งานเลี้ยงต้อนรับชยกฤตเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฐิติวรดาไม่ได้ไปร่วมงานแต่อย่างใด แม้คุณปู่จะให้คนมาตามแต่หญิงสาวก็ยืนกรานปฏิเสธ เธอไม่ต้องการไปเป็นที่รำคาญใจของภัคคิณีและมาริษา เนื่องรู้ดีว่าเขาไม่ชอบก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องเฉียดใกล้ให้อึดอัดซึ่งกันและกัน หญิงสาวจึงขอทำหน้าที่คอยดูแลเรื่องอาหารและเครื่องดื่มแต่ภายในในครัว รสชาติคาวหวานถูกปากแขกเหรื่อทั้งงาน ต่างพากันชื่นชมเป็นเสียงเดียวว่าอร่อยหาที่ติไม่มี ภัคคิณีและมาริษายิ้มรับทุกคำชมจากผู้ดีตระกูลดังทั้งหลาย แต่ภายในใจริษยาอีกฝ่ายเหลือคณา
“เมื่อคืนแขกทุกคนชมว่าอาหารที่คุณทำอร่อยมาก” เสียงเข้มเอ่ยหลังจากดักรอเจ้าหล่อนตรงสวนดอกไม้หลังตึกใหญ่
ใช่… ดักรอ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน รู้เพียงแต่ว่าเขาอยากคุยกับเธอ อยากเห็นหน้า อยากได้ยินเสียงหวานๆ อีกครั้ง ฝ่ายหญิงสาวเองก็ตกใจไม่น้อยด้วยไม่คาดคิดว่าจะเจอชายหนุ่มที่นี่ ใบหน้านวลเกิดความลำบากใจเมื่อต้องอยู่กับเขาสองต่อสอง ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบบริเวณอย่างระแวดระวัง
“คุณฐิติวรดาเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
คนตัวโตถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย
“ฉันว่าเราสองคนอย่าพูดคุยกันจะดีกว่านะคะ” เสียงหวานเอ่ย คำพูดของเธอทำให้เขาขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะยิ้มมุมปาก
“ทำไมครับ ผมไม่เข้าใจ”
นั่นสิ ทำไมต้องห้ามพูดคุยกันด้วยล่ะในเมื่อคนอยู่บ้านเดียวกัน ความจริงเขาออกจะสงสัยด้วยซ้ำว่าเหตุใดเธอถึงไม่ไปทานข้าวบนตึกใหญ่ ทุกครั้งที่รับประทานอาหารคุณท่านจะถามถึงเธอเสมอ และมักจะได้รับคำตอบว่าเธอขอตัวทานในครัวร่วมกับบ่าวไพร่คนอื่นๆ เขาไม่เข้าใจผู้หญิงคนนี้เสียจริง มีศักดิ์เป็นถึงหลานสาวของคุณท่านซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน แต่เหตุใดถึงชอบขลุกตัวอยู่แต่ในครัวหรือไม่ก็สวนดอกไม้
“มันไม่เหมาะค่ะ” ฐิติวรดาตอบเสียงเรียบ
“ไม่เหมาะยังไงครับ” ฝ่ายร่างสูงไม่ยอมเข้าใจเสียที เอาแต่ถามในสิ่งที่ตนค้างคาใจ
“คุณเป็นพี่ชายของคุณหญิง และคุณน่าจะรู้ดีว่าคุณหญิงไม่ชอบฉัน การที่คุณมาคุยกับฉันนั่นเท่ากับว่าคุณกำลังเปิดช่องทางให้คุณหญิงเข้ามาหาเรื่องฉัน ขอประทานโทษค่ะ ฉันไม่อยากเดือดร้อน” ร่างบางจ้องดวงตาคมกริบจริงจัง ทุกคำพูดล้วนแล้วแต่กลั่นออกมาจากความรู้สึกทั้งสิ้น
“ผมขอโทษ…” ใบหน้าหล่อเข้มสงบนิ่ง “ผมเพียงแต่อยากทำความรู้จักกับคุณก็เท่านั้น”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ตัวฉันเป็นเพียงลูกของผู้หญิงหากิน เป็นแค่ไพร่ไม่มีค่ามากพอให้คุณอยากรู้จักหรอกค่ะ” ฐิติวรดาเอ่ยอย่างคนน้อยเนื้อต่ำใจ ตั้งแต่มาอยู่บ้านหลังนี้หญิงสาวไม่เคยมีความสุขเลยสักครั้ง แม้จะได้รับความรักความเมตตาจากผู้เป็นปู่ หากนั่นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าหล่อนรู้สึกสบายใจยามอยู่ในที่แห่งนี้
ถ้าเลือกได้หญิงสาวอยากกลับไปอยู่กับมารดาที่เพชรบูรณ์เสียมากกว่า
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะครับ ยังไงซะคุณก็คือหลานสาวคนหนึ่งของคุณท่าน” ชยกฤตไม่เข้าใจว่าเธอจะต้องพูดจากดตัวเองให้ต่ำลงเพื่ออะไร
“ฉันทราบค่ะ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันภาคภูมิใจมาจนถึงทุกวันนี้” เสียงหวานเอ่ย ดวงตากลมโตมีน้ำใสเอ่อคลอหากก็พยายามไม่ให้มันไหลต่อหน้าเขา เธอไม่ชอบร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น ไม่อยากให้ใครมองว่าอ่อนแอ
ก่อนมารดาจะจากไปแล้วทิ้งให้เธอเผชิญโลกแห่งความโหดร้ายในคฤหาสน์หลังนี้เพียงลำพังนั้น มารดากำชับให้บุตรสาวเข้มแข็งและกตัญญูต่อผู้มีพระคุณทุกคน โดยเฉพาะผู้เป็นปู่ ประมุขใหญ่ของบ้านที่เปรียบเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นที่พึ่งสำหรับลูกหลานและบ่าวไพร่น้อยใหญ่
“คุณ… โอเคไหมครับ?” ชยกฤตรู้สึกเป็นห่วงหญิงสาว เท้าหนาขยับเข้าไปใกล้แต่เจ้าหล่อนรีบถอยห่างอย่างระวังตัว ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ผมว่า…” เสียงเข้มยังพูดไม่ทันจบประโยคก็มีเสียงแหลมสูงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“พี่กฤตคะ คุณปู่เรียกให้พบค่ะ”
มาริษาเดินเข้ามาหาชายหนุ่ม สาวสวยสุดมั่นมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเกลียดชังระคนตำหนิ ฐิติวรดาทำท่าจะเดินจากไปด้วยไม่อยากมีปัญหา แต่เธอคิดผิด… เพราะคราวนี้บุตรสาวของภัคคิณีไม่มีวันปล่อยให้จำเลยลอยนวล
“เดี๋ยวอย่าเพิ่งไป” น้ำเสียงวางอำนาจเอ่ยขึ้น ชยกฤตถอนหายใจ รับรู้ถึงศึกหนักที่กำลังมาเยือน
ฐิติวรดาหันหน้ามาเผชิญกับผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้อง…
“พรุ่งนี้เพื่อนของฉันจะมาเที่ยวบ้าน ช่วยเตรียมอาหารต้อนรับเพื่อนฉันด้วย” มาริษาสั่งการ
“แล้วทำไมหญิงต้องไปใช้คุณฐิติวรดาเขาด้วยล่ะ ในเมื่อแม่ครัวเราก็มี” ชยกฤตทักท้วง ท่าทีไม่เห็นด้วยชัดเจน
“แล้วหญิงจะใช้แม่ครัวไปทำไมกันคะ ในเมื่อเรามีคนที่ทำอาหารอร่อยจนแขกเหรื่อชมไม่ขาดปาก ดีเสียอีกจะได้ช่วยให้แม่นี่ฝึกปรือฝีมืออีกด้วย ไหนๆ ก็เลือกเรียนคหกรรมแล้วนี่”
น้ำเสียงดูแคลนชัดเจน
มาริษาและฐิติวรดาร่ำเรียนอยู่ในระดับอุดมศึกษาด้วยกันทั้งคู่ เพียงแต่เจ้าหล่อนเลือกเรียนบริหารธุรกิจภาคอินเตอร์ที่มหาวิทยาลัยเอกชลชื่อดังแห่งหนึ่ง ส่วนร่างบางสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐบาลอันดับต้นๆ ของประเทศได้ หล่อนยังจำวินาทีที่ผู้เป็นปู่รู้ผลเอ็นทรานซ์ของฐิติวรดาได้ไม่ลืม
วันนั้นท่านมอบกำไลข้อมือเพชรแท้ให้กับศัตรูชีวิต ความอิจฉาริษยายิ่งเพิ่มทวีคูณเป็นเท่าตัว
“คุณเรียนคหกรรมหรือครับ” ชยกฤตถามด้วยรอยยิ้ม ถึงว่าทำไมรสมือการปรุงอาหารของเธอถึงอร่อยนัก อีกทั้งฝีมือการแกะสลักผักผลไม้ยังหาตัวจับยากทีเดียว
“แล้วคุณหรือเปล่าที่จัดแจกันดอกไม้ในงานเลี้ยงต้อนรับผม” เขาถามขึ้นอีกครั้ง ฝ่ายหญิงสาวพยักหน้าแทนคำพูด
“พี่กฤตคะ หญิงว่าพี่กฤตรีบไปพบคุณปู่เถอะค่ะ ประเดี๋ยวท่านจะรอนาน” มาริษาไม่พอใจที่เห็นแววตาชื่นชมของชายหนุ่มที่มีต่ออีกฝ่าย
“จริงด้วยสิ” ชยกฤตเพิ่งนึกขึ้นมาได้ “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ประโยคสุดท้ายเขาพูดกับสาวน้อยหน้าหวาน
“อย่าคิดจะยุ่งกับพี่ชายของฉัน!” เมื่อเห็นว่าชยกฤตเดินจากไปแล้วมาริษาก็รีบเปิดศึกกับฐิติวรดาทันที
“ฉันไม่เคยคิดยุ่งกับพี่ชายของคุณค่ะ” สาวเจ้าบอกเสียงเรียบ ท่าทีนิ่งสงบในแบบที่ตนชอบทำ
“ให้มันจริงเถอะนังตัวดี อย่าคิดนะว่าฉันรู้ไม่เท่าทันเธอ” มาริษากอดอกมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูก
“แล้วคุณรู้อะไรคะ?” ฐิติวรดาย้อนถาม เกิดความรู้สึกขุ่นมัวขึ้นมาบ้างเสียแล้ว สายตาของเจ้าหล่อนที่มองมายังตนนั้นสามารถดับความใจเย็นที่พยายามสร้างได้จนหมดสิ้น
“พอเห็นพี่กฤตหล่อเหลาการศึกษาดีเข้าหน่อยก็คิดจะจับ คงหวังจะใช้พี่กฤตเป็นสะพานให้ตัวเองไต่ขึ้นไปเป็นผู้ดีซินะ เธอมันก็คงเหมือนแม่ของเธอที่ชอบคิดจับผู้ชายรวยๆ”
“กรุณาอย่าก้าวร้าวแม่ของฉัน!”
น้ำเสียงหวานใสดั่งระฆังแก้วขุ่นมัว