บทที่ 1.1 - เป็นที่น่ารังเกียจ (สมาชิกใหม่)

1382 Words
คุณค่าของความเป็นคน ไม่ได้วัดกันตรงที่ชาติกำเนิดเสมอไป “หนูอยู่ที่นี่นะลูก อยู่กับคุณปู่” เสียงของมารดาเอ่ยกับบุตรสาวตัวน้อย เด็กหญิงมองตรงไปยังเบื้องหน้าพบภาพสวยงามราวกับมีจิตกรฝีมือเยี่ยมบรรจงสร้างให้บังเกิด เรือนทรงสูงสีขาวช่างไม่คุ้นตาเอาเสียเลย เห็นทีคงไม่ใช่บ้านเรือนไทยอย่างที่เคยอยู่ สิ่งที่ปรากฏช่างตื่นตาตื่นใจสำหรับเด็กสาวนัก ให้ความรู้สึกเสมือนล่องลอยอยู่บนสวรรค์ หากปลายเท้าเล็กไม่ได้ติดแนบชิดกับพื้นดินล่ะก็ คงเพ้อละเมอได้พบพานเทวดานางฟ้าเป็นแน่ ความคิดของเด็กสาวเตลิดไปไกล… “ที่นี่เป็นบ้านของคุณปู่ของลูก” เสียงของมารดาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เด็กสาวขมวดคิ้วฉงน “คุณปู่หรือคะ?” น้ำเสียงเล็กใสเจื้อยแจ้ว “ใช่ลูก คุณปู่” มารดาย้ำอีกครา ใบหน้าสวยหวานส่งรอยยิ้มละไม ก่อนจะจูงมือเล็กป้อมให้เดินตามตนไปยังด้านใน สวนดอกไม้ส่งกลิ่นหอมราวกับรอคอยการมาเยือนของบุคคลทั้งสอง เด็กสาวที่ชื่นชอบในธรรมชาติเป็นพิเศษถึงกับยิ้มกว้างเมื่อเห็นความตระการตาตรงหน้า เหล่าผีเสื้อและแมลงตัวน้อยต่างพากันบินว่อนร่อนลมดอมดมกลีบดอกไม้สีสวยสดใส ใจอยากจะวิ่งไล่จับกับพวกมันเสียจริง ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้มีกิจสำคัญกำลังรออยู่ เด็กสาวแม้จะวัยละอ่อนนักหากก็รู้ความว่าอะไรเหมาะอะไรควร ด้วยว่ามารดาอบรมสั่งสอนมาเป็นอย่างดีถึงหลักการใช้ชีวิตและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น แม้กายจะน้อยนักทว่าหัวใจกลับยิ่งใหญ่กว่าผู้ใหญ่บางคนซะอีก “คุณแม่ขาสวยจังเลยค่ะ” มือเล็กป้อมเด็ดดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์หนึ่งดอกอย่างอดใจไม่ไหว พลันเสียงดังกัมปนาทก็ดังขึ้นท่ามกลางความครึ้มใจของเด็กสาว “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ด้วยความตกใจดอกกุหลาบแสนสวยหลุดร่วงหล่นตกลงสู่พื้นหญ้าเขียวขจี ดวงตากลมโตหวาดหวั่นยามบุคคลตรงหน้าสาวเท้าเข้ามาหา ใบหน้าสวยลออทว่าดุดันจ้องมองเธอด้วยนัยน์ตาไม่เป็นมิตร “กล้าดียังไงมาเที่ยวเด็ดดอกไม้ในบ้านของคนอื่น” ถ้อยคำติเตียนดังขึ้นต่อเนื่อง มองหญิงมากด้วยวัยวุฒิที่จูงลูกน้อยแล้วยิ้มเหยียด “นี่คงจะเป็นแม่อำไพ ภรรยาของคุณพี่วศันต์ใช่ไหม?” “ใช่ค่ะ” มารดาของเด็กสาวตอบเสียงเรียบ แววตานั้นไม่กล้าจดจ้องสตรีผู้สูงศักดิ์นานนัก ด้วยท่าทางเห็นทีคงมีอำนาจไม่น้อยในบ้านหลังนี้ “ฉันเป็นภรรยาของคุณวศิน พี่ชายของผัวเธอ” หญิงมากด้วยความงามเป็นฝ่ายแนะนำตัวแก่บุคคลทั้งสอง หางตานั้นหนามองคู่แม่ลูกอย่างเดียดฉันท์ ถ้าไม่ติดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเมียของพี่เขย หล่อนคงได้ตะเพิดเสียให้ เกลียดนักพวกไพร่ชั้นต่ำริอ่านคิดชุบตัวเป็นผู้ดี “แล้วเด็กนี่ใคร” ปรายหางตามองดวงหน้าเล็ก “ลูกสาวของดิฉันเองค่ะ” คนถูกถามตอบเสียงเรียบ “ลูกสาวงั้นหรือ?” ย้อนถามเสียงหยัน กอดอกมองเด็กหญิงตัวน้อยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แต่งกายหรือก็ไม่น่ามอง เสื้อผ้าอาภรณ์นั้นเก่านัก แบบนี้คงต้องระวังไม่ให้ลูกหญิงของเธอมาเกลือกกลั้วกับคนพรรณนี้ “ค่ะ ดิฉันมาหาคุณพ่อ” มารดาเด็กหญิงเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้าคงความสวยสดไม่แปรเปลี่ยน แม้จะมีชีวิตลำบากตรากตรำ ทว่าผิวเนื้อเจ้าหล่อนนั้นกลับขาวผุดผ่องราวกับผู้รากมากดี “ท่านไม่อยู่!” หญิงสาวแต่งกายดูดีเอ่ยเสียงเข้ม เริ่มร้อนรนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อได้ยินว่าอาคันตุกะต้องการพบประมุขของบ้าน “แต่ท่านให้คนมารับดิฉันกับลูกมาที่นี่” “คงมีเรื่องเข้าใจผิดกัน ไม่มีทางที่คุณพ่อจะให้เธอกับลูกมาเหยียบที่นี่” ถ้อยคำดูแคลนจนคนฟังเจ็บแปลบ ความรู้สึกนี้มาอีกแล้ว ความรู้สึกของการถูกเหยียดหยาม! “คงจะเป็นคุณกระมังคะที่เข้าใจผิด ท่านเป็นคนให้คนไปรับดิฉันและลูกมาที่นี่” มารดาเด็กหญิงย้อนแย้ง ซึ่งเธอไม่เคยทำกิริยาแบบนี้กับผู้ใดมาก่อน ท่าทางแข็งกร้าวของเธอทำคนฟังเดือดดาลเป็นที่สุด “ออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้ ออกไป!” ชี้นิ้วไล่สองแม่ลูก เด็กหญิงตัวน้อยน้ำตาคลอเมื่อเจอเสียงตะหวาดกร้าวของผู้ใหญ่ ร่างเล็กป้อมรีบหลบหลังมารดาตามสัญชาตญาณ แววตาหวาดหวั่นนักเมื่อคนตรงหน้ามองตัวราวกับเกลียดชัง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มกรอบหน้าหวานน่ารัก… “มีเรื่องอะไรกัน!” น้ำเสียงคมเข้มทว่าหนักแน่นดังขึ้นสยบทุกความขัดแย้ง ทั้งสามหันไปมองเจ้าของเสียงที่กำลังเดินใกล้เข้ามา แววตานั้นดุดันสมชายชาติทหาร ร่างสูงบึกบึนแม้จะมีวัยค่อนข้างมากแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่าเกรงขามลดน้อยลง ดวงตาอ่อนโยนยามทอดมองผู้มาเยือนตัวน้อยที่ยืนเคียงข้างมารดาอย่างกล้าๆ กลัวๆ รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปาก “นั่นลูกของเจ้าวศันต์ใช่ไหม?” สิบปีต่อมา ‘ฐิติวรดา’ ในวัยสาวสะพรั่งช่วยจัดสำรับสำหรับคนบนตึกใหญ่วางถาดสีเงินที่บรรจุอาหารคาวหวานยื่นส่งให้สาวใช้คนหนึ่ง “นี่จ้ะ” “แล้วคุณนิดไม่ขึ้นไปรับประทานบนตึกใหญ่ด้วยหรือคะ?” สาวใช้เอ่ยถาม หญิงสาวผู้มีชื่อเล่นนามว่า ‘นิด’ อมยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบเสียงราบเรียบ “ไม่หรอกจ้ะ ฉันว่าจะทานในครัวน่ะ” แววตาใจดีแผ่กระจายไปยังบ่างไพร่ทุกหมู่เหล่า ทุกคนในที่นี้ต่างรักใคร่เธอด้วยกันทั้งสิ้น เนื่องจากหญิงสาวเป็นคนมีจิตใจดีราวกับนางฟ้าลงมาจุติ ช่างต่างกับสตรีอีกคนเสียเหลือเกิน ข้อเปรียบเทียบนี้ยิ่งทำให้ฐิติวรดาได้ใจทุกคนไม่ยากนัก… “แหม คุณนิดขา ทำไมต้องมาทานในครัวด้วยล่ะคะ เกิดคุณท่านถามถึงหนูจะตอบว่ายังไง” คนพูดทำหน้ามุ่ย “ก็เรียนคุณปู่ตามที่ฉันบอกนั่นแหละจ้ะ ไม่ต้องคิดมากนะ” หญิงสาวยิ้มให้อีกครา เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผลสาวใช้คนนั้นจึงปล่อยผู้เป็นนายได้ทำตามใจ เดินถือถาดอาหารสีเงินที่มีฝาปิดกันฝุ่นผงขึ้นไปยังตึกใหญ่ตามคำสั่ง ฐิติวรดามองตามหลังสาวใช้… ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากไปร่วมรับประทานอาหารกับคุณปู่ เพียงแต่รู้ตัวดีว่ามีคนรังเกียจรังงอนจึงขอเลือกที่จะอยู่เงียบๆ อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวเสียดีกว่า ร่างบางไม่อยากให้ผู้อาวุโสต้องลำบากใจกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อะไรเลี่ยงได้เธอก็อยากจะเลี่ยงเพื่อประคับประคองความเป็นอยู่ให้ยั่งยืน “แล้วทำไมคุณนิดถึงไม่มาทานด้วยกันล่ะ หืม…” เสียงเข้มของชายชราเอ่ยถามหลังจากไม่เห็นหลานสาวคนเล็กเดินตามมาด้วย ส่งเพียงเครื่องคาวหวานมาให้เท่านั้น “คุณนิดเธอให้เรียนคุณท่านว่าขอรับประทานอาหารในครัวค่ะ” สาวใช้เอ่ย ท่าทีนอบน้อมยิ่งเวลาอยู่ต่อหน้าผู้เป็นนายใหญ่ของบ้าน “อะไรกันนะเจ้าหลานคนนี้ ทำไมชอบไปทานข้าวในครัวนัก” ผู้เป็นปู่ส่ายหน้า ไม่ได้นึกตำหนิแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกชอบใจที่แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นนาย หากเจ้าหล่อนกลับไม่ถือเนื้อถือตัวกับบรรดาบ่าวไพร่ ไม่เหมือนกับ… “ก็คงอยากหาพรรคหาพวกมั้งคะ” เสียงแหลมสูงเอ่ยพลางเบ้ริมฝีปาก มารดายิ้มที่บุตรสาวของตนพูดจาถูกอกถูกใจ “หาพรรคหาพวกอะไรกันหญิง แกมันก็พูดไปเรื่อย” ชายชราตำหนิติเตียนหลานสาวคนโต ‘มาริษา’ หรือผู้มีชื่อเล่นนามว่า ‘หญิง’ เจ้าหล่อนเป็นบุตรสาวของคุณ ‘ภัคคิณี’ ภรรยาของคุณ ‘วศิน’ ผู้มีศักดิ์เป็นลุงของฐิติวรดา เนื่องด้วยบิดาของเธอเป็นน้องชายเพียงคนเดียวของวศิน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD