EPISODE 03-01
พบกันอีกครั้ง
ร่างสูงของเจเดนนั่งเหยียดขาพาดอยู่บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟา สองมือจับจอยเกม นิ้วโป้งสลับกันกดปุ่มนั้นปุ่มนี้อย่างรวดเร็วเพื่อบังคับตัวละครในเกมให้ดำเนินต่อไป ดวงตาคมจับจ้องบนจอทีวีขนาดใหญ่ที่ติดกับผนัง ริมฝีปากหยักก็สบถคำหยาบออกมาบ้างเมื่อไม่ได้ดั่งใจ
ชีวิตของเขาแต่ละวันก็ผ่านไปอย่างนี้ ตอนกลางวันออกไปเดินห้าง ช็อปปิ้ง กินข้าว กลับมาก็นั่งเล่นเกม แล้วเข้านอน นี่คือกิจวัตรในวันที่เขาไม่ได้เปิดรับแขกที่ไหนเข้ามาในบ้านเล็ก เขาก็จะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านใหญ่ทั้งวันแบบนี้
หากคิดว่าแต่ละวันดูไร้ความหมายก็คงใช่ เขาไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง สิ่งที่ตั้งใจจะทำหลังเรียนจบคือการช่วยพ่อบริหารบริษัท ก็ถูกปัดตกไปทันทีที่พ่อป่วยหนักและช่วยผลักดันเขาไม่ได้ จนพี่ชายตัวแสบได้ขึ้นไปตรงนั้นแทนที่เขาอย่างอวดดี
คนของพ่อหลายคนก็เอนเอียงไปทางพี่ชายเขาเพื่อความอยู่รอด ส่วนคนที่ไม่สนับสนุนเจียร์ก็ถูกไล่ออกหมด แล้วมากดดันเขาอีกทีว่าถ้าพร้อมลุยเมื่อไรจะคอยผลักดันอยู่เบื้องหลัง เหมือนทุกคนยังฝากความหวังไว้ที่เจเดน เพียงเพราะก่อนผู้เป็นพ่อป่วยเคยนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมว่าจะให้ลูกชายคนเล็กเข้ามาทำงานแทน จะให้เป็นประธานบริษัทในอนาคต
ทั้งที่เหตุผลอื่นพ่อก็ไม่ได้บอกว่าทำไมต้องเป็นเขา แล้วเขากับพ่อก็ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำไป
การที่พ่อตั้งใจจะยกบริษัทให้เขามันก็เป็นเรื่องดี เพียงแต่พอพ่อป่วยแล้วพูดไม่ได้มันจึงตามมาด้วยความสงสัยหลายอย่าง สิ่งแรกที่เจเดนอยากรู้และไม่เคยได้รู้คือพ่อเล็งเห็นอะไรในตัวเขา ทำไมไม่สนับสนุนพี่ชายให้ทำงานแทน หรือพ่อเห็นอะไรบางอย่างในตัวเจียร์ว่ามันจะนำพาหายนะมาให้ตั้งแต่แรก?
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณเจคะ ป้าเองค่ะ”
“เข้ามาได้ครับ”
‘ป้าเพียง’ เป็นแม่บ้านคนเก่าคนแก่ของบ้านหลังนี้ ผู้ที่ดูแลเจเดนมาตั้งแต่เด็กจนโต หลังจากที่แม่แท้ ๆ หย่ากับพ่อแล้วไปอยู่ต่างประเทศ ก็ได้ป้าเพียงนี่แหละคอยดูแลราวกับเป็นแม่อีกคน
ป้าเพียงเป็นคนที่รู้ความเป็นไปของเจเดนแทบทุกอย่าง เข้าใจความรู้สึกของชายหนุ่มคนนี้ดีว่าแบกรับปัญหาใดไว้บ้าง และสร้างบ้านเล็กหลังนั้นขึ้นมาเพื่อไว้ทำกิจกรรมอะไร
แต่ถึงรู้ก็ไม่ก้าวก่าย นอกจากเข้าไปทำความสะอาดไว้ให้แล้วก็ไม่เคยถามไถ่เรื่องส่วนตัว เป็นคนที่ไว้ใจได้เพียงคนเดียวที่เจเดนให้กุญแจเข้าออกบ้านเล็กของเขา
“ป้าเอาเครื่องดื่มไปเติมที่ตู้เย็นบ้านเล็กให้ แต่เห็นคนมายืนรอหน้าบ้าน ไม่รู้ว่ามีธุระอะไรหรือเปล่า”
“ได้ออกไปถามเขาไหมครับ?”
“ไม่ได้ถามค่ะ คุณเจเคยบอกป้าว่าห้ามให้คนนอกเห็นหน้า คุณเจไม่อยากเปิดเผยชีวิตส่วนตัว”
“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมไปดูเอง”
จอยเกมถูกวางลงข้างตัว ร่างสูงลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจพลางนึกคิดอยู่ในหัวว่าเขาไม่ได้เปลี่ยนสติกเกอร์หน้าบ้านหรอกหรือ ปกติถ้าเห็นสติกเกอร์สีแดงก็น่าจะกลับไปแล้ว เว้นเสียแต่มันยังคงเป็นสีเขียวอยู่ ทว่าคิดอย่างไรก็จำไม่ได้ว่าตัวเขาออกไปเปลี่ยนแล้วหรือยัง
เจเดนเดินออกจากห้องนอนของตัวเองในบ้านใหญ่ ลงบันไดมายังชั้นล่างด้วยความรีบร้อน กำลังชั่งใจคิดอยู่ว่าวันนี้คงจะปฏิเสธคนที่มา เพราะเขาไม่มีอารมณ์อย่างว่าเลย แต่พอลงมาถึงชั้นล่างแล้วเจอกับพี่ชายเข้าก็ยิ่งพาให้อารมณ์เสียหนักกว่าเดิม
“ค่ำแล้วนะ มึงจะออกไปไหนอีกไอ้เจ”
“มึงเสือกไรกับกูล่ะ”
“มึงนี่มันเหลือเกิน กูพูดดีด้วยก็ทำสันดานเสียใส่กู”
“กูขอให้มึงมาทำดีกับกูเหรอไอ้เจียร์?”
ทั้งคู่สบตากันอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปคนละทาง เจเดนเดินออกจากตัวบ้านเพื่อตรงไปยังประตูรั้วด้านหลัง เขาออกไปยังบ้านหลังเล็กด้วยอารมณ์หงุดหงิดงุ่นง่าน ทุกครั้งที่เจอหน้ากับเจียร์พี่ชายของเขา ไม่เคยมีครั้งไหนที่สบอารมณ์เลย
จากรูปการณ์อาจเห็นว่าเจเดนก้าวร้าวใส่ก่อน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขามันแย่แค่ไหน
ตั้งแต่พ่อเปิดเผยว่ามีลูกชายคนโตอีกคนและรับเข้ามาอยู่ด้วยกันในบ้าน ตั้งแต่ตอนนั้นทั้งคู่ก็เอาชนะกันทุกอย่าง แข่งขันกันตั้งแต่เรื่องเล็กอย่างเช่น เสื้อผ้า รถยนต์คันแรก ผลการเรียน มาจนถึงตำแหน่งในบริษัท เจียร์ทำทุกอย่างให้เหนือกว่าเจเดนเพื่อที่จะให้ผู้เป็นพ่อยอมรับ ทำให้ตัวเองรู้สึกโดดเด่นกว่า
เรื่องพวกนี้ถ้าคนนอกมองเข้ามาเจเดนจะเป็นตัวร้ายทันที เพราะเขาเป็นคนแสดงความรู้สึกชัดเจน ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่พูดดีใส่ ต่างจากเจียร์ที่เก็บงำพฤติกรรมก้าวร้าวไว้ในใจ แสดงท่าทีอ่อนแอเหมือนถูกรังแกตลอดเวลา ทั้งที่เบื้องหลังคนที่คอยรังแกน้องชายเสมอคือตัวเขานั่นแหละ
ตึก ตึก ตึก
ฝ่าเท้าใหญ่ก้าวเข้าไปในบ้านหลังเล็ก ตรงเข้าไปในห้องนอนเพื่อที่จะดูกล้องจากอินเตอร์โฟนว่าใครมาหา ทว่าพอเห็นคนที่มาก็ตกใจจนใบหน้าถอดสี
‘ไออุ่น...’
เสียงทุ้มเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาก่อนจะเหลือบมองนาฬิกา นี่ก็ปาไปหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว ข้างนอกทั้งเปลี่ยว ทั้งมืด ทำไมถึงมาที่นี่เวลานี้
ในหัวของเจเดนเกิดคำถามมากมาย แต่ก็รีบกดตัวควบคุมบนอินเตอร์โฟนเพื่อพูดคุยกับอีกฝ่ายก่อน
“ทำไมมาป่านนี้ มานานหรือยัง?”
“ประมาณชั่วโมงได้แล้วครับ”
สีหน้าของไออุ่นไม่ค่อยดีเลย ความตั้งใจแรกของเจเดนที่จะไล่คนที่มากลับไปก็ถูกกดไว้ด้วยใบหน้าหวานที่เศร้าสร้อย อย่างน้อยก็รับเข้ามาคุยกันก่อน สบายใจแล้วค่อยให้กลับก็ได้
“รอแป๊บนะ”
“ครับ”
เจเดนรีบคว้าหน้ากากสีดำมาสวมเพื่อปกปิดครึ่งหน้าด้านบนไว้ จากนั้นจึงกดปุ่มควบคุมให้ปลดล็อกประตูรั้ว แล้วบอกผ่านอินเตอร์โฟนให้อีกฝ่ายเข้ามาได้
ครู่เดียวร่างเล็กก็เปิดประตูห้องเข้ามาด้านใน ใบหน้าสวยหวานดูอ่อนล้ากว่าตอนที่ได้เห็นผ่านกล้องเสียอีก ดวงตาบวมแดงเล็กน้อยราวกับว่าร้องไห้มาเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้
“ไออุ่น เป็นอะไรหรือเปล่า มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“เจ สอนเรื่องเซ็กซ์ให้ผมอีกทีได้ไหม ผมอยากเก่งเร็ว ๆ วันนี้ผมโดนตำหนิมาอีกแล้ว รู้สึกแย่มากเลย”
ความรู้สึกแย่ที่ว่ามันแสดงออกทางสีหน้าหมดจนเจเดนรู้สึกได้ เขาเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะพามานั่งที่โซฟาเล็กริมห้อง แต่ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรกันต่อ กลับได้ยินเสียงท้องของไออุ่นร้องโครกครากขึ้นมาทำลายความเงียบ
“หิวเหรอ ยังไม่ได้กินอะไรมาหรือไง?”
“ยังเลย ตอนแรกไม่หิว ตอนนี้หิวแล้ว เอ่อ แต่ผมทนได้ เราอาบน้ำแล้วเริ่มสอนกันเลยก็ได้ครับ”
“กินข้าวก่อนค่อยว่ากัน อยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวผมสั่งให้”
“สั่งอาหารเข้ามาส่งในนี้ได้ใช่ไหมครับ ซอยมันเปลี่ยว ผมกลัวเขาไม่มาส่ง”
เจเดนเริ่มรู้สึกหนักใจ เขาก็ไม่เคยสั่งอาหารให้เข้ามาส่งที่นี่เสียด้วยสิ ทางลัดที่จะเข้ามาถึงตรงนี้เป็นซอยที่ติดถนนใหญ่ ตรงนั้นไม่เปลี่ยวหรอก มีบ้านคนและไฟที่สว่างไสว
แต่พอตรงเข้ามาแล้วเลี้ยวซ้ายจะเป็นถนนลูกรังที่สองข้างทางเป็นป่าหญ้าคา มันเปลี่ยวมาก เข้ามาลึกอีกหน่อยถึงจะเห็นว่ามีบ้านหลังเล็กหลังนี้อยู่ซ้ายมือ
ถ้าเทียบกับซอยฝั่งบ้านใหญ่คือเจริญผิดหูผิดตามาก ซอยนั้นเรียกได้ว่าเป็นย่านคนรวยยังได้ เรื่องอาหารการกินหาง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ ความเจริญระหว่างโซนบ้านสองหลังต่างกันราวฟ้ากับเหว
ส่วนหนึ่งที่ความเจริญยังเข้าไม่ถึงพื้นที่ตรงนี้อาจเป็นเพราะป่าหญ้าคาด้านหลังบ้าน แถบนี้ก็เป็นของพ่อเจเดนทั้งหมด ยังไม่ได้ปล่อยขายให้ใคร เขาเลยถือวิสาสะสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมาไว้ทำกิจกรรมส่วนตัว ไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่ถาวร จึงไม่ได้คิดเผื่อเรื่องความสะดวกสบายด้านอื่น อย่างเช่นการสั่งอาหารเลย โดยปกติก็ใช้ชีวิตกินอยู่ที่บ้านใหญ่อยู่แล้ว
“เดี๋ยวผมจัดการให้ เด็กดีของผมรอเดี๋ยวนะ”
“อ้อ ได้ครับ”
ร่างสูงเดินออกมายังห้องโถงด้านนอกที่เชื่อมกับห้องนอน เกิดความสับสนในใจตัวเองเล็กน้อยที่ต้องมาร้อนรนจัดหาอาหารมาให้ เพียงเพราะได้ยินเสียงท้องร้องของอีกฝ่าย แต่คิดไปคิดมาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาเริ่มหิวแล้วเหมือนกัน ถือว่าหิวแล้วอยากกินเองก็ได้ ไม่ได้คิดจะตามใจไออุ่นอะไรขนาดนั้นหรอก
เจเดนโทรไปหาแม่บ้านคนสนิท สั่งให้ทำอาหารมาสักสี่ห้าอย่าง ให้พอสำหรับสองคน รวมถึงให้พ่อบ้านเอาโต๊ะพร้อมเก้าอี้สองตัวมาด้วย โต๊ะพลาสติกที่กางออกสะดวกก็ได้ ที่นี่ไม่มีโต๊ะให้นั่งกินข้าวแบบถูกกิจจะลักษณะเลย มีแค่โต๊ะกระจกเตี้ยหน้าโซฟา ซึ่งคงจะนั่งกินข้าวไม่ถนัด
หลังจากสั่งการเสร็จก็เดินเข้ามาในห้องนอนอีกครั้ง เห็นไออุ่นวางกระเป๋าไว้ข้างกาย พลางเอนตัวพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางสบายขึ้น ยืนรออยู่หน้าบ้านนานนับชั่วโมงคงจะเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวน่าดู
“วันนี้คุณมายังไง ค่ำขนาดนี้แล้วจะกลับยังไง?”
“ผมขับรถมาครับ”
“แล้วทำไมครั้งก่อนไม่ขับรถมา?”
“รถผมโดนชนท้ายเลยเอารถเข้าศูนย์เป็นเดือนเลย ช่วงก่อนเลยเดินทางด้วยรถตู้ ตอนนี้รถเสร็จแล้วเลยได้ใช้รถตัวเอง”
เจเดนทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ เหลือบตามองใบหน้าหวานแล้วถอนหายใจอีกครั้ง มือใหญ่เอื้อมไปลูบใต้ตาที่บวมแดงด้วยความรู้สึกอธิบายยาก
เขานึกหน้าตอนไออุ่นร้องไห้ออกเพราะเคยเห็นอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนเรียนอยู่ปีสาม เป็นช่วงที่ไออุ่นรับภาระใช้หนี้แทนแฟนที่หนีไป คงเหนื่อยมากเลยมานั่งร้องไห้กับเพื่อน ซึ่งเจเดนผ่านมาเห็นพอดีและกลายเป็นภาพจำเรื่อยมา ว่าผู้ชายตัวเล็กคนนี้ตอนร้องไห้นั้นน่าสงสารแค่ไหน
“วันนี้ใครใจร้ายทำเด็กดีของผมร้องไห้นะ อยากเล่าไหม?”
“ก็... คนที่ผมชอบนั่นแหละครับ วันนี้หลังเลิกงานเราก็นัดเจอกันที่โรงแรม ผมตั้งใจจะทำเรื่องแบบนั้นให้เขา แต่ตอนใช้ปากฟันดันไปขูดกับตรงนั้นของเขาเข้าทำให้เขาโมโห ก็เลยทะเลาะกันแล้วก็แยกย้าย”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย อย่าคิดมาก ตอนโดนฟันขูดมันไม่ได้เจ็บมากมายอะไรขนาดนั้นหรอก ผมก็โดนบ่อย”
เขาอยากพูดต่อว่าที่ยกเรื่องนี้มาทะเลาะมันเป็นข้ออ้างชัด ๆ ผู้ชายคนนั้นไร้ความรู้สึกและไม่ได้ให้ใจกับไออุ่นเลยถึงทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้ แต่สถานะของเขาที่ยังต้องใส่หน้ากากปกปิดตัวตนอยู่แบบนี้จะไปแสดงความคิดเห็นอะไรได้มากมายนักล่ะ
“ผมรู้สึกแย่จัง ผมมีประสบการณ์เรื่องนี้ไม่เยอะเลย ถึงจะเคยมีแฟนมาก่อนแต่ที่ผ่านมามันเหมือนขึ้นเตียงเพื่อมีเซ็กซ์อย่างเดียว ผมไม่ต้องเล้าโลมเขา เขาไม่ต้องเล้าโลมผม ก็จูบกันแล้วเอาเลย ผมไม่รู้ว่าการปรนนิบัติคนอื่นมันต้องทำยังไง ผมไม่เก่ง แต่ผมก็อยากทำให้เขาเพราะเขาบอกว่าถ้าผมเก่งเรื่องนี้เขาอาจจะคบกับผม”
“ไออุ่น คุณคิดว่าเขาจะคบกับคุณจริงเหรอ?”
“ผม... ผมก็ไม่แน่ใจ เฮ้อ ผมเหมือนคนโง่เลยเนอะ ยึดติดแค่เขามาบอกชอบผมครั้งเดียว จากนั้นก็เอาใจไปฝากไว้ที่เขามาตลอดสองปี ถ้ามีคนมาชอบผมตอนนี้ผมคงจะตัดใจจากเขาได้ง่ายอยู่หรอก แต่พอผมไม่มีใครเลยผมก็ยึดติดแค่กับเขา”
“ทำอย่างกับคุณจะตอบรับความรู้สึกของทุกคนที่มาชอบอย่างนั้นแหละ”
“ใช่สิครับ ผมคบกับทุกคนที่มาบอกชอบผมจริง ๆ ผมน่ะเป็นคนเฉิ่ม ๆ เชย ๆ ไม่ค่อยตรงสเป็กใครเขาหรอก นาน ๆ ทีจะมีคนมาชอบ ทุกครั้งที่มีคนมาสารภาพรักผมจะดีใจมาก แล้วผมจะเปิดใจให้คนนั้นทันทีถ้าผมโสด จากนั้นก็ได้คบกัน”
เจเดนแค่นหัวเราะไปกับคำโกหกนี้ เพราะถ้ามันเป็นจริงอย่างที่ไออุ่นบอกมา ป่านนี้พวกเขาคงได้เป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่หรอกหรือ?
เมื่อสองปีก่อนเจเดนก็เคยฝากเพื่อนไปบอกชอบแทน วันนั้นเป็นวันที่ไออุ่นและเพื่อนสนิทของเจเดนต้องเข้าไปพรีเซนต์การฝึกงานเทอมสุดท้ายที่คณะ แต่เจเดนพรีเซนต์ไปก่อนแล้วจึงไม่ได้เข้าไป เขาออกไปธุระกับพ่อ ก็เลยฝากเพื่อนไปบอกไออุ่นว่าเจเดนแอบชอบนะ ชอบมานานแล้ว รอไออุ่นโสด แถมเตรียมสถานที่ออกเดตไว้เรียบร้อย
หลังจากที่ทำธุระกับพ่อเสร็จ เจเดนก็ไปยังสถานที่นัดหมาย เขาเช่าเรือยอช์ตทั้งลำเพื่อจัดดินเนอร์หรูล่องแม่น้ำเจ้าพระยา หากเดตแรกเป็นไปอย่างที่เขาคิดมันจะโรแมนติกมาก ทว่าเขารอตั้งแต่หกโมงเย็นจนถึงเที่ยงคืนไออุ่นก็ไม่มา ถือเป็นการปฏิเสธหัวใจกันอย่างชัดเจน
หลังจากนั้นเจเดนจึงพยายามตัดใจ ผ่านมาจนถึงวันนี้ตัดใจได้แล้ว แต่ก็ยังต้องพบเจอกันในบทบาทอื่นอยู่ดี
“แล้วคนที่ไออุ่นชอบเนี่ย เขามาสารภาพรักด้วยไหม เป็นใครกันนะ?”
“อื้ม เขามาสารภาพรักก่อน เป็นรุ่นพี่มหาวิทยาลัยเดียวกันนี่แหละ”
เจ้าของห้องไม่ถามอะไรต่อเพราะไม่ได้อยากรู้อะไรไปมากกว่านี้ ต่อให้คนอื่นมาบอกชอบแล้วได้ใจไออุ่นไป คนคนนั้นก็ไม่ใช่เขาอยู่ดี
เรื่องอดีตผ่านไปแล้วก็ไม่เป็นไร ห่วงแต่เรื่องปัจจุบันที่ไออุ่นกำลังเผชิญอยู่ เท่าที่เจเดนสัมผัสได้เขารู้สึกว่าเด็กดีคนนี้ของเขากำลังโดนหลอก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ไออุ่นเอาตัวเองออกมาจากคนไร้หัวใจคนนั้นโดยเร็ว
“นี่ ผมบอกอะไรให้อย่างนะ คนเราถ้าคิดจะชอบใครแล้ว คงไม่ทิ้งเวลาไปถึงสองปีแล้วยังไม่คบแบบนี้หรอก ไออุ่น คุณลองคิดดี ๆ ว่าผู้ชายคนนี้มันควรค่าที่คุณจะมอบหัวใจให้ไหม ถ้ายึดติดแค่เพราะเขาเคยบอกชอบคุณ คุณลองถอยออกมาสักก้าว เปิดใจให้กว้างหน่อย บางทีอาจมีใครเข้ามาหาคุณก็ได้นะ”
“ผมไม่ได้ปิดตัวเองสักหน่อย ทุกวันนี้ก็เปิดใจอยู่นะครับ ผมรู้ว่าผมกำลังทำตัวโง่งมและยึดติดกับเขา แต่มันคาใจน่ะ ไม่เข้าใจว่าคนที่มาบอกชอบผมทำไมนับวันถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ พอผมจะถอยออกมาจริงก็ใจอ่อนกับลูกอ้อนเขาอยู่เรื่อย ใจไม่แข็งพอสักที”
พูดจบใบหน้าหล่อก็เคลื่อนเข้าไปจูบริมฝีปากบางอย่างไร้เหตุผล เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอยากจูบ อยากปิดปากเล็กนี่ไม่ให้พูดถึงคนอื่นทั้งที่ตัวเขาเป็นคนถามเองแท้ ๆ
ส่วนคนรองรับอารมณ์ก็งง แต่ก็ยอมเผยอปากรับเรียวลิ้นอุ่นเข้ามาแต่โดยดี เพราะเจ้าของหน้ากากดำนี้มอบความอ่อนโยนให้ในยามที่เขาต้องการใครสักคนมาปลอบใจที่สุด
ครืดดด
บทจูบเริ่มต้นได้ไม่นาน โทรศัพท์ของเจเดนก็สั่นเนื่องจากมีสายเรียกเข้า เขาถอดถอนริมฝีปากออกมาอย่างเสียดาย ก่อนจะกดรับสายทันที ป้าเพียงโทรมาแจ้งว่าจัดโต๊ะอาหารเสร็จแล้ว ตอนนี้กลับไปที่บ้านใหญ่เรียบร้อย เหมือนรู้ว่าเจเดนมีแขกอยู่ในห้องนอนจึงไม่อยากรบกวน
“เด็กดีของผม ออกไปกินข้าวกันเถอะ”
“ฮะ สั่งมาตอนไหนครับ? เท่าไร เดี๋ยวผมจ่ายเอง”
“อ่า... อย่าถามเลย ผมลำบากใจที่จะตอบ แต่ว่าอาหารเพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ รับรองว่ารสชาติอร่อยถูกปากแน่นอน”
ร่างเล็กถูกฉุดให้ลุกขึ้นยืน เจเดนโอบเอวเขามาถึงหน้าประตูก่อนเปิดมันออกให้เห็นโถงด้านนอก ซึ่งเขาไม่เคยเปิดให้ใครออกมาตรงนี้เลยสักคนตั้งแต่เปิดบ้านหลังนี้รับแขกมาร่วมปี ไออุ่นเป็นคนแรกที่ได้ก้าวเท้าออกจากห้องนอนมายังโถงด้านนอก และเป็นคนแรกที่ท้องร้องใส่เขาจนรู้สึกสงสาร
‘ก็แค่ให้กินข้าวแล้วไล่กลับเท่านั้นแหละ’