มิตรภาพของเรา

1875 Words
“เป็นไปไม่ได้หรอก ในเมื่อฉันกับคุณเจอกันทีไรก็มีเรื่องกันประจำ” พูดจบเด็กหญิงก็สาวเท้ายาวๆ เดินหนีไปอีกทางพลางภาวนาขอให้รัญชิดามาถึงไวๆ “เพื่อนหลายคู่ก็ทะเลาะกันมาก่อนจะสนิทกันนะ” เขาเดินตาม ด้วยความที่ขายาว ไม่กี่ก้าวก็เดินขึ้นมาตีคู่กับคนตัวเล็กกว่าได้ “แต่ไม่ใช่ฉันกับคุณแล้วกัน” “ท่าทางเธอรังเกียจฉันมาก” ชาลีทำหน้าหงอย “ถูกเลย” “ถ้าเธอไม่ยอมเป็นเพื่อนกับฉัน ฉันคงต้องเหงาต่อไปอีกเป็นเดือนกว่าจะกลับอเมริกา” “เรื่องของคุณ” “โอเค… โอเค ฉันขอโทษจริงๆ ที่รบกวน” คนตัวสูงหยุดเดิน บอกอย่างยอมแพ้และก้มหน้าเศร้า เด็กหญิงหยุดตามโดยอัตโนมัติ และดีใจที่เขาถอดใจสักที “ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย” “ขอบคุณมากนะ อย่างน้อยเธอก็ทำให้ฉันหายเหงาได้ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้” คนขี้เหงาเงยหน้าขึ้นสบตาและยิ้มซาบซึ้ง ดวงตาเศร้าลึกและว้าเหว่ทำให้เวณิกาใจอ่อนยวบลงอย่างห้ามไม่อยู่ บ้าจริง ทำไมต้องสงสารนายชาลีด้วย ต้องดีใจสิที่เขาจะเลิกมาวุ่นวายตามตื๊อขอเป็นเพื่อน “ฉันสัญญาว่าจะไม่มาทำให้เธอรำคาญใจอีก” เขาเอ่ยเสียงรู้สึกผิด “ขอให้จริงเถอะ จะขอบคุณมากเลย” “ทำไมจะไม่จริงล่ะ ในเมื่อไม่มีใครต้องการฉัน ทั้งพ่อ แม่ หรือแม้กระทั่งเธอ ฉันจะดันทุรังอยู่ต่อไปทำไม บางทีฉันอาจจะไม่สมควรอยู่บนโลกใบนี้ก็ได้” ชาลีเอ่ยเสียงเศร้าจัด ก้มหน้าหันหลังเดินจากไปโดยดี เด็กหญิงกลับมานั่งรอรัญชิดาต่อที่ลานน้ำพุ พลางครุ่นคิดเรื่องเด็กชายชาวอเมริกัน เพราะคำพูดสุดท้ายของเขาชวนให้คิดมาก เธอผิดหรือเปล่านะที่ไม่ยอมเป็นเพื่อนกับเขา ทั้งที่รู้ดีว่าความเหงานั้นทรมานแค่ไหน แล้วที่ชาลีบอกว่าบางทีเขาอาจจะไม่สมควรอยู่บนโลกใบนี้ก็ได้ มันหมายความว่ายังไง ถ้าคิดง่ายๆ ก็คือเขาแค่บ่นเรื่อยเปื่อยเพราะเซ็งชีวิต แต่ถ้าคิดให้ลึก มันหมายความว่าเขาจะจบชีวิตตัวเองเพราะไม่มีใครต้องการหรือเปล่า หวังว่านายนั่นคงไม่คิดสั้นนะ โอ๊ย ถ้าเขาทำอย่างนั้นจริง เธอต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ เพราะเป็นคนที่ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายขาด เอายังไงดีนะ เธอควรจะวิ่งตามชาลีไปเพื่อบอกเขาว่าจะยอมเป็นเพื่อนด้วยดีหรือเปล่า เธอจะยอมฝืนใจตัวเองเป็นเพื่อนกับเขาในช่วงหนึ่งเดือนที่เขาอยู่ที่นี่ มันไม่ใช่เรื่องหนักหนาเท่าไหร่หรอก ถ้าแลกกับการช่วยชีวิตคนไว้หนึ่งชีวิต ถึงจะยังไม่รู้ว่าคำว่า ‘ไม่สมควรอยู่บนโลกใบนี้’ ของเขาหมายถึงความตายหรือเปล่า แต่เธอก็ไม่ควรรีรอใช่ไหม เพราะหากเกิดเรื่องร้ายขึ้นจริง ตอนนั้นคงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เธออาจจะคิดมากเกินไป แต่ก็ดีกว่าคิดน้อยไม่ใช่หรือ คิดได้ดังนั้น เวณิกาจึงลุกขึ้นพร้อมกับคว้าตะกร้าปิกนิกวิ่งไปยังทิศทางที่ชาลีเดินไปโดยไว หวังว่าจะตามทัน เพราะเขาเพิ่งเดินจากไปไม่ถึงห้านาที แต่ทว่าเธอไม่เห็นแม้แต่เงาของฝรั่งขี้เหงา สองวันแล้วที่เวณิกาไม่ได้พบชาลี และเป็นสองวันที่กระวนกระวายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายอาจจากโลกนี้ไปแล้ว “เวย์” เสียงเรียกและมือที่เขย่าแขนเบาๆ ทำให้เด็กหญิงได้สติ หลังนั่งใจลอยอยู่ในห้องเรียนพิเศษมาพักใหญ่ “มีอะไรเหรอดาด้า” เวณิกาถามเพื่อนหน้าเหลอหลา “คุณครูสอนจบแล้ว” คนที่สองวันก่อนไม่ได้ปิกนิกกันตามนัดเพราะเผลอหลับบอก “อ้าว จริงเหรอ” เธอถามแล้วก็ได้คำตอบเมื่อหันไปรอบๆ เห็นคนอื่นกำลังเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมออกจากห้อง เวณิกากลับถึงบ้านประมาณบ่ายสาม เด็กหญิงเดินผ่านห้องรับแขกก็พบลุงกับป้านั่งดูทีวีกันอยู่ จังหวะที่เธอเดินไปหยุดอยู่หน้าประตู พวกท่านก็หันมาเห็นพอดี “สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า” เด็กหญิงยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม ลุงชยศและป้าวิมาลารับไหว้ แล้วหญิงวัยกลางคนก็พยักหน้าเรียกให้เธอเข้าไปหา ขณะนั้นเอง เสียงผู้ประกาศข่าวจากโทรทัศน์ก็ทำให้ดวงตากลมโตของเวณิกาขยายกว้างอย่างตกใจ พบเด็กชายชาวต่างชาติฆ่าตัวตายที่คอนโดย่านสุขุมวิทเมื่อเช้านี้ คาดน้อยใจพ่อแม่ เด็กชายชาวต่างชาติฆ่าตัวตายย่านสุขุมวิทงั้นเหรอ! สิ่งที่ได้ยินทำให้เวณิกาขนลุกวูบ รู้สึกเย็นเยียบไปทั้งร่างกาย เธอยืนดูรายละเอียดของข่าวต่อ ด้านลุงชยศและป้าวิมาลาก็สนใจข่าวนี้ไม่แพ้กัน เพราะเหตุเกิดอยู่ในย่านที่บ้านทิพยวาริณตั้งอยู่นี่เอง ข่าวรายงานว่า เด็กชายคนนั้นเป็นชาวญี่ปุ่น อายุสิบห้าปี อาศัยอยู่ที่คอนโดคนเดียว โดยพ่อแม่ทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทย แต่บินไปๆ มาๆ ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น คาดว่าปมที่ทำให้คิดสั้นเกิดจากขาดความอบอุ่นนั่นเอง เท่าที่รู้ชาลีเองก็มีปมคล้ายๆ เด็กชายญี่ปุ่นคนนี้ที่พ่อแม่เอาแต่ทำงานไม่สนใจเขา จนทำให้เจ้าตัวเหงาหงอยเคว้งคว้าง ต้องออกมานั่งที่สวนสาธารณะคนเดียวโดยหวังจะมีใครสักคนมาเป็นเพื่อนคุยแก้เหงา แต่เธอภาวนาขออย่าให้เขาคิดทำแบบเดียวกันกับข่าวเมื่อครู่นี้เลย วันรุ่งขึ้นเวณิกาปั่นจักรยานที่ซ่อมเบรกแล้วมายังสวนสาธารณะและจอดใต้ต้นจามจุรีริมบึงน้ำ ที่ที่เจอชาลีครั้งแรกและมั่นใจว่าหากฝ่ายนั้นมาที่สวน เขาต้องมานั่งตรงนี้ เพราะปกติเวลาคนเราชอบที่ไหนก็มักจะไปที่นั่นประจำ เหมือนเธอและรัญชิดาที่เวลามาสวนทีไรก็จะไปนั่งบริเวณลานน้ำพุ หรือไม่ก็สนามเด็กเล่น เด็กหญิงนั่งมองผิวน้ำที่เป็นระลอกคลื่นพลิ้วสวยเมื่อสายลมพัดมาพลางทอดถอนใจ ชาลีจะไม่มาอีกแล้วจริงๆ เหรอ แล้วเขาหายไปไหนกัน จะว่ากลับอเมริกาแล้วก็ไม่น่าใช่ เพราะเจ้าตัวบอกเองว่าจะอยู่ที่นี่อีกประมาณหนึ่งเดือน หรือจะเก็บตัวร้องไห้อยู่ในห้อง ทรมานตัวเองด้วยการไม่กินข้าวกินน้ำ เพื่อให้ตายลงช้าๆ นายชาลี หวังว่านายคงไม่ทำร้ายตัวเองเพราะความเหงาหรอกนะ เวณิกาหลับตาลงพลางอธิษฐานขอพระเจ้าดลใจให้เขามีจิตใจเข้มแข็ง ไม่ปล่อยให้ความอ่อนแอนำพาไปสู่ความตาย ขอให้เขาคิดถึงพ่อ แม่ คนที่อยู่ข้างหลังให้มากๆ ขอให้เขามีพลังก้าวข้ามปัญหา ขอให้เขามองเห็นทางออก และขอให้เธอได้เจอเขาอีกครั้งด้วยเถอะ “ยัยตัวเล็ก” ดวงตากลมโตลืมขึ้นโดยพลันเมื่อได้ยินเสียงห้าวดังขึ้นตรงหน้า “ชาลี!” เวณิกาอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตา การขอพรของเธอได้ผลเร็วทันตาเห็นขนาดนั้นเชียวเหรอนี่ “คุณจริงๆ ใช่ไหม” เด็กหญิงยืนขึ้นและมองใบหน้าคมราวกับว่าหากกะพริบตาแล้วเขาจะสลายไปกับอากาศ “แล้วคิดว่าวิญญาณหรือไงเล่า” ดวงตาสีเทาพราวด้วยรอยขบขัน “ก็ใช่น่ะสิ คุณอาจจะเป็นวิญญาณแต่ไม่รู้ตัว” เธอเอ่ยเสียงจริงจัง “นี่เธอเป็นอะไร” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน วันนี้ยัยตัวเล็กดูซีเรียสชอบกล “ตกลงคุณยังไม่ตาย?” “ตาย?” “ใช่ ก็วันนั้นคุณบอกว่า ในเมื่อไม่มีใครสนใจ บางทีคุณอาจไม่สมควรจะอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป ฉันคิดว่าคุณจะกลับไปฆ่าตัวตาย” เวณิการู้สึกเหมือนความหนักอึ้งในใจถูกยกออกไปหมด ชาลีนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนดวงตาสีแปลกจะเป็นประกายพราวระยับเมื่อนึกขึ้นได้ เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าพูดอะไรออกไป วันนั้นก็แค่พูดประชดชีวิตด้วยความเซ็งเท่านั้นเอง แต่ไม่คิดเลยว่ายัยเด็กกะโปโลจะเก็บเอาไปคิดเป็นตุเป็นตะว่าเขาจะฆ่าตัวตาย อยากบอกเหลือเกินว่า มันไม่เคยอยู่ในความคิดด้วยซ้ำ แม้จะรู้สึกเหงา แต่เขาไม่ได้จิตตกจนถึงขั้นสามารถคิดสั้นได้ นี่เธอคงกังวลว่าจะเป็นต้นเหตุทำให้เขาฆ่าตัวตาย เลยออกมารอพบที่นี่สินะ แต่ไหนๆ เรื่องก็ดำเนินมาถึงตรงนี้แล้ว เขาก็จะเล่นตามตามน้ำแล้วกัน “ใช่ ตอนนั้นฉันคิดจะฆ่าตัวตาย แต่อีกใจบอกว่า ถ้าฉันมาที่นี่อีกครั้ง เธออาจจะยอมเป็นเพื่อนด้วย” ความจริงที่เขาหายไปสองวันเพราะเป็นไข้ไม่สบาย ไม่ใช่อย่างที่พูดสักนิด “คุณคิดถูกแล้วที่ยังไม่ได้ฆ่าตัวตาย เพราะฉันมาวันนี้เพื่อบอกว่า…จะยอมเป็นเพื่อนคุยแก้เหงาให้” “จริงเหรอ เธอไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม” ใบหน้าชาลีเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่แววตายังไม่วางใจ “จริงสิ ฉันไม่อยากให้คุณคิดสั้น ถ้าการคุยกับคุณจะช่วยได้ ฉันก็ยินดีจะเป็นเพื่อนคุยให้” “ไม่อยากเชื่อเลย” “แต่มีข้อแม้นะ” เวณิกาเอ่ยเสียงเป็นทางการ “เราจะเป็นเพื่อนคุยกันเท่านั้น จะไม่ถามเรื่องส่วนตัวนอกจากอีกฝ่ายจะอยากเล่าเอง” เธออยากกำหนดสถานะให้ชัดเจนไปเลย “เธอกลัวฉันจะจีบเหรอ” คนพูดทำหน้าเป็น “นั่นไง ไม่ทันไรคุณก็กวนประสาทอีกแล้ว หรือจะปล่อยให้ฆ่าตัวตายโดยไม่ต้องสนใจดี” “ไม่นะๆ ฉันสัญญาว่าจะไม่กวนประสาทเธออีก” ชาลีปฏิญาณตนหนักแน่น “ทำให้ได้อย่างที่พูดด้วยละ อ้อ แล้วก็ต้องสัญญาด้วยว่าจะไม่คิดฆ่าตัวตายอีก ทางออกของปัญหามีมากมาย ถ้าคุณไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงจริงๆ ก็ต้องหาคนปรึกษา จะเป็นเพื่อน พี่ คุณครู หรือใครก็ได้ที่ไว้ใจ ไม่ใช่ตัดสินใจทำอะไรโง่ๆ” “จ้า” เขารับคำด้วยภาษาไทยสำเนียงเพี้ยนๆ ก่อนสรุป “ตกลงเราเริ่มเป็นเพื่อนกันตั้งแต่วันนี้นะ ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการ” “อืม ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน” “เธอยังไม่ได้บอกชื่อเลย” “ฉันชื่อเวย์” เด็กหญิงตอบแล้วนั่งลงบนม้านั่ง “โอเค เวย์” ชาลีเดินมานั่งข้างๆ ก่อนจะตัดสินใจชวน “ไปกินไอติมที่ร้านฝั่งโน้นกันไหม” “คุณจะเลี้ยงเหรอ” เวณิกานึกอยากกินอยู่เหมือนกัน ถ้าเขาเลี้ยง เธอจะกินให้เต็มที่เลย “ได้! เพื่อฉลองมิตรภาพของเรา” เด็กชายเอ่ยเสียงกระตือรือร้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD