ตอนที่ 8
หลังจากย้ายเรือนเข้ามาอยู่ในจวนแม่ทัพอย่างเป็นทางการ หลินเหยียนหรงหรือก็คือตะวันเวอร์ชันทะลุมิติก็คิดว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็มีโอกาสได้เจอพระเอกทุกวัน หรือไม่ก็...ได้ใช้ชีวิตแบบคุณหนูร่ำรวยกินหรูอยู่สบาย
แต่...เปล่าเลย
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทันทีที่เธอก้าวเข้ามาในเรือนใหญ่ ซือหยางก็ก้าวออกไปจากจวนแทบจะทันทีเช่นกัน โดยทิ้งคำสั่งไว้อย่างเด็ดขาด
“ห้ามแตะต้องของในเรือน ห้ามออกจากเขตเรือน ห้ามเข้าใกล้บ่าวชาย ห้ามรื้อค้นหนังสือ ห้ามอ่านรายงานทหาร ห้ามกินของว่างที่จัดไว้สำหรับแขกพิเศษ และห้ามรบกวนผู้อื่นโดยไม่มีเหตุจำเป็น”
ห้าม ห้าม ห้าม แล้วก็ห้าม!
ไม่รู้จะเรียกว่าฮูหยิน หรือผู้ต้องขังในบ้านหรู!
หลังจากสามวันผ่านไป...สิ่งที่ตะวันทำได้คือเดินไปมารอบห้องหลัก สลับกับนั่งเท้าคางมองท้องฟ้าผ่านช่องหน้าต่างทรงกลมที่แง้มไว้เล็กน้อย
“เสี่ยวผิง...ขืนยังเป็นแบบนี้ข้าต้องเฉาตายแน่!”
นางสาวไทยสายซีรี่ส์กัดฟันบ่นเสียงดัง
“ซีรี่ส์ก็ไม่มีให้ดู อะไรก็ไม่มีให้ทำ!! ทำไม ๆ ๆ ข้าต้องมารับกรรมอะไรเช่นนี้ด้วย!”
เสี่ยวผิงรีบกุลีกุจอมาชงชาส่งให้ แต่ก็ไม่วายถอนหายใจหนัก ๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว
“บ่าวขอโทษที่ช่วยอะไรท่านไม่ได้เลยเจ้าค่ะ เพราะฮูหยินไม่เป็นที่โปรดปรานมาแต่ไหนแต่ไร...จึงโดนปฏิบัติเช่นนี้มาตลอด”
ตะวันชะงัก มองคนพูดด้วยสายตานิ่งงันก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ อย่างสมเพชตัวเอง
“...นิสัยงี้ ใครมันจะโปรดข้าลง?”
เธอพึมพำพร้อมยกมือเท้าคาง หยิบพัดไม้ไผ่มาโบกเบา ๆ แต่ก็ยังรู้สึกอุดอู้
‘โอ้ย...นี่ชีวิตเรือนแม่ทัพหรือคุกทองคำกันแน่’
พอได้อยู่เงียบ ๆ สมองก็เริ่มทำงาน หน้าตาของซือหยางลอยวาบขึ้นมาในหัวอย่างไร้เหตุผล
‘นี่เขาเกลียดฉันขนาดนั้นเลยเหรอ? ถึงกับย้ายไปนอนค่ายทหาร ทิ้งเรือนหลังงามให้ฉันอยู่คนเดียวเนี่ยนะ!’
ซ้ำร้าย! บ่าวในเรือนก็ยังไม่กล้าคุยกับเธอ นอกจากเสี่ยวผิงสาวใช้คนสนิทที่กล้าหายใจใกล้ ๆอย่างไม่ได้นึกรังเกียจถึงอดีตที่เคยร้ายกาจ
นางถอนใจยาวเหยียด แล้วตัดบทตัวเองขึ้นมาอย่างเด็ดขาด
“ไม่ได้การล่ะ! ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง”
“เอ๊ะ? หือ? อะไรเจ้าคะ?” เสี่ยวผิงเงยหน้าจากการจัดชา ก่อนจะเงยหน้ามองนายหญิงพร้อมกับขมวดคิ้วงง ๆ
ตะวันลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สะบัดแขนเสื้อเบา ๆ ให้ดูแบบนางร้ายมีแผน!
“ต้องกู้ชื่อเสียงกลับมา! เปลี่ยนจากนางร้ายนิสัยเสีย...ให้กลายเป็นฮูหยินผู้อ่อนโยน เป็นที่รักของทุกคนในจวน! แบบพรีเซนเตอร์โสมเกาหลีอะ...ยิ้มทีหนึ่ง สะเทือนใจทั้งเมือง!”
เสี่ยวผิงมองเจ้านายอย่างประหลาดใจระคนตื่นตะลึง “...ท่านรู้จักพรี...อะไรนะเจ้าคะ?”
“ช่างมันเถอะ เจ้ายังเด็ก ค่อยโตอีกหน่อยจะเข้าใจ!”
เธอยักไหล่แล้วเริ่มวางแผนในหัวทันที
ข้อแรก.ทำความดีแบบเห็นได้ชัด เช่น ช่วยเหลือบ่าว มีน้ำใจต่อผู้อื่น
ข้อสอง.ไม่ขี้โวย ไม่เหวี่ยง สะกดใจตัวเองให้ได้อย่างน้อย 3 วัน
ข้อสาม ต้องดูเป็นผู้ดี มีความรู้ อาจแอบยืมตำราแพทย์หรือตำราอาหารจากห้องสมุดจวนมาอ่าน...
เธอกำลังจดลิสต์ในหัวอย่างตั้งใจ พลันเสียงเสี่ยวผิงดังขึ้นเบา ๆ
“แต่ว่า...หากฮูหยินแตะต้องของในเรือน ท่านแม่ทัพจะทรงลงโทษ”
ตะวันชะงัก
“...เวรล่ะ”
“เข้าครัวสิเจ้าคะ! ทำอาหารไปเอาใจท่านแม่ทัพ”
หลังจากวางลิสต์แผนการในหัวจนครบเจ็ดข้อ ตะวันก็ตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ แล้วหันไปจ้องเสี่ยวผิงด้วยแววตามุ่งมั่น
"เจ้าพูดถึงครัวเมื่อกี้ใช่ไหม?"
เสี่ยวผิงพยักหน้า “เจ้าค่ะ ถ้าฮูหยินอยากทำอาหาร…ข้าว่าก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีนะเจ้าคะ”
ตะวันพึมพำ “จริงด้วย…ไม่มีอะไรเอาชนะผู้ชายได้เท่ากับการคว้ากระเพาะของเขา!”
เธอลุกพรวดขึ้นทันที ประหนึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเทพเจ้าแห่งหม้อไฟ ก่อนจะคว้าผ้าคลุมไหล่และหันมาทางสาวใช้คนสนิท
“เสี่ยวผิง ไปตลาดกับข้า! วันนี้เราจะลองทำ ‘หม้อไฟปลานิล’!”
“หา? ปลานิลคือปลาอะไรเจ้าคะ!?”
“อ๋อ...คือปลาที่หน้าตาเหมือนจะอร่อยแต่มีแต่ก้าง! แต่ช่างมันเถอะ ที่นี่มีปลาอะไรก็ใช้ไปก่อน เดี๋ยวข้าดัดแปลงเอง!”
บ่ายวันเดียวกัน
ครัวเรือนใหญ่ของจวนแม่ทัพ
กลิ่นขิงต้มกับพริกสดลอยฟุ้งไปทั่วครัว ชวนให้บ่าวไพร่ที่ผ่านไปมาพากันหันขวับ หลายคนถึงกับทำตาโตเมื่อเห็นฮูหยินแม่ทัพผู้เคยมีข่าวลือว่า "แตะมีดไม่เป็น จับกระทะแล้วโยนทิ้ง" กำลังยืนผัดเครื่องแกงหน้าดำหน้าแดง
เสี่ยวผิงรีบช่วยพัดลมไล่ควัน พลางเช็ดเหงื่อให้คุณหนูในคราบแม่ครัวจำเป็น
“ฮูหยินเจ้าคะ! ระวังมือเจ้าค่ะ! ข้าว่ามันจะไหม้แล้วนะเจ้าคะ!”
“ไม่เป็นไร ข้าคุมได้! เอามะเขือเทศใส่! แล้วตามด้วยน้ำซุป ต้มแรง ๆ!”
ตะวันพูดเร็วราวกับเป็นเชฟกระทะเหล็ก ขณะที่ในใจภาวนาไม่ให้กระทะระเบิด
เธอเร่งมืออย่างตั้งใจ ใช้ความรู้จากรายการทำอาหารไทย และซีรีส์ย้อนยุคทุกเรื่องที่เคยดูผสมกันออกมาเป็นเมนูหม้อไฟลูกผสมที่มีทั้งกลิ่นจีนและไทยอย่างไม่รู้จบ
สุดท้าย...
หม้อไฟปลาร้อนฉ่าก็ถูกวางไว้ในตะกร้าไม้ไผ่ พร้อมถ้วยชามครบชุด
ตะวันหรือ “หลินเหยียนหรง” ในร่างนางร้ายแห่งจวนแม่ทัพ ลูบคางตัวเองอย่างครุ่นคิด มองหม้อไฟด้วยสายตาประหนึ่งว่านี่คืออาวุธสงคราม
"เสี่ยวผิง เราจะไปส่งเสบียงที่ค่ายทหารกัน"
เสี่ยวผิงที่กำลังพับผ้าขาวอยู่ชะงัก หันมาทำตาโตทันที
“หา!? ไปค่ายทหารหรือเจ้าคะ!? ไม่ได้นะเจ้าคะ! ฮูหยินเป็นสตรี…ค่ายทหารไม่อนุญาตให้บุรุษพาภรรยาเข้าไปตามอำเภอใจนะเจ้าคะ!”
“งั้นเราก็แต่งตัวแบบที่คนอื่นไม่รู้ว่าเป็นสตรีสิ”
“ฮูหยิน...แบบนี้เราจะ จะ โดนท่านแม่ทัพลงโทษไหมเจ้าคะ”
“ลงโทษก็ลงโทษสิ! ข้ายินดีโดนลงโทษ ซือหยางจะได้เห็นถึงความตั้งใจของข้า!”
เสียงของตะวันดังขึ้นอย่างมุ่งมั่น ขณะที่เธอสะบัดผ้าคลุมบ่าตัวเองแบบนางเอกในซีรีส์แอ็กชัน
“ก็เขาไม่กลับมาจวนเลยนี่นาข้าจะเอาอกเอาใจเขาอย่างไรล่ะ!”
เสี่ยวผิงยืนถือกะละมังผักอยู่มุมห้องอย่างอึ้ง ๆ
“ท่านแน่ใจนะเจ้าคะว่า...ท่านไม่ได้อยากโดนลงโทษเพราะอย่างอื่น...?”
“เจ้าจะคิดว่าเป็นพวกชอบโดนโบยหรือไงหา!” ตะวันหันขวับ คิ้วกระตุก “นี่มันความเสียสละล้วน ๆ! ข้าจะเป็นภรรยาดีเด่นไงล่ะ!”
เธอพูดพลางยืนเท้าสะเอวอย่างองอาจ ก่อนจะหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างอย่างนางเอกละครที่กำลังรอพระเอกกลับมาจากสนามรบ
‘เชื่อเถอะเสี่ยวผิง ฉันดูซีรีส์มาหลายเรื่องแล้ว สุดท้ายพระเอกต้องใจอ่อน’
ตะวันพึมพำกับตัวเองในใจ
แม้จะมีสติสัมปชัญญะพอจะรู้ว่าตรรกะมันก็แอบเพี้ยน ๆ อยู่หน่อย ๆ แต่เธอก็ยังยืนกรานเต็มที่
“โลกนี้มันเหมือนชีวิตจริงอีกภพนึง แน่นอนว่าตัวละครแต่ละคนย่อมไม่รู้ว่ากำลังเล่นซีรีส์อยู่”
เธอหรี่ตามองเงาตัวเองในถาดน้ำข้างเตาถ่าน
“แต่ไม่เป็นไร...เพราะฉันจะไม่ยอมตายให้บทนางเอกโผล่มาง่าย ๆ หรอก บอกแล้วไง ฉันจะเป็นคนเปลี่ยนบททั้งเรื่อง”
“…ฮูหยินเจ้าคะ ท่าน...พูดภาษาอะไรเจ้าคะ?”
ตะวันสะดุ้งนิด ๆ แต่รีบเปลี่ยนสีหน้า
“เปล่า! ก็ภาษาข้านั่นแหล่ะ”
“อ๋อ...” เสี่ยวผิงพยักหน้าทั้งที่ไม่เข้าใจอะไรเลย
แต่ในใจแอบคิดว่า “ถึงจะเพี้ยน ๆ แต่ฮูหยินคนนี้ก็ไม่ปาของใส่หัวข้า แค่นี้ก็ดีเหลือเกินแล้ว”
“เสี่ยวผิง!”
เสียงตะวันดังขึ้นด้วยน้ำเสียงแน่วแน่เกินกว่าจะเรียกว่าชวนคุยเล่น
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน!”
เสี่ยวผิงเงยหน้าขึ้นจากตะกร้าเสื้อผ้าอย่างไว รู้สึกได้ถึงพลังความคิดไม่ปกติของเจ้านายอีกครั้ง
“ในเมื่อเราตระเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว…” ตะวันในร่างของหลินเหยียนหรงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง ด้านหลังมีพวกเสบียงอาหารทั้งสดทั้งแห้งห่อใส่แพ็กเรียบร้อย เหมือนกำลังจะออกเดินทางไปรบ
“…ตอนนี้เหลือแค่ พร็อพแต่งตัว!”
เสี่ยวผิงกะพริบตาปริบ ๆ
“พร็อพ...อะไรหรือเจ้าคะ?”
ตะวันหมุนตัวไปทางตู้เสื้อผ้าเก่าที่เธอพยายามขัดเงาไปแล้วสามรอบแต่ไม่สำเร็จ และเปิดมันออกอย่างมีชัย
“เราจะปลอมตัวไปส่งเสบียงอาหารให้ท่านแม่ทัพซือหยางด้วยตัวเองยังไง...ถ้าไม่เนียนพอ ใครจะปล่อยให้เข้าไปถึงเขาได้กันล่ะ!”
“หา!? จะไปเองจริง ๆ เหรอเจ้าคะ!?”
“ใช่!”
ตะวันชี้นิ้วไปที่ชุดบ่าวชายสีหม่น ๆ ตัวหลวมแต่อำพรางทรวดทรงได้ดี
“นี่คือ ‘พร็อพระดับตำนาน’ ของเราสำหรับวันนี้! ชุดบุรุษ + ผ้าโพกหัวเก็บผม + สำรับอาหารสุดอร่อย!”
“แล้ว...” เสี่ยวผิงลังเล “...แล้วเราจะทำยังไงถ้าท่านแม่ทัพจับได้ว่าเป็นหญิง?”
ตะวันชะงักไปหนึ่งวินาที แล้วแสร้งทำหน้าครุ่นคิด
“ถ้าเขาจับได้...ก็ต้องทำให้เขาจับใจให้ได้ก่อน!”
เสี่ยวผิงแทบล้มพับกับพื้น
“ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวขอประทานโทษล่วงหน้าไว้เลยได้ไหมเจ้าคะ…”
ตะวันไม่ฟังแล้ว!
เธอเดินไปหยิบผ้าโพกหัวขึ้นมาผูกอย่างทะมัดทะแมง หน้าเงาสะท้อนในกระจกคือหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความฮึกเหิม...ในคราบบุรุษจำแลง
“ข้าจะไปในนาม ‘ทหารใหม่แผนกครัวไฟ’ นำอาหารมาส่งตรงให้แม่ทัพด้วยตัวเอง!”
“เจ้าคะ แล้วถ้าโดนถามชื่อ…?”
“ข้าชื่อ…จิ่นเหอ!”
“เจ้าคะ นั่นชื่อปลาหมัก!”
“…งั้นเอาเป็น ‘อาเฟิง’ แล้วกัน ฟังดูมีแววรอดกว่า”
เสี่ยวผิงมองเจ้านายที่กำลังสวมเสื้อแขนยาว ผูกผ้าเอว หิ้วสัมภาระอย่างทะมัดทะแมง
เธอไม่รู้หรอกว่าฮูหยินตนนี้จะทำสำเร็จหรือไม่
แต่รู้เพียงอย่างเดียว...
นี่ไม่ใช่หลินเหยียนหรงคนเดิมอีกต่อไป