เป็นเพื่อนกันมันก็ดีอยู่แล้ว

2407 Words
“เอาดรายร์เป่าผมให้หน่อย” เธอบอกหลังจากที่จับกรรไกรตัดผมให้มาเกือบชั่วโมง ไม่ได้ตัดออกเยอะเลยในความรู้สึก แต่เธอใช้เวลานานทีเดียว ตั้งใจพิถีพิถัน ผมไปหยิบดรายร์เป่าผมมาเสียบปลั๊กให้เธอ วิปครีมเป็นคนเป่าผมให้ รู้สึกสบายดีจัง มีมือนุ่มๆ มาลูบๆ ผมแบบนี้บ่อยๆ น่าจะดี “โอเคไหมปลื้ม อยากให้สั้นกว่านี้ไหม” เธอถามหลังจากที่เป่าผมจนแห้ง ใช้หวีแต่งทรงให้ “โอเค หล่อเลย” ผมชมตัวเอง ยิ้มใส่เธอแบบที่คิดว่าหล่อที่สุดแล้ว แต่วิปครีมไม่มีแม้จะชะงักในความหล่อของผมเลย มีแค่อารมณ์เหนื่อยหน่ายเฉื่อยชาตามเดิม “แกจะไปไหนไหมปลื้ม นัดสาวไว้ที่ไหนหรือเปล่า” ตอนนี้ก็ห้าโมงเย็นเลย วิปครีมอาจจะคิดว่าผมจะมีนัดสาวในวันหยุด “ไม่อะ ทำไม” เธอทำหน้านึก แต่ก็ส่ายหน้า “ฉันกลับละ” ผมคิดว่าวิปครีมไม่น่าจะอยากกลับตอนนี้หรอก แต่คงคิดว่าตัวเองอยู่นานแล้ว “กลับบ้านเหรอ” “น่าจะไปกินหมูกระทะก่อนค่อยกลับ” “ไปกับใคร” “ไปคนเดียวนี่แหละ” “ไปด้วยสิ” ผมก็เลยตามเธอไปกินหมูกระทะด้วย ไปรถเธอเพราะตอนกลับวิปครีมจะมาส่งผมที่คอนโดแล้วก็กลับเลย เราอยู่ที่ร้านหมูกระทะจนเกือบสามทุ่ม เหมือนต่างก็ไม่อยากรีบกลับบ้าน ปกติเวลาวิปครีมมาทำงานกับเพื่อนหรือมาสังสรรค์ก็เคยกลับบ้านดึกบ่อยๆ พ่อกับแม่เธอค่อนข้างจะให้อิสระ ตอนที่วิปครีมมาส่งผมที่คอนโดก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว “เดี๋ยวขับรถตามไปส่งที่บ้าน” วิปครีมขมวดคิ้ว เธอยิ้ม “ไปส่งทำไม ปกติฉันกลับบ้านดึกกว่านี้อีก” ก็รู้นั่นแหละ แต่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา “อืม ถึงบ้านแล้วทักบอกด้วย” วิปครีมไม่ได้ตอบรับ เธออาจจะไม่ทักบอกหรอก ปกติก็ไม่เคยบอกบอกเพื่อนๆ อยู่แล้วว่าไปไหน อยู่ไหน ทำอะไร ถึงบ้านตอนไหน ผมได้แต่ถอนหายใจ รู้สึกโหวงๆ แปลกๆ เข้าไปอาบน้ำแล้วกระโดดขึ้นเตียง มองโทรศัพท์ที่มีสาวทักหาแล้วไม่มีอารมณ์อยากตอบ แต่พอเห็นชื่อวิปครีมโชว์ก็กดดูแทบจะไม่ทัน วิปครีม : ถึงบ้านแล้วนะ ผมยิ้ม แบบที่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงอยากยิ้มมากขนาดนี้ ปลื้ม : โอเค นานวันเข้าเราก็เหมือนยิ่งสนิทกันมากขึ้น ผมเริ่มจะติดการอ้อล้อวิปครีมแบบไม่คิดจะฝืนตัว ผมชอบช่วงเวลานั้น เธอมีรอยยิ้มสดใสให้เห็นมากกว่าที่รู้จักกันจากหลายปีที่ผ่านมา จนเหตุการณ์วันนั้นที่ทำให้ทุกอย่างถอยกลับไปจุดเดิม หนังสั้นที่พวกเราส่งประกวดได้รับรางวัลรองชนะเลิศ เราเลยมาฉลองกันที่ห้องของผม เอาจริงๆ ต่อให้ได้หรือไม่ได้รางวัลอะไรเราก็ฉลองกันอยู่แล้วละ เราดื่มกันตั้งแต่หัวค่ำ พอเลยเที่ยงคืนเพื่อนบางคนก็เริ่มกลับ ส่วนที่ยังอยู่และนอนไปแล้วคงอยู่จนถึงเช้านั่นแหละ เพื่อนผู้หญิงเหลือแค่วิปครีม ผมเห็นเธอถือแก้วเหล้าออกไปที่ระเบียง เลยตามออกไป ปล่อยให้บอยกับโอ๊ตดวลกันต่อแค่สองคน “มาทำอะไรตรงนี้คนเดียว” ผมถาม วิปครีมหันกลับมามองผม ยืนพิงระเบียง มือข้างหนึ่งถือแก้วเหล้า “มาตากลมเย็นๆ” “นึกว่าเมา กลัวจะพลัดตก” ความจริงแล้ววิปครีมไม่ได้ดื่มเยอะ ผมเองก็ดื่มไม่เยอะ ไม่อยากเมาจนน็อคเหมือนไอ้พวกนั้น อย่างน้อยๆ ก็เหลือผมไว้ดูเพื่อนๆ สักคน เพื่อนผู้หญิงก็มาด้วย ยิ่งตอนนี้เหลือวิปครีมคนเดียว คือมันก็ไม่ได้คิดว่าจะมีใครมาทำอะไรๆ เพื่อนหรอก ดื่มแบบนี้กันมาหลายครั้ง แต่เวลาเมาบางคนมันก็น่ารำคาญไง “แค่นี้ไม่เมาหรอก” แต่ก็หน้าแดงตาหวานอยู่เหมือนกัน เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น เป็นเบอร์ของสาวคนล่าสุดที่ผมเพิ่งจบความสัมพันธ์ไปได้อาทิตย์กว่าๆ ผมกดตัดสาย ถอนหายใจอย่างรำคาญเล็กๆ “สาวโทรมาเหรอ” “อืม” “ทำไมดูไม่กระตือรือร้น” “เลิกแล้ว” แต่เธอยังวอแวผมอยู่ ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครใหม่ ออกจะเบื่อๆ แต่คิดว่าน่าจะไม่นาน “ปลื้ม แกไม่คิดจะมีแฟนจริงๆ จังๆ บ้างเหรอ” “ไม่คิดเลย” ผมตอบแบบไม่เสียเวลาคิด ผมไม่อยากเอาความรู้สึกไปผูกติดกับใคร ไม่อยากพังเหมือนพ่อกับแม่ “แบบนี้ถ้าฉันจีบแกก็ไม่น่าจะติดใช่ไหม” คำถามนั้นของวิปครีมทำให้ผมที่มึนๆ อยู่หูตาสว่างขึ้นมาทันที ผมมองเธออย่างอึ้งๆ พูดไม่ออก “วิป” “อืม ฉันคิดว่าฉันชอบแก” ผมรู้สึกหูอื้อ แต่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวๆ ในอก มันมึนงง สับสน ผมไม่เคยคิดว่าวิปครีมจะชอบผม แม้ว่าผมจะรู้สึกพิเศษกับวิปครีมแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยคิดว่ามันจะไกลเกินเพื่อน “วิป ฉัน” ผมไม่รู้ว่าควรจะต้องพูดอะไร ไม่รู้ว่าแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป ผมเห็นความวูบไหวในดวงตาเธอ ก่อนที่มันจะนิ่งสงบจนใจผมหล่นวูบ “แกไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นหรอก ฉันรู้สึกว่าฉันชอบแก คิดมาเป็นเดือนแล้วยังไงก็ต้องบอก อาจจะคิดว่าแกจะลองให้ฉันจีบไหม แต่ก็โอเค ฉันรู้ว่ามันไม่จำเป็นที่แกจะต้องชอบฉันแบบที่ฉันชอบแก” “วิป ขอเวลา” “ไม่ต้องหรอกปลื้ม แกไม่ต้องฝืนตัวเอง ทั้งฝืนความรู้สึกและไลฟ์สไตล์” วิปครีมตั้งใจบอกความในใจกับผมทั้งๆ ที่คิดว่าผมอาจจะไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันกับเธอ และไม่ได้อยากมีแฟน “แกจะไม่โกรธฉันใช่ไหม จะยังเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม” ผมคิดอะไรไม่ทัน ในใจมันกลัวแค่จะเสียเธอไป มันจึงลั่นคำถามที่โง่ที่สุดแบบนั้นออกไป “แน่นอน แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่ฉันเคยมีแล้วมั้ง ถ้าแกยังเป็นเพื่อนฉันได้” “ได้สิวิป” “งั้นเราก็เป็นเพื่อนกันแบบนี้ต่อไปดีแล้วเนอะ” เธอยิ้มจางๆ ให้ผม ตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกโล่งใจเลยที่วิปครีมบอกจะไม่เลิกเป็นเพื่อนกัน มันยังเป็นฝ้ามัวๆ ในหัวที่ผมยังมองความรู้สึกนึกคิดตัวเองไม่ออก วิปครีมเดินออกมาจากระเบียง ผมเบี่ยงตัวหลบให้เธอเดินก่อน วิปครีมเปิดประตู เห็นบอยกับโอ๊ตที่ผละออกจากประตู ทำหน้าตกใจ “เอ่อ กูจะมาตามมึงไปดวลเหล้า กูสองคนไม่ได้ยินอะไรเลยนะ” ไอ้บอยรีบปฏิเสธ แบบที่ทำให้รู้ว่ามันคงแอบฟังอยู่นานแล้ว “เออ ไม่ได้แอบฟังเลย” โอ๊ตพูดเสริม และความเมาก็ทำให้มันลามปาม “แต่กูว่ามึงสองคนน่าจะลองคบกันก็ดีน้า ฟีลเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ” ไอ้บอยที่มีสติกว่ารีบลากคอไอ้โอ๊ตกลับไปที่โซฟา ส่วนผมก็หันไปมอง วิปครีมด้วยความรู้สึกลำบากใจ “วิป” “ตีหนึ่งแล้ว ฉันว่าฉันกลับดีกว่า” “ไม่ให้กลับนะวิป” ผมรีบแย้ง รู้ว่าวิปครีมอาจจะอึดอัดแต่ให้เธอขับรถกลับตอนนี้ไม่ได้หรอก จะไปส่งก็ไม่มั่นใจตัวเอง “แกไปนอนในห้องเถอะ” ปกติพวกเราจะยกเตียงและส่วนของห้องนอนให้พวกผู้หญิง ส่วนผู้ชายสี่ห้าคนก็นอนกองกันในห้องนั่งเล่นนั่นแหละ วันนี้เหลือวิปครีมคนเดียวผมเลยเข้าห้องกับเธอ ให้เธอนอนก่อน ออกมาดื่มกับสองคนนั้นต่อจนมันพากันนอนก็กลับไปหาเธอในห้อง “วิป ฉันนอนบนเตียงด้วยนะ เผื่อไอ้พวกนั้นมันละเมอเข้าห้อง” ผมบอกเธอก่อน ไม่แน่ใจว่าหลับหรือยัง “อืม” เธอรับรู้ ผมเลยปิดไฟในห้องทุกดวง ขึ้นไปนอนบนเตียงกับเธอ นอนเว้นระยะห่างเท่าที่มีและไม่ได้แย่งผ้าห่มผืนเดียวที่เธอห่มอยู่ ผมหลับตาลง มีเรื่องมากมายที่อยากพูดคุยกันแต่มันไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่จะคุยได้เมื่อมีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย...แล้วมันก็กลายเป็นว่าทุกอย่างมันสายเกินแก้ เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นกลายเป็นที่ถูกพูดถึงของเพื่อนๆ ในกลุ่ม และหลุดออกไปถึงคนอื่นๆ ทั้งเพื่อนในเอก หรือรุ่นพี่รุ่นน้องที่เคยรู้จักกัน ต่อให้เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันแต่มันก็ยากที่จะเก็บเป็นความลับได้ ความละเอียดอ่อนของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน ตอนที่เพื่อนๆ สนิทแซวมันก็แซวแบบน่ารักๆ เชียร์อัปให้คบกัน แต่มันก็กลายเป็นความอึดอัดระหว่างเราสองคนในระดับหนึ่ง แต่พอมันออกไปข้างนอกมันยิ่งไร้การควบคุม มีคนหวังดีเอามาเล่าให้ผมฟังบ้างว่าคนอื่นๆ นินทาวิปครีมแบบไหน ซึ่งวิปครีมก็น่าจะได้ฟังเหมือนกัน แค่ฟังจากคนอื่นยังโมโหจนบังเอิญมาได้ยินกับหูโดยบังเอิญจริงๆ “ออร์แกนได้ข่าวว่าวิปครีมมันชอบปลื้มเหรอ” เพื่อนผู้หญิงกลุ่มหนึ่งถามออร์แกน ซึ่งแม้จะเป็นเพื่อนๆ ในกลุ่มผมแต่เอกเราก็มีกันไม่กี่คน ก็รู้จักและพูดคุยกันได้หมด “เหรอ อันนี้ไม่รู้เลย” ออร์แกนคงไม่ได้อยากเล่าเรื่องของเพื่อนมาก “แกอย่ามาแอ๊บ ฉันไปสืบมาแล้วละ แต่ปลื้มมันไม่เซเยส” “โอ๊ย ปลื้มมันก็หล่อเลือกได้อะเนอะ ก็คงจะเซเยสอยู่หรอก” “วิปมันก็เนียนเหมือนกันนะ เห็นนิ่งๆ เงียบๆ ใช้ความสนิทเข้าหา แอบแรงว่ะ” ฟังมาถึงตรงนี้ผมก็ดึงแขนวิปครีมออกจากตรงนั้นแทนที่จะเปิดประตูเข้าไปในห้อง ผมจูงวิปครีมเข้ามาในลิฟต์ กดลงชั้นล่าง “วิป เราคบกันดีไหม คนพวกนั้นมันจะได้หุบปาก” ผมเริ่มจะโมโหวิปครีมขึ้นมาด้วยเหมือนกัน เธอนิ่ง แล้วก็ยิ้มให้ผมเหมือนไม่รู้สึกอะไร “อย่าหงุดหงิดน่า ไม่เกินเดือนสองเดือนคนเขาก็หยุดสนใจเราแล้ว” “แต่ว่า...” “แกจะแกล้งคบฉันเพื่อปิดปากคนพวกนั้นได้นานแค่ไหนล่ะปลื้ม ตอนเลิกกันก็เกิดประเด็นใหม่อีกอยู่ดี” “ก็ไม่ต้องเลิกไง” “แกคิดดีแล้วเหรอพูดแบบนั้น” พอถูกย้อนผมก็ชะงัก ไม่มีความมั่นใจอะไรสักอย่าง วิปครีมถอนหายใจ “ช่างคนอื่นเถอะปลื้ม แกกำลังทำให้ฉันรู้สึกผิดนะที่บอกแกวันนั้น” “วิป มันไม่ใช่ความผิดแก” “มันก็ไม่ใช่ความผิดแก เราเลิกพูดเรื่องนี้เถอะนะปลื้ม ถ้าแกอยากลองคบฉันแบบที่แกเองก็ไม่ได้อยากมีแฟน หรือไม่ได้รู้สึกชอบฉันจริงๆ วันหนึ่งเราก็ต้องเลิกกัน ถึงวันนั้นฉันไม่มั่นใจแล้วนะว่าจะเป็นเพื่อนกับแกได้เหมือนเดิมหรือเปล่า” คำขู่นั้นของวิปครีมทำให้ผมชะงัก ไม่กล้าที่จะดึงดันอะไรอีกต่อไป “เราเป็นเพื่อนกันมันดีแล้วละ อย่าทำให้มันยุ่งยากเลย” ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นผมก็รู้สึกว่าความสดใสของวิปครีมที่เพิ่งค้นเจอได้ไม่นานมันหายไป เราคบกันนานขึ้น ใช้เวลาด้วยกันบ่อยขึ้นแต่ก็รู้สึกถึงความห่างเหินที่อธิบายไม่ถูก พอปีสามเทอมสองที่ครอบครัว วิปครีมมีปัญหาแล้วผมอยากหาทางช่วยเธอด้วยการหางานในวงการ วิปครีมช่วยเป็นผู้จัดการส่วนตัวช่วยคุณอา วิ่งแคสต์งานกันก็เหมือนจะยิ่งสนิทกัน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ของเราพัฒนาไปมากกว่านั้น ผมก็ยังไม่มั่นใจในตัวเอง และไม่กล้าจะก้าวข้ามเส้นบางๆ นั้น พอปีสี่วิปครีมก็เหมือนจะมีแฟนด้วย เราก็เลยต้องเป็นแค่เพื่อน ผมต้องเว้นระยะห่างเพราะความเหมาะสมแต่พอรู้ว่าคนที่คิดว่าเป็นแฟนวิปครีมอย่างพี่ต้นนอกใจเธอ และต่างคนต่างมีข้อตกลงที่จะยอมให้อีกฝ่ายมีคนอื่นได้ผมก็ไม่ต้องเว้นอะไรมากมายแล้ว พอวิปครีมมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวจริงๆ ที่ดูแลผมแทบจะทุกเรื่อง ผมยิ่งอยากใช้เวลาทั้งหมดที่พอมีกับเธอ เราผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาด้วยกัน งานที่หนัก เหนื่อย และปัญหาต่างๆ ที่ต้องเจอ อย่างที่เคยบอกว่าผมชอบกอดเธอ เหนื่อย ล้า เครียดผมก็ขอแค่ได้กอดเธอ เวลามีความสุขก็ขอกอดให้ได้รับรู้ และมันก็ลามมาถึงขอนอนด้วยเวลาดิ่งๆ หรือนอนไม่หลับนั่นแหละ วิปครีมเป็นทุกอย่างให้ผมแล้ว ผมก็อยากเป็นทุกอย่างให้เธอเหมือนกัน ตอนซื้อคอนโดเมื่อเริ่มทำงานได้สองปีก็เผื่อเวลาวิปครีมอยากมาอยู่ข้างนอก บอกให้เธอไม่ต้องเช่าคอนโดแล้วเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่จริงๆ ก็เผื่อตัวเองนั่นแหละ ผมใช้ทุกโอกาสที่มีที่จะได้เอาเธอมากอด หยอกล้อล่อหลอกหวังว่าเธอจะยอมหลงกล...แต่ไม่กล้าที่จะที่จะขอเธอด้วยความซื่อตรง ถ้าวิปครีมยังไม่โอเคกับผมแล้วปฏิเสธเหมือนตอนปีสองระยะห่างของเรามันจะกลับไปกว้างเท่าเดิมอีกไหม หรือผมจะทำเธอหล่นหายไปเลย มันน่ากลัวทั้งนั้น ได้แค่ก่นด่าตัวเองเวลานึกถึงว่าคืนนั้นผมไม่น่าพลาดเลย ถ้ารู้ใจและมั่นใจในตัวเองเร็วกว่านี้สักเสี้ยววินาที ผมคงกอดเธอได้แบบไม่กังวลว่าตื่นมาเธอจะหายไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD