ตอนที่10

1964 Words
ตอนที่ 10 หลินเหยียนหรงเดินก้มหน้าก้าวเข้าสู่แถวชายชาวบ้านที่รอคัดเลือกเข้าทำงานในห้องครัวด้วยท่าทางสงบนิ่ง เธอพยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นจังหวะ พยายามไม่เงยหน้ามองใคร และไม่หวังให้ใครจำได้ เธอพยายามทำตัวเองให้มีสติอยู่ตลอดเวลา ชีวิตในโลกนี้มันไม่ง่าย... แต่ก็ใช่ว่าจะสู้ไม่ได้ เสียงคำสั่งของนายทหารเวรดังมาจากด้านหน้า “คนต่อไป! ขึ้นมาแสดงฝีมือ!” เสียงมีดสับผัก เสียงกวนหม้อ เสียงหม้อกระทบเตา…ดังก้องอยู่รอบบริเวณ กลิ่นน้ำมัน ผงขิง และควันไม้ลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ เธอสูดกลิ่นนั้นเข้าปอดลึก ๆ แล้วหลับตาเพียงชั่วครู่ มือทั้งสองข้างยังคงกอดตะกร้าใบเล็กไว้แน่น ข้างในมีข้าวสารเล็กน้อย เครื่องปรุงแห้ง กับปลาน้ำจืดที่เธอขอซื้อมาอย่างระมัดระวังตอนแวะตลาดก่อนเข้าค่าย เธอไม่ได้หวังจะเป็นแม่ครัวเอก ขอเพียงได้เข้าไปข้างใน...ได้เข้าใกล้ซือหยาง แม้เพียงเสี้ยวลมหายใจก็พอแล้ว “คนถัดไป!” เสียงสั่งจากหน้าสุดแถวตะโกนขึ้นอีกครั้ง เสียงนั้นปลุกเหยียนหรงให้ตื่นจากภวังค์ เธอขยับเท้าออกจากแถว เดินไปข้างหน้า ก้มศีรษะ วางตะกร้าของตนลงบนโต๊ะไม้ที่ตั้งอยู่กลางลาน นายครัวประจำค่ายเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างผอมสูง ใบหน้าตึง สายตาเฉียบคมอยู่ตลอดเวลา เขาเหลือบมองมาแวบหนึ่ง ก่อนถามเสียงห้วน “เจ้าชื่ออะไร” “…อาเฟิงขอรับ” เธอใช้ชื่อปลอมที่เตรียมไว้ ไม่ลังเลแม้แต่น้อย “มีประสบการณ์งานครัวมาก่อนหรือไม่” “มีเพียงเล็กน้อยขอรับ เคยช่วยงานครัวที่โรงเตี๊ยมในเมืองหลวง” ชายคนนั้นไม่ได้พยักหน้า ไม่แม้แต่จดชื่อ เขาชี้ไปยังโต๊ะไม้ที่วางปลาสด หัวหอม ขิง และเครื่องปรุงพื้นฐาน “ภายในหนึ่งเค่อ เตรียมอาหารให้ข้าหนึ่งจาน ไม่ต้องหรู แต่ต้องกินได้” “…รับคำขอรับ” หลินเหยียนหรงก้มศีรษะต่ำอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้น หยิบปลาสดจากบนโต๊ะ ล้างมือในถังน้ำที่จัดไว้ข้างเคียง แล้วเริ่มลงมือโดยไม่มีเสียงพูดใด ๆ เสียงแรกที่เกิดขึ้น คือเสียงคมมีดเฉือนผ่านท้องปลาดัง ฉึก ไม่ดังมาก...แต่เฉียบพอจะทำให้คนข้าง ๆ หันมามองด้วยความแปลกใจ ท่าทางของคนแปลกหน้าในชุดธรรมดานั้น นิ่ง มั่นคง ไร้แววเกร็งหรือประหม่าต่อสายตาผู้อื่นแม้แต่น้อย ‘ในโลกก่อน เพราะความบ้าซีรีส์...’ เธอคิดในใจ พลางล้างเลือดปลาออกจากเขียง ‘...ฉันเลยฝึกทำอาหารจีนอยู่พักใหญ่ ฝึกหั่น ฝึกผัด หาสูตรต่าง ๆ มาประยุกต์และทำขายในร้านกาแฟของตัวเองบ้าง พอให้ชีวิตมีอะไรให้ตื่นเต้นและหวังว่าสักวันจะทำให้ท่านพี่สักคนในชีวิตจริงรับประทาน’ “แต่ตอนนี้มันตื่นเต้นเกินไปมุ้ยยยย” เธอค่อย ๆ หมักปลาด้วยเกลือเล็กน้อย แล้วโรยขิงกับหัวหอมที่ซอยไว้ลงไป ไม่ลืมหยิบใบไม้ชนิดหนึ่งที่เธอแอบหยิบติดตัวมาจากตลาดเมืองนอกค่าย มีกลิ่นคล้ายใบมะกรูด แต่รสเข้มกว่า เธอบดมันในมือก่อนใส่ลงบนตัวปลา นั่นไม่ใช่กลิ่นของครัวจีนทั่วไป มันคือกลิ่นผสมของพริก ขิง และความเผ็ดสดปลายจมูกแบบอาหารไทยทางใต้ รสเข้มที่เธอมั่นใจว่าคนที่ได้ลิ้มจะไม่มีวันลืม เสียงกระทะเริ่มดัง เธอกะจังหวะรสชาติให้พอดี น้ำในกระทะเริ่มเดือดจนกลายเป็นซุปขลุกขลิกสีเข้ม กลิ่นพริกสดที่บดไว้เคี่ยวกับขิงโชยมาแตะปลายจมูกของคนรอบข้าง ไม่ใช่กลิ่นที่คุ้นเคยของคนที่นี่เลย แต่มันกลับอบอวล น่าดึงดูด แตกต่างจากอาหารในค่ายซึ่งส่วนใหญ่เต็มไปด้วยรสเค็มจัดและจืดชืดตามแบบฉบับอาหารทหาร “ใครมันคิดสูตรแบบนี้ขึ้นวะ…” เสียงทหารอีกคนพึมพำ แต่หลินเหยียนหรงยังคงนิ่ง ใบหน้าของเธอเปื้อนเหงื่อเล็กน้อยจากไอร้อนของกระทะ แต่ไม่มีร่องรอยความประหม่าใด ๆ เธอ ยกกระทะออกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนใช้ตะหลิวตักเนื้อปลาวางบนจานไม้ ราดน้ำซุปเข้มข้นที่เคี่ยวจนมีรสชาดกลมกล่อม เปรี้ยวเค็มนัว มีกลิ่นสมุนไพรจาง ๆ แทรกอยู่ในทุกอณูของกลิ่นไอ “เสร็จแล้ว” เธอพูดเสียงต่ำ ส่งจานนั้นไปให้หัวหน้าครัวชายวัยกลางคนที่ยืนจ้องเธอมานาน ชายผู้นั้นเหล่มองจานในมือด้วยสายตาแปลกใจ ปรายตามองหญิงสาวในคราบชายอีกครั้ง “ชื่ออะไร” เสียงห้วนทุ้มของทหารคนหนึ่งดังขึ้น ขณะชายหนุ่มหน้าขรึมยืนจ้องเธอผ่านไอร้อนจากหม้อซุปที่เดือดปุด หลินเหยียนหรงชะงักไปเล็กน้อย สัญชาตญาณแทบจะตอบออกไปว่า หลินเห... …แต่โชคยังเข้าข้าง สติกลับมาก่อนจะหลุดชื่อจริงให้ใครในค่ายรู้ เธอก้มหน้าเล็กน้อย ปล่อยเสียงต่ำธรรมดาที่สุดเท่าที่หญิงสาวจะดัดให้เป็นเสียงชายได้ “…อาเฟิง” เงียบไปชั่วอึดใจ ทหารคนนั้นพยักหน้าสั้น ๆ ไม่ได้มีท่าทีสงสัยอะไร “ดี เจ้าทำอาหารไม่เหมือนใคร…กลิ่นหอมมาก” เธอไม่ตอบอะไร เพียงแต่โค้งศีรษะเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพแบบผู้ต่ำศักดิ์ ภายในใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ "อาเฟิง" ชื่อนี้คือเกราะแรกในภารกิจปลอมตัวของเธอ จากนี้ไป…เธอต้องเป็นอาเฟิงให้แนบเนียนกว่านี้ ต้องเอาตัวรอดในค่ายทหารและที่สำคัญ…ต้องหาทางเข้าใกล้แม่ทัพซือหยางเพื่อพิชิตใจเขาและกลายเป็นนางเอกให้ได้ ไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่ว่า “อาเฟิง” ที่ดูธรรมดาคนนี้…แท้จริงคือภรรยาในนามที่เขาเคยเมินเฉย มือของ “อาเฟิง” สั่นเล็กน้อยตอนยกถาดไม้ขนาดกลางออกจากห้องครัว กลิ่นหอมของปลาต้มเค็มน้ำขลุกขลิกลอยฟุ้งไปทั่วทางเดิน แม้เจ้าตัวจะพยายามก้มหน้า แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่จ้องตามหลังมา ‘ใจเย็น ๆ ไว้ตะวัน...ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่มีใครเขาคิดหรอกว่าเราคือคุณหนูเหยียนหรงผู้สูงศักดิ์คนนั้น’ ‘แค่เดินเสิร์ฟอาหารให้ท่านแม่ทัพเอง...’ เธอถอนหายใจออกมาเบา ๆ ในใจ พร้อมขยับคิ้วให้หน้าดูเข้มขึ้นอีกนิด เผื่อช่วยให้คนอื่นเชื่อว่าเธอเป็น “อาเฟิง หนุ่มน้อยผู้มีฝีมือเรื่องการทำอาหาร ถึงจะไม่มีคิ้วเข้มๆเท่าไหร่ก็เถอะ” เสียงทหารด้านหน้าร้องเรียก “เจ้าเด็กคนใหม่! ขึ้นไปวางถาดที่ศาลาใหญ่ ท่านแม่ทัพกลับมาจากซ้อมรบพอดี!” ตะวันในร่างเหยียนหรงแทบจะสะดุดขาตัวเองทันที “ห๊า! ทำไมบทได้เจอกันมาไวปานนี้!” ตะวันในร่างเหยียนหรงร้องในใจ แทบจะเอาถาดฟาดหัวตัวเองให้ได้สติ เมื่อเสียงทหารด้านหน้าร้องเรียกซ้ำอีกครั้ง คราวนี้พร้อมส่งสายตาไม่พอใจ “ชักช้าอะไร! จะให้แม่ทัพหิวจนขว้างจานทิ้งหรือไง!” “ขะ…ขอรับ” อาเฟิงหรือที่จริงคือหลินเหยียนหรง รีบยกถาดไม้ขึ้นทั้งสองมือ เดินเร็วพอให้ดูขยัน แต่ไม่เร็วเกินไปจนปลาล้มจากจาน เธอสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง พยายามสงบจิตสงบใจอย่างที่สุด เมื่อเดินถึงบันไดศาลาไม้ เสียงฝีเท้าของเธอชะงักเล็กน้อย ภาพของชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคมคายแต่เย็นชา ที่แม้แต่มองใบไม้ก็ยังดูเหมือนกำลังวางแผนศึก ซือหยาง ชุดคลุมแม่ทัพของเขาไม่ได้หรูหราเท่าท่านอ๋องในวังหลวง แต่มันกลับดูสง่าเกินกว่าจะเป็นของใครในค่าย แผ่นหลังตั้งตรง ใบหน้าคมกริบไร้อารมณ์ และดวงตาที่เหมือนจับจ้องความเคลื่อนไหวได้ทุกสิ่งแม้ไม่ต้องเงยหน้ามอง “อาเฟิง” ก้าวเท้าขึ้นบันไดศาลา รู้สึกได้ชัดว่ามือที่ถือถาด…ชื้นเหงื่อจนเกือบลื่น ‘ไม่มองหน้าเขา อย่ามองหน้าเขา อย่ามองหน้าเขาเด็ดขาด’ วางถาด ก้มศีรษะ ถอยหนึ่งก้าว พยายามถอยให้จังหวะดูสงบนิ่งที่สุด “เจ้าคือคนปรุงปลาจานนี้?” เสียงทุ้มของซือหยางกล่าวถามขึ้น แม้เสียงไม่ดังมาก…แต่กลับแฝงความกดดันบางอย่างที่ทำให้หัวเข่าของเธอแทบทรุด หลินเหยียนหรง or rather, ตะวันในร่างอาเฟิง ชะงัก เท้าแทบก้าวถอยพลาด ‘นี่เขาจะจับได้ตั้งแต่ฉากแรกเลยเหรอ!’ ‘ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยนะ! ยังไม่ได้สบตา ยังไม่ได้เหวี่ยงพัด ยังไม่ได้ซัดคำด่าหยอก ๆ สักคำเลยด้วยซ้ำ!’ “ขะ…ขอรับ” เธอรีบตอบเสียงต่ำกว่าปกติ พยายามเกร็งกล่องเสียงให้ดูเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นไม่เกินยี่สิบ ถึงจะดูฝืน แต่ก็ยังดีกว่าเผลอหลุดน้ำเสียงฮูหยินจอมบ่นที่เธอเคยเป็นตอนอยู่ในจวน หากแต่คงไม่ประหม่าขนาดนี้ ถ้าเธอไม่ได้เป็นฮูหยินของเขา ฮูหยินที่เขาไม่อยากเห็นหน้าถึงกับต้องหนีมากินนอนอยู่ในค่าย และเธอต้องลำบากปลอมตัวตามมาเพื่อใกล้ชิดเขา ‘ใจเย็นยัยตะวัน...เรามาที่นี่เพื่อเปลี่ยนบทเป็นนางเอกให้ได้ เรามีเป้าหมาย’ “วันพรุ่งนี้ ให้เจ้าเป็นคนปรุงให้ข้าอีก” “…หะ? ขอรับ...” เสียงแทบหลุดจากลำคอจริงของเหยียนหรง คำว่า “ขอรับ” ที่เธอพูดออกไปนั้น รีบจนแทบเป็นเสียงสะอื้นปนเสียงกลืนกรี๊ด มะ...หมายความว่า... เขารับเราเข้ามาทำงานในค่ายแล้วงั้นหรือ!? หลินเหยียนหรงแทบจะกระโดดโลดเต้นออกมาจากศาลาให้รู้แล้วรู้รอด! เธอเกือบจะหมุนตัวดีดส้นเท้าใส่อากาศอย่างในซีรีส์ย้อนยุคโลกเก่าไปแล้ว ถ้าไม่ติดว่าสภาพในตอนนี้กำลังปลอมตัวเป็นบุรุษหนุ่มน้อยหน้ามลอยู่ล่ะก็ ฮึ่ม!! 'แต่โอ๊ย! สำเร็จแล้ว ผ่านด่านแรกแล้ว!' แต่แม้จะกรีดร้องเป็นล้านคำในใจ ใบหน้าเธอก็ยังคงสงบนิ่งเหมือนเดิม สายตาก้มต่ำชนิดมองเห็นพื้นไม้ทีละเสี้ยน เธอเดินถอยหลังลงจากศาลาแบบช้า ๆมือข้างหนึ่งจับถาดเปล่าไว้แน่น อีกข้างขยุ้มชายเสื้อไว้จนยับแทบขาด หัวใจเต้นดังกลองรบ ‘พรุ่งนี้ได้เข้าใกล้เขาอีกแล้ว ได้เห็นหน้าเขาชัด ๆ โดยไม่ต้องแอบตามจากหลังต้นไม้หรือรั้วจวน’ ‘วันนี้รอดได้ พรุ่งนี้ฉันก็จะรอดและจะรอดไปให้ถึงตอนสุดท้ายให้ได้!’ ทันทีที่หลุดจากเขตศาลา เหยียนหรง หรืออาเฟิงแทบทรุดลงข้างกระถางต้นไผ่ สูดหายใจเฮือกใหญ่ "ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณโชค ขอบคุณปลา...!" เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ "เอาล่ะตะวัน...ไม่สิ อาเฟิง!" "ต่อไปนี้เจ้าคือพ่อครัวประจำตัวแม่ทัพสุดหล่อเย็นชาและไร้หัวใจผู้นั้นแล้ว" จากนั้นเธอก็พยายามตีหน้าขรึม กลับสู่โหมด "เด็กหนุ่มผู้ยากไร้จากหมู่บ้านข้างเขา" แต่เธอไม่รู้เลยว่า... คนที่เพิ่งมองเธอก้มหน้าเดินจากไป กำลังจ้องมองตามหลังด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความแปลกใจอะไรบางอย่าง “อาเฟิง…” ซือหยางทวนชื่อในใจเบา ๆ พยายามนึกว่าเคยพบเจอเจ้าอาเฟิงผู้นี้ที่ไหน นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD