บทที่ 3.2 - ปะทะคารม (ครอบครัว) (จบตอน)

1383 Words
“ฉันจะพูดใครจะทำไม!” มาริษาไม่ยอมแพ้เช่นกัน เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายเป็นเดือดเป็นร้อน ซึ่งเธอสะใจนักที่กระตุกต่อมความไม่ดีของญาติผู้น้องได้ “ถ้าแม่แกไม่วางแผนจับคุณอาวศินจนมีแกออกมา คิดเหรอว่าชาตินี้จะได้มีโอกาสเข้ามาชูคออยู่ในคฤหาสน์หลังงามแห่งนี้ อย่างมากก็คงหนีไม่พ้นขายตัวอยู่ที่ซ่องไหนสักแห่ง!” “คุณหญิง!” “อย่ามาขึ้นเสียงใส่ลูกฉันนะนังกาฝาก” ภัคคิณีที่ยืนแอบฟังอยู่นานปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความเดือดดาลที่บุตรสาวของตนเป็นคนจุดปะทะ หญิงวัยกลางคนหากความงามยังคงอยู่ปรายตามองเด็กสาวที่เธอนั้นเกลียดสุดขั้วหัวใจ “แกเป็นใคร ลูกฉันเป็นใคร หัดเจียมกะลาหัวเสียบ้าง” คนพูดดูแคลน ยกมือโอบไหล่บางของแก้วตาดวงใจ “ลูกหญิงเองก็ไม่น่าลงมาเกลือกกลั้วกับคนพรรณนี้เลยลูก เกิดเป็นหงส์ก็ควรอยู่ส่วนหงส์ จะบินร่อนเรี่ยดินให้อีกามันจิกใส่ได้ยังไงกัน!” ทุกถ้อยคำช่างเสียดแทงคนฟังเหลือคณานับ… ใบหน้านวลลออที่เคยมีแต่รอยยิ้มบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความขึงขัง ฐิติวรดาช้อนดวงตาขึ้นมองสตรีต่างวัยทั้งสองพลางแสยะยิ้มมุมปาก “แกยิ้มแบบนั้นหมายความว่าไง!” มาริษาถามเสียงแข็ง “ก็ยิ้มให้กับความเป็นหงส์ของคุณหญิงยังไงล่ะคะ” ร่างบางตอบเสียงหวาน ทว่ามันคือการจีบปากจีบคอพูดต่างหาก “จริงอย่างที่คุณป้าท่านว่า คุณหญิงเกิดเป็นหงส์ควรอยู่บนฟ้าไม่ควรลงมาเกลือกกลั้วกับอีกาเยี่ยงฉัน” “สำนึกได้ก็ดีแล้ว” ภัคคิณีเยาะหยัน “ฉันสำนึกตลอดเวลาค่ะว่าเป็นอีกา ไฉนเลยคิดจะเป็นหงส์ก็ไม่กล้ามากพอ อีกาก็คืออีกา อยู่กับดินกับทรายจนชินเสียแล้วค่ะ ต่างกับคุณหญิงนะคะ” “ต่างยังไง!” มาริษาถามต่อ แววตาแข็งกระด้าง “ก็ต่างตรงที่คุณหญิงยังคงไม่สำนึกว่าตัวเองไม่ใช่หงส์แท้ยังไงล่ะคะ” ฐิติวรดาพูดเสียงใส ทำหน้าบริสุทธิ์ยียวน “นังกาฝาก นี่แกกล้าด่าลูกฉันเหรอ” ภัคคิณีชี้หน้าหญิงสาว “คุณป้าคะ ใครจะไปกล้าด่าคุณหญิงกัน เพียงแต่อยากเตือนให้มีสตินึกคิดอยู่ตลอดเวลา คนบางคนมโนว่าตัวเองสูงศักดิ์เหนือผู้อื่น คิดจะเป็นหงส์แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นได้แค่…” หญิงสาวเว้นคำพูดเอาไว้พลางยิ้มมีเลศนัย “ห่านตัวหนึ่งก็เท่านั้น!” สองแม่ลูกเบิกตากว้าง… เสมือนถูกไม้หน้าสามฟาดเข้าที่ใบหน้าอย่างแรง สองแม่ลูกอ้าปากค้างไม่คิดว่าจะถูกคนที่ตัวเองกดจิกหัวใช้อยู่ทุกเชื่อวันด่าทออย่างเจ็บแสบ ครั้นพอจะตอบโต้กลับอีกฝ่ายก็ไม่อยู่ให้ทำตามที่ต้องการ ร่างบางเดินหายลับพ้นจากคลองสายตา “มันด่าหญิงคุณแม่ มันด่าหญิง!” มาริษาจิกเล็บลงบนฝ่ามือ กัดริมฝีปากจนห้อเลือด แค้นใจนักที่มัวแต่ยืนนิ่งให้เลือดไพร่มาด่าทอ “แม่รู้ลูก แม่รู้” ภัคคิณีปลอบประโลมบุตรสาว สายตาอาฆาตแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ‘นังกาฝาก แกไม่มีวันได้อยู่ดีมีสุขแน่!’ ก๊อกๆ มือหนาเคาะประตูสามครั้งตามมารยาท รอให้อีกฝ่ายตอบรับการมาเยือนของตน ไม่นานผู้อาวุโสที่นั่งทำงานอยู่ด้านในก็อนุญาตให้อาคันตุกะเข้าพบได้ ใบหน้าหล่อเหลาสุขุมขึ้นเมื่อต้องอยู่กับประมุขของบ้านตามลำพัง ชยกฤตนับถือท่านเสมือนบิดาผู้ให้กำเนิด เขาได้อะไรจากผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน ไม่เพียงแต่ส่งเสียเงินทองให้ไปร่ำเรียนวิชาความรู้ถึงต่างแดน แต่เขานั้นได้รับความรักและความเมตตาจนไม่รู้สึกขาดสิ่งใด “ตั้งแต่กลับมาเรายังไม่ได้คุยกันจริงๆ จังๆ เลยนะ” ชายชราเป็นฝ่ายเปิดประเด็นก่อนคนแรก “ครับ คุณท่านยุ่งมาก” ชายหนุ่มตอบตามที่เห็น แม้จะมีวัยที่มากแล้วแต่ชายชราผู้นี้ก็ยังทำงานหนักไม่แปรเปลี่ยน เพราะท่านเป็นคนขยันและมีสติปัญญาอันชาญฉลาด ธุรกิจที่ทำถึงได้เจริญรุ่งเรืองมาจนถึงทุกวันนี้ “ก็อยากจะวางมือแล้วล่ะ” เสียงแหบแห้งเอ่ย “หมายความว่ายังไงครับ?” ชยกฤตขมวดคิ้วถาม คนฟังยิ้มเอ็นดูพลางมองสบนัยน์ตาคมเข้ม “ไม่อยากทำงานพิสูจน์ฝีมือเสียหน่อยหรือ” ชายชราเอ่ยถาม ก่อนจะพูดต่อ “ฉันส่งให้เธอไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาก็เพราะต้องการให้เธอมาช่วยกิจการของครอบครัว” คำว่า ‘ครอบครัว’ ทำให้หัวใจที่แห้งแล้งชุ่มช่ำเสมือนได้รับน้ำทิพย์จากฟ้า คำๆ นี้เขาเคยคิดว่าคงไม่มีวันได้นึกถึงอีกแล้วนับแต่คราวผู้ให้กำเนิดจากไป ใครจะคิดหนอว่าสวรรค์ยังเข้าข้างคนอย่างเขา ส่งผู้มีเมตตามารับอุปถัมภ์อุ้มชู บุญคุณครั้งนี้ต่อให้ตอบแทนทั้งชีวิตก็ไม่สามารถชดใช้ได้! “แต่ว่า…” ชยกฤตยังคงแอบหวั่นกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ “ไม่มีแต่… ฉันตัดสินใจดีแล้ว” ชายชราตัดบทเสียงมั่น เขามองชายหนุ่มผู้นี้มานานนัก ชยกฤตเป็นคนดีและเป็นคนเฉลียวฉลาดมีไหวพริบปฏิภาณอันดีเยี่ยม ตัวเขาเองก็แก่ชราภาพลงไปทุกวัน อีกทั้งลูกหลานที่มีเหลืออยู่ก็มีแต่ผู้หญิง ไม่มีผู้ชายให้สืบทอดวงศ์ตระกูลสืบไป จะมีก็แต่ร่างสูงคนนี้คนเดียวเท่านั้นที่จะพอฝากฝังให้ดูแลสิ่งต่างๆ ที่ตนและลูกชายอีกสองคนสร้างเอาไว้ได้ พอคิดไปถึงบุตรชายทั้งสองชายชราก็เจ็บปวดยิ่งนัก ความตายพรากเอาคนที่รักไปจนหมดสิ้น ดีแค่ไหนที่พวกเขายังทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขเอาไว้ให้ดูต่างหน้า “ฉันจะแต่งตั้งให้เธอเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ” ประโยคที่ได้ยินนั้นทำเอาภัคคิณีดีใจแทบตัวลอย หญิงวัยกลางคนที่แอบยืนฟังคนทั้งสองจากด้านนอกอดตื่นเต้นไม่ได้ ในที่สุดอำนาจในการปกครองก็ตกเป็นของชยกฤตบุตรบุญธรรม ที่เธอสนับสนุนเขาเพราะต้องการควบคุมอำนาจทุกอย่างไว้กับตัว หากวันดีคืนดีพ่อสามีเกิดหลงนังกาฝากนั่นจนมอบทุกอย่างให้กับมันก็จบเห่กันพอดี ไม่มีทางที่คนอย่างเจ้าหล่อนจะปล่อยให้ใครมาชุบมือเปิบ ที่สู้ดักดานอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้มานานนับหลายสิบปีหลังจากสามีตายก็นับว่าเป็นการลงทุนที่มากโขแล้ว เธอจะไม่มีวันยอมให้สมบัติแม้แต่แดงเดียวตกเป็นของฐิติวรดาเด็ดขาด! “ดีใจกับตำแหน่งใหม่ที่ได้รับด้วยนะจ๊ะคนเก่งของป้า” ชยกฤตที่เพิ่งลงมาจากชั้นบนตกใจเล็กน้อยที่คนตรงหน้าทักเขาด้วยรอยยิ้มหวาน “คุณป้า…” ชายหนุ่มไม่พูดต่อเพราะรู้แน่ชัดว่าไม่ควร ปรายตามองบรรดาสาวใช้คนอื่นที่นั่งหน้าสลอนเรียงราย และเหมือนภัคคิณีจะรู้เท่าทันจึงสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้องรับแขก เหลือเพียงเธอและเขาตามลำพัง “ผมเองยังไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดีสักเท่าไหร่” เสียงเข้มบอกกับผู้เป็นป้าพลางส่ายหน้า “ป้าว่ากฤตทำได้ และต้องทำได้ดีมากด้วย” มือเรียวกุมมือหนาเอาไว้มั่น จ้องลึกสบมองกับคนร่างสูง “ป้าเชื่อใจในตัวกฤตนะลูก กฤตของป้าเก่งอยู่แล้ว” ชยกฤตรู้สึกซาบซึ้งที่คนตรงหน้าให้ความเชื่อมั่นในตัวเขาถึงเพียงนี้ จากความไม่มั่นคงในคราแรกพอได้รับกำลังใจจากคนที่รัก ชายหนุ่มก็เกิดความหึกเหิมขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ “ครับ ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อคุณป้าและคุณท่าน” เสียงเข้มบอกกับคนเบื้องหน้า “เพื่อครอบครัวของเรา!” ภัคคิณีเอ่ยเสียงหนักแน่นราวกับต้องการให้คำมั่นสัญญากับตัวเอง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD