรียนมอปลายที่อยากเรียนในใจตั้งแต่ประถมเลย ส่วนผมยังไม่มีความฝัน เลยยังเรียนห้องเรียนพิเศษด้านวิทย์คณิตต่อในระดับมอต้น เวลาเจอกันก็ยังพูดคุยกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยชวนกันไปไหนมาไหนหรือเรียนพิเศษด้วยกันเหมือนตอนประถม เราค่อยๆ ห่างกันออกไป และห่างหายเมื่อ วิปครีมย้ายโรงเรียนตอนมอปลาย
เราไม่ได้คุยกันแม้ในช่องทางโซเชียล ข้อความที่คุยกันล่าสุดน่าจะตั้งแต่มอหนึ่ง แต่ผมไม่เคยลืมวิปครีมเลยนะ เธอเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในช่วงหนึ่งของชีวิตผม ผมก็ไม่รู้ว่าจะปล่อยให้เธอหล่นหายไปจริงๆ หรือจะติดต่อเธออีกเมื่อไรในอนาคต แต่ก็ได้เจอกันอีกครั้งตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นมันเป็นความรู้สึกจางๆ แบบรู้สึกว่าก็ดีนะได้เจอกันอีก ได้เรียนเอกเดียวกัน
“ปลื้ม แกไปอาบน้ำแล้วไปกินข้าว” ให้ผมกอดสักสองสามนาที วิปครีมก็ลุกขึ้น แล้วสั่งแบบนั้น ส่วนเธอเองก็ลุกออกจากห้องผมก่อน
ผมเข้าไปอาบน้ำแบบรีบๆ แล้วออกไปข้างนอก คอนโดจะมีห้องครัวกับห้องกินข้าวและห้องนั่งเล่นอีกโซนหนึ่ง วิปครีมนอนดูโทรศัพท์ ขาเรียวๆ ของเธอพาดบนขอบโซฟา
“มีอะไรให้กิน” จะกินขาเธอแทนได้ไหมนะ
“ไปกินที่ครัวแล้วกัน” เธอวาดขาลงจากโซฟาแบบที่ทำให้ผมมองตาม ขาเธอสวยมากเลยนะ มันน่า...ผมต้องสะบัดหัวแรงๆ รู้สึกวันนี้จะหื่นเกินเบอร์ไปมาก
“แกตักข้าวสิ”
“หุงข้าวเหรอ”
“อืม กินข้าวนี่แหละ” ผมตักข้าวสองจาน วิปครีมตักแกงเขียวหวานใส่ถ้วย พร้อมไข่ต้มยางมะตูมกับพริกน้ำปลาวางบนโต๊ะ
“แกงเขียวหวานเลยเหรอ ทำทันด้วย”
“อืม วัตถุดิบมีจับๆ โยนๆ ลงหม้อก็เสร็จแล้ว แต่กินได้ไม่ได้อีกเรื่องนะ” วิปครีมไม่ใช่คนทำอาหารเก่ง แต่เธอก็ทำอร่อยของเธอ ผมเลิกคิ้ว ตักน้ำแกงมาชิม แล้วก็ชมเธอแบบตั้งใจมากๆ
“แกทำอะไรก็อร่อยหมดแหละ...คนทำก็อร่อย” แกล้งหยอดเธอด้วย
“เคยชิมเหรอถึงรู้” สิ่งที่เธอย้อนกลับมาทำผมตาโต โอดครวญ ยั่วกันชัดๆ
“วิป” ลากเสียง ทำตาละห้อย วิปครีมยิ้มและส่ายหน้า
“กินข้าวไป ไม่ต้องมาทำเสียงแบบนั้น”
ผมถอนหายใจก่อนที่จะกินข้าวไปยิ้มไปด้วย รู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างเราวันนี้มันสดใสดี ใกล้เคียงกับที่ผมเจอเธออีกครั้งตอนปีหนึ่ง...ก่อนที่ผมจะทำบางอย่างพลาดไป