พี่สาวนิสัยไม่ดี 1.2

3479 Words
“ฮือๆๆ ฮือ” เสียงสะอื้นไห้ดังออกมาจากลำคอของเขมิกาอย่างต่อเนื่อง มือเล็กกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น ข้อความภาพที่ถูกส่งมายังคงปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือ เสียงสะอื้นดังออกมาถึงนอกห้อง วรางค์คนางค์ที่กำลังเดินผ่านห้องส่วนตัวของลูกสาวชะงักเท้าโดยพลัน เปลี่ยนทิศทางการเดินจากความตั้งใจเดิมจะลงไปชั้นล่าง เดินตรงไปยังห้องของบุตรสาวทันที นางเคาะประตูสามครั้งก่อนจะเปิดประตูเข้าไปภายในห้อง             “เป็นอะไรเขม ลูกร้องไห้ทำไม” นางถามลูกสาวเมื่อทรุดกายลงนั่งบนเตียงนอน             “คุณแม่ขา...เขม เขม...ฮือ” หญิงสาวที่กำลังร้องไห้ไม่ตอบคำถาม แต่กลับโผกอดร่างของมารดาเอาไว้แน่น ร้องไห้กับอกแสนอบอุ่นและเป็นที่พักพิงเธอได้ทุกครั้งที่ประสบพบเจอกับคำว่าทุกข์ ฝ่ามือของวรางค์คนางค์ลูบศีรษะของลูกสาวเบาๆ คล้ายกับปลอบประโลม กระชับอ้อมกอดให้แน่นยิ่งขึ้นราวกับจะปกป้อง             “ร้องไห้ทำไมลูก ใครทำอะไรลูกแม่” นางถามหลังจากที่เสียงสะอื้นไห้ของลูกสาวทุเลาลง             “คุณแม่ขา ดูนี่สิคะ” เขมิกายื่นโทรศัพท์ที่อยู่ในมือให้มารดา นางรับมันไว้แล้วก้มมองภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ดวงตาขอสตรีวัยห้าสิบปีเบิกกว้างด้วยความตกใจ บุคคลที่อยู่ในภาพคือวุฒิชัย คนรักของลูกสาว ในภาพไม่ได้มีเพียงแต่วุฒิชัยเท่านั้น ยังมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งอยู่ในภาพนั้นด้วย ทั้งสองอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน แล้วที่สำคัญท่อนบนเปลือยเปล่า ท่อนล่างมีผ้าห่มคลุมทับเอาไว้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ทั้งคู่เพิ่งผ่านกิจกรรมอะไรมา             “ผู้หญิงคนนั้นส่งมาให้เขมค่ะคุณแม่ เธอบอกว่า บอกว่า เธอขอพี่วุฒิค่ะ ฮือ” เสียงร้องไห้ของเขมิกาดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อนึกถึงคำพูดที่ยังคงก้องอยู่ในหู หญิงสาวจำเสียงของต้นสายได้ดี เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยิน เขมิกาจะได้ยินทุกครั้งที่เห็นภาพบาดอารมณ์ อีกทั้งยังเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า ความรักของเธอครั้งนี้ได้อับปางลงแล้ว แต่ที่เธอไม่เข้าใจก็คือ ผู้หญิงปริศนาคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ เหตุใดจึงแย่งชิงคนรักของเธอด้วย หากแย่งไปแล้วยังรักกันอยู่เธอพอจะเข้าใจ มันไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งคู่จะเลิกร้างกันในเวลาต่อมา เขมิกาจึงไม่เข้าใจจุดประสงค์ของหญิงสาวปริศนาคนนั้นเลย “โถ...ลูกแม่ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย แม่ไม่เข้าใจเลยว่าผู้หญิงคนนี้ว่า ต้องการอะไรมาทำกับเขม แบบนี้ทำไม” วรางค์คนางค์ก็ต้องการคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน สี่ครั้งแล้วที่เขมิกาต้องร้องไห้เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องที่เหมือนหนังเก่ามาเล่าใหม่ ซ้ำๆ หลายครั้ง หัวใจของคนที่เป็นแม่เจ็บช้ำไม่แพ้กัน             “เขมก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่า ผู้หญิงคนนั้นต้องการอะไร ทำแบบนี้ทำไม เขมจะทนไม่ไหวแล้วนะคะคุณแม่ ฮือ” เขมิกาถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีเยี่ยม ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ถูกอบรมให้สมกับเป็นกุลสตรีไทย เธอได้รับความอบอุ่นทั้งจากบิดาและมารดา หญิงสาวจึงเปรียบเสมือนแก้วที่เปราะบาง ไม่มีภูมิคุ้มกันพร้อมที่จะแตกสลายได้ทุกเมื่อ หากมีอะไรมากระทบจิตใจ อย่างเช่นเรื่องนี้เป็นต้น หากไม่มีมารดาคอยปลอบโยนและให้กำลังใจ เขมิกาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเป็นเช่นไร “เขมต้องอดทนนะลูก ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวในโลก เขมของแม่ต้องเข้มแข็ง การที่ผู้หญิงคนนั้นแทรกเข้ามาในความรักของลูก มันก็เหมือนเป็นการพิสูจน์ความหนักแน่น ความจริงใจของชายคนนั้นๆ ว่าจะรักลูกแม่จริงมากน้อยแค่ไหน ให้ลูกแม่ได้รู้ตัวก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงานกันไป เพราะถ้าถึงวันนั้นเขมจะต้องเป็นคนที่เสียใจมากที่สุด เชื่อแม่นะลูก เขมต้องเข้มแข็งและอดทน”             “เขมไม่เข้าใจเลยค่ะคุณแม่ เขมไม่เคยไปแย่งของของใคร ไม่เคยแย่งชิงความรักของใครด้วย ไม่เคยแม้แต่จะคิด แล้วทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้มาแย่งคนที่เขมรักด้วยล่ะคะคุณแม่” ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา เขมิกาถูกแย่งชิงคนรักไปถึงสี่คน ซึ่งแต่ละครั้งมักเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เธอยังจำน้ำเสียงของสตรีในภาพได้ไม่มีวันลืม เพราะมันเหมือนกันทุกครั้งที่เกิดเรื่องเช่นนี้ และความเจ็บปวดทางใจมีมากไม่ต่างกันเลย              คำพูดของลูกสาวกระแทกใจของคนที่เป็นแม่อย่างจัง หรือนี่มันจะเป็นผลกรรมที่นางได้ทำไว้ในอดีต มันไม่ได้ย้อนกลับเข้ามาหานางอย่างที่สมควรจะเป็น ผลกรรมกลับพุ่งเป้าไปที่เขมิกาแทน ลูกสาวเป็นคนรับกรรมแทนนาง กรรมที่ยังติดเป็นชนักปักหลังนั้นก็คือ นางแย่งชิงณัฐพลมาจากอดีตภรรยาของเขานั่นเอง             “เขมไม่ผิดหรอกลูก เขมลูกแม่ไม่ผิด เขมต้องเข้มแข็งนะลูก ถ้าลูกอ่อนแอเมื่อไหร่ ผู้หญิงคนนั้นก็จะได้ใจ เธอก็จะทำอย่างนี้ซ้ำๆ ซากๆ การที่ผู้หญิงคนนั้นรู้ว่าคนรักของเขมคือใคร นั่นหมายความว่าเธอต้องรู้การเคลื่อนไหวของลูก เพราะฉะนั้นอย่างอ่อนแอ เขมต้องยืนหยัดให้ได้ เขมต้องลุกขึ้นสู้บ้างนะลูก คนที่อ่อนแอมักตกเป็นเหยื่อของคนที่เข้มแข็งเสมอ ถ้าเขมอ่อนแอมันก็ยิ่งได้ใจ”             มารดาพูดถูก ผู้หญิงคนนั้นต้องรู้ความเคลื่อนไหวของเธอ ไม่เช่นนั้นจะไม่รู้ว่าคนรักของเธอนั้นคือใคร ทว่าในความเป็นจริงมันทำได้ยากยิ่ง เขมิการรักใครรักจริง ไม่เผื่อใจไว้สำหรับคำว่าผิดหวังเลย ดีที่ว่าเธอกับวุฒิชัยคบหากันได้ไม่ถึงสามเดือน ความรักจึงยังไม่แน่นในอุรา ความเจ็บปวดจึงมีไม่มากเท่าคนรักคนก่อนๆ             “เขมจะเข้มแข็งค่ะ เขมจะพยายามให้ดีที่สุดค่ะ”             “ดีมากลูก ล้างหน้าล้างตาซะนะ แล้วลงไปทานข้าวนะลูก”             “ค่ะแม่” เขมิการับคำมารดาเสียงเบา เธอส่งยิ้มบางๆ ให้วรางค์คนางค์ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ล้างหน้าขจัดความทุกข์ที่แต่งแต้มติดบนดวงหน้าออก ต่อไปนี้เธอจะต้องเข้มแข็ง จากผู้แพ้ต้องเปลี่ยนเป็นผู้ชนะให้ได้               “แม่จ๋า แม่ ผึ้งกลับมาแล้วจ้ะ ผึ้งซื้อของอร่อยๆ มาฝากแม่เยอะแยะเลย” เสียงหวานใสของวชิราภรณ์ดังมาก่อนที่เธอจะก้าวเข้าไปในบ้าน ทำให้สตรีวัยห้าสิบเอ็ดปีหันหน้ามามองต้นเสียงที่หิ้วถุงอาหารติดมือมาหลายใบ ด้านหลังมีหนุ่มรูปงามนามว่าณัชญ์เพื่อนสนิทของลูกสาวเดินตามมาติดๆ  “สวัสดีครับคุณป้า จียังไม่มาหรือครับ” ณัชญ์พนมมือไหว้กัญญา ก่อนจะเอ่ยถามถึงเพื่อนอีกคน “มาแล้วจ้ะ ออกไปซื้อน้ำหวานที่ร้านโกฮุยน่ะ” กัญญาตอบ “แม่จ๋า วันนี้ผึ้งซื้อของอร่อยๆ ตั้งหลายอย่างมาให้แม่ด้วยนะ ของชอบของแม่ทั้งนั้นเลย” วชิราภรณ์ชูถุงอาหารในมือให้มารดาดู จากนั้นก็เดินตรงไปเข้าในห้องครัว เพื่อจัดอาหารที่ซื้อมาใส่จาน เพียงสิบนาทีอาหารหลากหลายชนิดก็ถูกตั้งวงอยู่บนพื้นไม้กระดานของบ้าน ณัชญ์ทำหน้าที่ยกหม้อหุงข้าวมาวางไว้ข้างๆ ลูกสาวเจ้าของบ้าน วชิราภรณ์ทำหน้าที่ตักข้าวสวยร้อนๆ แจกจ่ายให้คนที่ร่วมรับประทานอาหารด้วย “นึกยังไงซื้อของกินมาเยอะแยะอย่างนี้ล่ะลูก ซื้อผักสด เนื้อสัตว์มาทำกินเองแม่ว่าจะประหยัดกว่านะ” กัญญามีนิสัยมัธยัสถ์ ใช้ชีวิตแบบพอเพียงไม่ฟุ้งเฟ้อไปตามวัตถุนิยมและสังคมเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปบอกลูกสาว พร้อมกับมองอาหารหลายอย่างที่มีราคาค่อนข้างแพงด้วยความเสียดายเม็ดเงินที่ซื้อไป “แม่จ๋า นานๆ ครั้งน่ะ พอดีวันนี้ผึ้งทำงานชิ้นโบว์แดงชิ้นหนึ่งเสร็จ ผึ้งก็เลยเลี้ยงฉลองความสำเร็จน่ะแม่” วชิราภรณ์คุยโว กัญญายิ้มรับความสำเร็จของลูกสาว เพราะเข้าใจว่าผลงานชิ้นที่ว่านั้นนั้นเป็นเรื่องงาน สองเพื่อนสนิทมองหน้ากัน ทั้งสองไม่อยากจะคิดเลยว่า หากกัญญารู้เรื่องที่ลูกสาวทำอยู่ นางจะเสียใจและผิดหวังมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากความลับมันไม่มีในโลกใบนี้ “กินข้าวเถอะแม่ ของอร่อยๆ ทั้งนั้นเลย” ทั้งหมดจึงลงมือรับประทานอาหารที่วชิราภรณ์เลือกซื้อมาให้มารดาทานโดยเฉพาะอย่างไม่นึกเสียดายเงิน ทั้งสี่ทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย พูดคุยกันอย่างสนุกสนานทำให้รสชาติของอาหารเย็นมือนี้อร่อยเพิ่มขึ้นหลายเท่า ก่อนที่วชิราภรณ์และเพื่อนสนิททั้งสองคนจะช่วยกันเจ็บจานชามไปล้าง “ผึ้ง เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวแบบนี้ซะที แกมีความสุขนักหรือไง ไม่กลัวป้าญารู้เรื่องเหรอ” รุ่งรุจีหันมาถามเพื่อนสาวขณะกำลังล้างจาน “ฉันไม่มีวันเลิกทำจนกว่าคนพวกนั้นจะได้รับความเจ็บปวดเหมือนกับที่แม่ฉันเจ็บ แล้วที่ถามฉันว่าฉันมีความสุขหรือเปล่า ตอบตรงนี้เลยว่ามาก ฉันมีความสุขเมื่อได้เห็นน้องสาวฉันเสียน้ำตา มันสะใจเป็นที่สุด ส่วนคำถามหลังสุดของแก แม่ฉันไม่มีวันรู้เรื่องนี้เด็ดขาดถ้าหากแกสองคนไม่พูด” “แกรู้ได้ยังไงว่าป้าญาเจ็บปวด แกเคยถามป้าญาเหรอ” “ฉันรู้สิ ก็เพราะท่านเป็นแม่ของฉัน แกไม่ได้อยู่กับท่านมาตั้งแต่เกิด แกไม่รู้หรอกว่าแม่ของฉันเจ็บปวดมากแค่ไหน แม่ฉันเจ็บ ฉันก็เจ็บด้วยแล้วใครหน้าไหนที่มันทำให้แม่ของฉันเจ็บ คนๆ นั้นก็จะต้องเจ็บมากกว่าฉันหลายร้อยเท่า” วชิราภรณ์ตอบตามความรู้สึกของเธอเอง ประกอบกับภาพในวัยเด็กที่หญิงสาวมักเห็นมารดาแอบร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง พอเธอถามมารดาจะบอกว่าฝุ่นเข้าตาเสมอ จนกระทั่งเธอมารู้ความจริงทั้งหมดในวัย 14 ปี ณัฐพลบิดาของวชิราภรณ์แต่งงานกับกัญญาได้เพียงสามปี ความรักและความเข้าใจถูกแทรกเพราะผู้หญิงที่ชื่อวรางค์คนางค์ ณัฐพลพาภรรยาน้อยเข้ามาอยู่ในบ้าน นำพาความเสียใจมาให้กัญญาอย่างมากมายมหาศาล เท่านั้นยังไม่พอ ยังลดบทบาทหน้าที่ของภรรยาหลวงทีละนิด จากเดิมที่กัญญาคอยจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้านก็ถูกภรรยาน้อยยึดไปทำหน้าที่นั้นแทน กัญญาซึ่งมีนิสัยเงียบๆ เก็บความรู้สึกไว้ภายใน นางไม่พูด ไม่ว่าภรรยาน้อยสักคำ หวังลึกๆ ว่าณัฐพลจะให้ความยุติธรรมกับนางบ้าง เปล่าเลย...ณัฐพลไม่ทำการใดๆ ทั้งสิ้น แถมยังบอกว่า เป็นการณ์ดีที่วรางค์คนางค์มาช่วยดูแลค่าใช้จ่ายภายในบ้าน แบ่งเบาภาระไปได้อีกทางหนึ่ง             เรื่องมันไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ต่อหน้าณัฐพล วรางค์คนางค์จะทำตัวดี อ่อนน้อมถ่อมตนกับกัญญาเสมอ ทว่าลับหลังพฤติกรรมคนละทางกันเลย ภรรยาน้อยมักพูดจาเสียดสีมารดาของเธออยู่ตลอดเวลา พูดประมาณว่า ที่ณัฐพลพาตนเองเข้ามาอยู่ในบ้านนั้น เป็นเพราะเบื่อและหมดรักภรรยาหลวง หนำซ้ำยังพูดทิ้งท้ายด้วยว่า ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ ถ้าเป็นวรางค์คนางค์คงหนีไปจากที่นี่ ไม่ทนอยู่กับคนที่ไม่ต้องการตัวเอง             กัญญาเก็บความรู้สึกต่างๆ ไว้ในใจ ไม่แสดงกิริยาใดๆ ให้สามีไม่สบายใจ แม้ว่าตนเองจะกล้ำกลืนมากเพียงไรก็ตาม เหตุผลที่กัญญาหนีออกมาจากชีวิตของบิดาเป็นเพราะ ณัฐพลเข้ามาพูดเรื่องบางอย่างกับกัญญาในวันหนึ่ง เรื่องนั้นก็คือเรื่องหย่า โดยให้เหตุผลในการขอหย่าว่า ตอนนี้วรางค์คนางค์ตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนเศษ เขาไม่อยากให้ลูกที่เกิดมาในอนาคตต้องมีปมด้อย หากรู้ว่าแม่ของตนเองเป็นภรรยาน้อย การหย่าร้างเป็นเพียงในนามเท่านั้น กัญญาสามารถอยู่ในบ้านของเขาไปตลอดชีวิต เขาไม่คิดที่จะผลักไสนางไปไหน กัญญาเสียใจมากเนื่องจากตอนนั้นนางก็ตั้งครรภ์ได้สองเดือนเศษเช่นกัน เพียงแต่ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร แม้แต่พ่อของเด็กในท้อง             กัญญาอยากจะถามณัฐพลกลับไปว่า แล้วลูกของนางที่อยู่ในท้องจะทำอย่างไร หากหย่าร้างกันไปแล้ว ลูกของนางจะมีปมด้อยเหมือนลูกของวรางค์คนางค์หรือไม่ กัญญาไม่ถามเนื่องจากคำพูดของณัฐพลชัดเจนทุกอย่างแล้วว่า ไม่ต้องการให้นางอยู่ในฐานะภรรยา กัญญาจึงหนีออกจากบ้านที่ฝากความเจ็บปวดไว้ในหัวใจของตัวเองทันทีที่จัดการเรื่องหย่าเรียบร้อย ไม่มีใครรู้ว่านางตั้งท้อง ไม่มีใครรู้ว่านางให้กำเนิดธิดาหน้าตาน่ารัก เป็นแก้วตาดวงใจ เป็นตัวจุดประกายความหวังและแรงฮึดสู้กับโลกที่แสนโหดร้าย             “เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว บางทีป้าญาอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ อีกอย่างที่ป้าญาเล่าให้แกฟัง ไม่ใช่ให้แกไปเคียดแค้นคนบ้านโน้น ป้าญาอยากให้แกรู้ว่าใครคือพ่อของแกต่างหาก แกแปลความหมายผิดเพี้ยนไปหรือเปล่า” รุ่งรุจีเป็นเพื่อนกับวชิราภรณ์มานานถึงสิบเก้าปี วันที่กัญญาเล่าให้เพื่อนสาวฟังเธอก็นั่งฟังอยู่ด้วย จึงรู้เรื่องราวทั้งหมด รุ่งรุจียังจำวันที่กัญญาเล่าอดีตได้เป็นอย่างดี แววตาของนางนั้นไม่มีความทุกข์โศก ไม่มีความเสียใจแฝงอยู่ในสายตาคู่นั้นเลย “แกเป็นเพื่อนฉันหรือว่าเป็นเพื่อนน้องนอกไส้ของฉันกันแน่ แกไม่เคยเข้าข้างฉันเลย” วชิราภรณ์พูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ ไม่เคยเลยที่เพื่อนสนิททั้งสองจะเข้าข้างเธอ ตรงกันข้ามคอยห้ามปรามทุกเมื่อเชื่อวัน รุ่งรุจีกับณัชญ์น่าจะเข้าใจความรู้สึกของเธอมากที่สุดมันถึงจะถูก “ก็เพราะแกเป็นเพื่อนฉันนะสิ ฉันถึงได้เตือนแก คอยห้ามแก เพราะไม่อยากให้แกเจ็บปวดใจไปมากกว่านี้ ถ้าหากแกรู้จักคำว่าให้อภัยเหมือนป้าญา แกจะมีความสุขมากกว่านี้นะผึ้ง” รุ่งรุจีพูดประโยคนี้กับเพื่อนสาวเสมอ การให้อภัยเป็นหนทางแห่งความสุข หากไม่รู้จักคำๆ นี้ วชิราภรณ์คงต้องตกอยู่ในบ่วงความแค้นไปตลอดชั่วชีวิต “ตอนนี้ชีวิตฉันก็มีความสุขดี ยิ่งได้แก้แค้นแทนแม่ ฉันยิ่งมีความสุขมากขึ้นไปอีก แกสองคนไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ฉันดูแลตัวเองได้” “จีกับณัชญ์เป็นห่วงผึ้งนะ รู้ไหมทุกครั้งที่ผึ้งพาแฟนของเขมไปที่โรงแรมเพื่อทำตามแผน จีกับณัชญ์เป็นห่วงผึ้งมากแค่ไหน กลัวว่าผึ้งจะพลาดพลั้งให้พวกผู้ชายหลายใจพวกนั้น อันที่จริงณัชญ์เองก็ไม่อยากขัดขวางความสุขในการแก้แค้นของผึ้งหรอกนะ แต่ความที่จีกับณัชญ์เป็นห่วงผึ้ง จึงได้เตือนด้วยความหวังดี ไม่ได้คิดเข้าข้างคนอื่นเลย จีกับณัชญ์เข้าข้างผึ้งเสมอ” ณัชญ์พูดขึ้นหลังจากที่เงียบมาตลอดการสนทนา วชิราภรณ์วางจานที่ล้างใบสุดท้ายลงในที่คว่ำจาน ก่อนจะหันมาหาเพื่อนรักทั้งสองคนที่อยู่เคียงข้างเธอเสมอ ไม่ว่าจะสุขหรือว่าจะทุกข์ “ฉันขอบใจแกสองคนมากนะที่เป็นห่วงฉัน ฉันดูแลตัวเองได้จริงๆ อายุตั้งยี่สิบห้าแล้วไม่ใช่เด็กๆ เรื่องแก้แค้นแทนแม่พวกแกไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฉันพอใจที่จะทำอย่างนี้เอง” วชิราภรณ์เดินเข้ามาสวมกอดเพื่อนรักทั้งสองด้วยความซาบซึ้งใจ ในโลกนี้มีเพียงสามคนเท่านั้นที่รักและหวังดีกับเธอเสมอมา หนึ่งคือมารดา สองคือรุ่งรุจี และสามคือณัชญ์ หญิงสาวเคยคิดว่าหากวันหนึ่งเจอคนที่ใช่และแต่งงานใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เธอจะไม่มีวันยอมให้ใครมาแย่งชายคนรักไปเด็ดขาด และไม่มีวันยอมมีชะตาเดียวกันกับมารดาอีกด้วย ........................................ ตอนดึกของวันนั้น “แม่จ๋า ปลายเดือนหน้าผึ้งต้องไปต่างจังหวัดนะแม่ ไปสามวันสองคืน” วชิราภรณ์เอ่ยบอกมารดาขณะจัดที่นอนสำหรับเธอและมารดา “ไปที่ไหนล่ะลูก” “ไปชะอำจ้ะแม่ ที่ทำงานเขาจัดสัมมนาที่โน่นค่ะ พอสัมมนาเสร็จก็พาพนักงานไปเที่ยวเลย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” พูดจบก็ล้มตัวลงนอนบนฟูกที่ปูเสร็จเรียบร้อย กัญญาปิดไฟในห้องก่อนจะเดินมาเอนตัวนอนบนฟูกอีกคน “ใกล้ๆ วันแม่จะจัดกระเป๋าให้นะ ผึ้งจะได้ไม่ยุ่ง” “จ้ะแม่” ผู้เป็นลูกรับคำ เขยิบตัวมากอดร่างของกัญญาเหมือนเช่นทุกคืน “ผึ้งโตแล้วนะลูก เมื่อไหร่จะเลิกติดแม่ซะที แม่ให้ไปนอนห้องโน้นก็ไม่ไปไม่อายจีกับณัชญ์บ้างหรือลูก” บ้านที่สองแม่ลูกอาศัยอยู่เป็นบ้านเช่าชั้นเดียวมีสองห้องนอน ทว่าวชิราภรณ์ไม่ยอมแยกไปนอนอีกห้อง ยืนกรานจะนอนกับมารดาแม้ว่าวัยจะล่วงเลยมาถึงยี่สิบห้าปีแล้วก็ตาม “ผึ้งไม่อาย ผึ้งรักแม่ ผึ้งไม่สนใจใครทั้งนั้นว่าจะมองผึ้งเป็นลูกแหง ผึ้งอยากนอนกอดแม่ทุกวัน กอดใครก็ไม่อุ่นเท่ากับกอดแม่เลย ผึ้งรักแม่ที่สุดในโลกจ้ะ”  ลำแขนของคนที่พูดรัดร่างของมารดาอย่างแนบแน่น เงยหน้าหอมแก้มกัญญาฟอดใหญ่ก่อนจะซบหน้ากับอกอุ่นของบุพการี “พอมีแฟนเดี๋ยวก็ลืมแม่” กัญญาเย้าลูกสาว “ผึ้งไม่มีวันลืมแม่หรอกจ้ะ มีแม่แค่คนเดียวถ้าลืมก็แย่แล้ว เรื่องแฟนมันเป็นเรื่องไกลตัวจ้ะแม่ ผู้ชายสมัยนี้หาดียาก อยู่ขึ้นคานนอนกอดแม่ดีกว่า” วชิราภรณ์ไม่แคร์หากจะอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต เป็นการดีเสียอีกเพราะหญิงสาวจะได้แย่งคนรักของเขมิกาไปนานๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะอยู่บนคานทองคนเดียว เพราะอย่างน้อยยังมีน้องสาวนอกไส้อยู่รวมคานทองนิเวศน์เป็นเพื่อนเธอ “ผู้ชายดีๆ ก็มีนะลูก ไม่แน่นะลูกสาวของแม่อาจจะได้พบเจอเร็วๆ นี้ก็ได้” “ผึ้งรู้ค่ะ แต่ผึ้งยังหาไม่เจอเท่านั้นเอง แม่จ๋าโบนัสออกปีนี้ ผึ้งว่าผึ้งจะพาแม่ไปเที่ยว แม่อยากไปที่ไหนจ้ะผึ้งจะพาแม่ไป” เธอเปลี่ยนหัวข้อเรื่องการสนทนา เอ่ยถามในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจจะทำให้มารดา “แม่ไปไหนก็ได้ ขอให้ที่นั่นมีผึ้งก็พอ” “งั้นเราไปเที่ยวกระบี่กันนะแม่ หาดทราย น้ำทะเลที่นั่นสวยมากๆ เลยแม่ ผึ้งว่าแม่ต้องชอบแน่ๆ เลยจ้ะ” “แม่ตามใจเจ้ามือ พาไปไหนแม่ก็ไปที่นั่น” นางไม่เกี่ยงเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ขอเพียงที่แห่งนั้นมีลูกสาวไปด้วยก็พอแล้ว “แม่จ๋า ผึ้งรักแม่นะจ้ะแล้วก็จะรักตลอดไปด้วย ราตรีสวัสดิ์นะจ้ะแม่จ๋า” วชิราภรณ์เงยหน้าส่งยิ้มละไมพร้อมกับฝังปลายจมูกลงบนแก้มของมารดา กล่าวราตรีสวัสดิ์เหมือนเช่นทุกค่ำคืนที่ผ่านมา “แม่รักผึ้งน้อยของแม่ที่สุดในโลกแล้วก็จะรักตลอดไปด้วยจ้ะ ฝันดีนะลูกรัก” กัญญาหอมแก้มลูกสาว เอ่ยคำอวยพรให้วชิราภรณ์ฝันดีดั่งเช่นทุกค่ำคืนตั้งแต่ลูกคนนี้เกิดมา  “แม่จ๋า ผึ้งรักแม่” เธอพึมพำเบาๆ ก่อนที่หญิงสาวจะเข้าสู่ห้วงนิทราในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของมารดา อ้อมกอดที่ไม่เคยทำร้ายเธอให้เจ็บกายและใจ มันจะดีไม่น้อยหากหญิงสาวจะได้รู้ซึ้งถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดของคนที่เป็นพ่อบ้าง วชิราภรณ์หวังลึกๆ ว่าคงจะมีวันนั้นในสักวันหนึ่งของชีวิต
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD