บทที่ 2.2 - งานเลี้ยงต้อนรับคนสำคัญ (ถูกหมายหัว)

1078 Words
“จริงเหรอนังบุญมี!” เสียงแหลมสูงอันเป็นเอกลักษณ์ดังขึ้นเมื่อได้ฟังความจากคนรับใช้คนสนิท สองมือกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูนขึ้น ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นติดกันจนเป็นเส้นตรง บุญมีพอเห็นนายสาวมีท่าทีโกรธก็รีบเติมเชื้อไฟลงไปทันที “จริงสิคะคุณหญิง บุญจะปดคุณหญิงไปทำไมกันคะ นังกาฝากนั่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตอนถามถึงคุณกฤต แหม… คงหวังจะงาบคุณกฤตไปเป็นของตัวเองเสียกระมัง” คนพูดจีบปากจีบคอพยายามสร้างสถานการณ์ให้เลวร้าย เจ้าหล่อนชอบนักกับเรื่องเสี้ยมเรื่องใส่สีตีไข่ ให้บทสนทนามีรสชาติขึ้นมาไม่เห็นจะแปลกอะไร “นังหน้าด้าน แกคิดจะแย่งทุกอย่างไปจากฉันหรือไง” มาริษาโกรธจัด นัยน์ตาเจ้าหล่อนวาวโรจน์น่ากลัว “ต่อให้อยากแย่งยังไงก็คงแย่งไม่ได้หรอกใช่ไหมคะ?” บุญมีถือโอกาสอวยปนยั่วยุไปในตัว ซึ่งมันก็ได้ผลเมื่อร่างอรชรลุกขึ้นจากเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สาวเท้าเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่ ทอดมองหญิงสาวอีกคนที่กำลังจัดแต่งดอกไม้นานาพรรณตามซุ้มสวย “ใช่! ฉันไม่มีวันยอมให้พี่กฤตตกเป็นของใครเด็ดขาด โดยเฉพาะลูกของนังผู้หญิงหยำฉ่าอย่างมัน” คนพูดกัดฟันขบเม้มไปมา มาริษาพึงใจชยกฤตตั้งแต่แรกพบ ด้วยความที่ชายหนุ่มนั้นรูปงามและมากล้นด้วยสติปัญญา หนำซ้ำชาติตระกูลก็ไม่ได้น้อยหน้าแต่อย่างใด เพียงแต่บิดามารดาประสบอุบัติเครื่องบินตกเสียชีวิตพร้อมกัน ทำให้เด็กชายวัยสิบขวบกำพร้าผู้มีพระคุณอย่างน่าใจหาย เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อมารู้ความจริงในวันเปิดพินัยกรรมว่าบิดามารดามีหนี้สิ้นมากมายท่วมตัว ทำให้เจ้าหนี้ตามมายึดทรัพย์สมบัติจนหมดสิ้น เหลือเพียงบ้านหลังน้อยที่เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ผู้ให้กำเนิดทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า เวลานั้นภัคคิณีรู้ข่าวจึงรับชยกฤตเป็นบุตรบุญธรรมส่งเสียให้เล่าเรียนจนจบในระดับที่หวังไว้ เนื่องด้วยเธอเป็นเพื่อนสนิทของแก้วใจมารดาของชายหนุ่ม จึงทนไม่ได้ที่เห็นลูกของเพื่อนรักตกระกำลำบาก ชยกฤตเองก็สำนึกในบุญคุณภัคคิณีมาโดยตลอด เขาตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนเป็นที่ประจักษ์แก่ความเฉลียวฉลาด และเมื่อสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย ภัคคิณีจึงขอร้องแกมบังคับให้เขาย้ายเข้ามาอยู่กับตนที่กรุงเทพฯ ด้วยหมายจะส่งเสียให้ได้เข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง ชายหนุ่มเห็นแก่ผู้มีพระคุณที่ตามตื้อตนมานาน อีกทั้งมีความฝันอยากศึกษาต่อด้านบริหาร จึงย้ายตามมาอยู่ในฐานะบุตรบุญธรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย และด้วยความเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เขาจึงเป็นที่รักใคร่ของผู้คนภายในบ้าน ไม่เว้นแม้กระทั่งประมุขที่มีอำนาจสูงสุดอย่างคุณท่าน ความเก่งกาจในเชิงธุรกิจทำให้ชายชราเห็นแวว จึงส่งไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ข้อนี้ภัคคิณีปลาบปลื้มยิ่งนัก หล่อนดีใจที่พ่อสามีไม่นึกรังเกียจในตัวชยกฤษเหมือนที่เคยเป็นกังวล “เพราะพี่กฤตต้องเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น!” ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบๆ บริเวณอย่างอารมณ์ดี… จมูกโด่งได้รูปสูดดมกลิ่นหอมจากไม้ดอกนานาชนิดเข้าปอดระคนกลิ่นพื้นหญ้าอันเขียวขจี นานแค่ไหนกันนะที่เขาไม่ได้กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิด เมืองผู้ดีแม้จะศรีวิไลรุ่งเรืองกว่าเป็นไหนๆ หากทว่ากลับไร้ความอบอุ่นเสมอเหมือนอยู่เมืองไทย เขาเชื่อแล้วว่าคนไทยไปอยู่ที่ใดในโลกย่อมได้ แต่ถ้าคิดจะปักหลักสร้างฐานอยู่ที่นั้นๆ ไปตลอดชีวิต ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน! “จะให้ผมไปตามคุณนายท่านหรือไม่ครับคุณกฤต” คนขับรถเอ่ยถามหลังจากจัดการยกกระเป๋าเดินทางลงจากหลังรถคันหรู ชยกฤตส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มพลางทำท่าเอามือจ่อที่ริมฝีปากเป็นเชิงห้ามพูด “ฉันตั้งใจจะเซอร์ไพรส์คุณป้ากับน้องหญิง” เสียงเข้มเอ่ย แววตานั้นทะเล้นเหลือร้าย หากใครมาเห็นเขาในยามนี้คงไม่อยากเชื่อว่าจะมีดีกรีเป็นถึงนักเรียนนอก ความสุขุมที่มียังต้องแพ้ให้กับมุมเล่นสนุกราวกับเด็กชายตัวเล็กก็ไม่ปาน “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวเอาของไปเก็บที่เรือนเล็กก่อนนะครับ” คนขับรถเอ่ยอย่างรู้งาน “ไปเถอะ ขอบใจนายมาก” มือหนาตบบ่าคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม เรือนหลังเล็กเป็นบ้านที่เขาสร้างขึ้นเพื่อใช้อาศัยหลับนอนสมัยที่อยู่ภายในคฤหาสน์หลังงามแห่งนี้ แม้คราแรกภัคคิณีจะไม่เห็นด้วยเพราะอยากให้อยู่ด้วยกันบนตึกใหญ่ แต่พอชายหนุ่มให้เหตุผลถึงความเจียมเนื้อเจียมตัวด้วยรู้สถานะของตนดี แม้จะถูกยกย่องไม่ต่างอะไรกับลูกหลานในวงศ์ตระกูลแต่เขาไม่เคยมักใหญ่ใฝ่สูงอยากได้อยากมีในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน ภัคคิณีจึงต้องยอมตามใจปล่อยให้บุตรบุญธรรมเกณฑ์เพื่อนฝูงและอาศัยสติปัญญาอันชาญฉลาดออกแบบแปลนบ้าน เพื่อส่งต่อให้ช่างฝีมือดีสร้างบ้านหลังน้อยที่แม้แต่ตนมองก็ยังแอบชอบไม่เบา ตึกใหญ่ยังคงเหมือนเดินไม่แปรเปลี่ยน สวยงามอย่างไรก็ยังสวยงามอยู่อย่างนั้น สีทองอล่ามสว่างตาช่างสมแล้วกับฉายาที่ผู้คนต่างขนานนามให้เป็นคฤหาสน์สีทอง เขาเองบุญนักหนาที่ได้มีวาสนาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ เมื่อสิ้นบารมีบุพการีที่รักก็มีเพียงคุณป้าภัคคิณีที่เลี้ยงดูส่งเสียราวกับเป็นแม่บังเกิดเกล้า ชายหนุ่มรู้สึกรักและเคารพยิ่งนัก รวมไปถึงประมุขสูงสุดที่เขายังจำได้ว่าท่านมีเมตตามากเพียงใดต่อเด็กยากไร้ผู้นี้ “นี่คงเตรียมการจัดงานเลี้ยงให้เราสิท่า” พูดแล้วยิ้มมุมปาก หลายวันก่อนพอรู้ว่าเขาจะกลับเมืองไทย มาริษาก็ตื่นเต้นดีใจส่งรูปภาพดอกไม้และเวทีที่คุณแม่ของเจ้าหล่อนสั่งทำเป็นพิเศษมาให้ดูทางไลน์ เขาเพิ่งได้เห็นของจริงเสียวันนี้ ต้องยอมรับว่าช่างอลังการกว่าในรูปยิ่งนัก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD