บทที่ 9 เข้าป่า

3037 Words
ป่าทางด้านตะวันออกเป็นป่าที่ชาวบ้านเข้าไปเก็บผักป่าและหาฟืน เหอเสี่ยวหงที่พ่วงลูกสาวมาด้วยสามคนจึงต้องเข้าไปป่าที่ชาวบ้านเข้ามา เพราะเธอไม่สามารถที่จะดูแลลูกสาวคนเดียวได้ เวลาแปดโมงเช้าเป็นเวลาที่ชาวบ้านในหมู่บ้านลงแปลงนากันแล้ว ยกเว้นบ้านที่มีแม่ให้กำเนิดลูกที่อยู่ไฟกับคนแก่ชราที่ไม่ได้ลงแปลงนา บางคนอาจอยู่บ้าน บางคนก็จะเข้ามาเก็บฟืน ทำให้เหอเสี่ยวหงเห็นคนเดินเข้าออกไม่กี่คน “พวกหนูเก็บเศษไม้ตรงนี้นะจ๊ะ แม่จะหาฟืนตรงนั้น ถ้ามีอะไรให้ตะโกนเรียกเสียงดัง ๆ นะจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงชี้บอกลูกสาว ตรงที่เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาวว่าจะไปเก็บฟืนไม่ได้ห่างจากตรงที่จะเก็บเศษไม้มากนักแต่เหอเสี่ยวหงก็ห่วงลูกสาว “ได้ค่าาา” เป็นโจวซานนีที่ตอบ “เอ้อร์นีจ๊ะ ดูแลน้องด้วยนะลูก” เหอเสี่ยวหงหันไปหาลูกสาวคนโต “ได้ค่ะ!” โจวเอ้อร์นีรับคำ “แม่วางตะกร้าไว้ตรงนี้ ถ้าเหนื่อยก็พาน้องนั่งนะลูก” เหอเสี่ยวหงพูดต่อ เด็กทั้งสามคนจึงพยักหน้ารับทราบคำที่แม่บอก พร้อมทั้งพากันเดินเก็บเศษไม้มาใส่เถาวัลย์ที่หาเจอเมื่อกี้กัน เหอเสี่ยวหงมองแล้วจึงเดินไปตรงที่จะเก็บฟืน เธอจะเก็บวันละ 1-2 มัดก็พอ กว่าจะถึงฤดูหนาวฟืนก็น่าจะเยอะแล้ว และรอแปลงผักเสร็จก็จะมีแรงงานเพิ่ม ระหว่างเก็บฟืนเหอเสี่ยวหงมองรอบ ๆ ตัวตลอดเวลา โดยเฉพาะทางลูกสาวที่เหอเสี่ยวหงจับไม้ทีก็หันไปมอง เพราะกลัวเกิดอันตราย พอเก็บได้ 2 มัด เหอเสี่ยวหงก็แบกฟืนมัดหนึ่งกับลากอีกมัดไปหาลูก ๆ “เอ้อร์นีจ๊ะ พาน้องพอได้แล้วจ้ะ” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาว เหอเสี่ยวหงสะพายตะกร้าอีกครั้ง มืออีกข้างแบกมัดฟืนใส่ไหล่ ส่วนอีกข้างช่วยกันดึงกับโจวซานนี ส่วนเศษไม้โจวเอ้อร์นีมัดเป็นกองเล็ก ๆ และหิ้วคนละข้างกับโจวลิ่วนี “พักตรงนี้ก่อนจ้ะ” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาวหยุดพัก ตรงที่เหอเสี่ยวหงหยุดพักนั้นจะเป็นป่าหน่อไม้ ข้าง ๆกันจะมีคลองน้ำที่มีน้ำเพียงท่วมขาอยู่ ทำให้อากาศเย็นสบาย “แม่จะไปดูหน่อไม้สักหน่อย พวกหนูอย่าเดินไปไหนที่สำคัญอย่าเข้าใกล้คลองน้ำนะจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงสั่ง ตรงที่นั่งพักนั้นห่างจากคลองน้ำไม่กี่เมตรแต่เป็นที่ที่สะอาดที่สุดแล้วเพราะชาวบ้านชอบพักตรงนี้กัน “ได้ค่ะ!” เหอเสี่ยวหงเดินถือมีดเข้าไปในดงต้นไผ่พร้อมกับสะพายตะกร้าที่หลัง ส่วนขวานนั้นเธอเอาให้ลูกสาวไว้ป้องกันตัว เมื่อมองดูแล้วรอยขุดก็ปรากฏให้เห็นเพราะชาวบ้านมาขุดทุกวัน พร้อมทั้งหน่อไม้ที่กำลังงอกขึ้นอีกหลายหน่อ แต่เหอเสี่ยวหงไม่ได้สนใจ เธอหันซ้ายหันขวาอีกรอบก่อนที่จะทำเป็นขุดหน่อไม้ทั้งทีหยิบออกจากมิติมาใส่ตะกร้า 4-5 หน่อ ทั้งยังหยิบเห็ดป่าและผักหวานออกมาใส่ลงในตะกร้าประมาณครึ่งชั่ง จากนั้นจึงเดินกลับไปหาลูกสาว เมื่อเดินมาถึงเธอก็เห็นรังที่มีไข่ไก่ใบใหญ่อยู่ 6-7 ฟอง ที่อยู่หน้าลูกสาว ทั้งยังมีไก่ฟ้า 2 ตัวที่ถูกมัดขาอยู่ข้างๆกัน “เกิดอะไรขึ้น!” เหอเสี่ยวหงตาโตรีบถามลูกสาว “หนูปวดเบาแล้วลุกไปฉี่เห็นมันนอนอยู่เลยจับคอมัน” โจวซานนียิ้มแห้ง ก็หล่อนปวดฉี่เลยบอกพี่สาวว่าจะไปฉี่ พี่สาวบอกให้รีบกลับ พอฉี่เสร็จก็จะเดินกลับมาแต่สะดุดตากับไก่สองตัวที่นอนอยู่ หล่อนจึงทำการตะครุบที่คอไก่พร้อมทั้งดึงเถาวัลย์แถวนั้นมามัดแล้วเก็บไข่ไก่ จากนั้นจึงลากไก่กลับมา ตอนนี้เหอเสี่ยวหงอ้าปากค้างแล้ว ตอนที่เธอยังไม่ได้กลับมายุคนี้ เธอที่เลี้ยงสัตว์ยังไม่กล้าแตะเลย นับอะไรกับลูกสาวของเธอที่ได้ไก่มาตั้ง 2 ตัว! “แหะ” โจวซานนีที่เห็นเหอเสี่ยวหงอ้าปากค้างจึงยิ้มแห้งอีกครั้ง “ทีหลังอย่าจับอีก หากมันจิกจะทำยังไง” เหอเสี่ยวหงหน้านิ่ง “ค่ะ” โจวซานนีก้มหน้า จริง ๆ แล้วเธออยากจะบอกลูกสาวว่าลูกเก่งมาก แต่เธอก็ไม่อยากให้ลูกทำแบบนี้อีก หากเป็นสัตว์ชนิดอื่นมันคงไม่ใช่แบบนี้ “ไปเถอะจ้ะ” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาว เหอเสี่ยวหงเก็บไข่ใส่ตะกร้า ส่วนไก่เธอได้ผูกไว้กับมัดฟืน ตัวหนึ่งหนักราว ๆ 5 ชั่ง อีกตัว 7 ชั่ง น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทำให้าการเดินช้าลง เด็กทั้งสามคนเมื่อเห็นแม่ของพวกเธอเรียก ก็พากันลุกขึ้นจากท่อนไม้ที่วางอยู่ตรงนั้น “หื้อ? เห็ด!” เหอเสี่ยวหงอุทาน เมื่อทั้งสามลุก ท่อนไม้ที่เด็กนั่งมันมีรอยผุทำให้เหอเสี่ยวหงเห็นเห็ดหูหนู ถึงเหอเสี่ยวหงจะมีเห็ดหูหนูในมิติแล้วแต่นั่นมันเป็นเห็ดหูหนูอบแห้ง ในขณะที่เห็ดตรงหน้าเป็นเห็ดสด เหอเสี่ยวหงวางฟืนกับตะกร้าลงพื้นและก้มลงเก็บเห็ดในโพรงไม้ผุที่แตก มันมีราว ๆ 1 ชั่ง “พอดีเลยจ้ะ แม่จะตุ๋นเห็ดใส่ไข่ให้” เหอเสี่ยวหงยิ้ม เข้าป่ามาวันนี้ทำให้พวกเธอมีอาหารไว้กินอีกหลายวันเลยทีเดียว โดยที่ไก่เธอจะทำไก่แดดเดียวไว้ครึ่งหนึ่ง “ป้ะ เรารีบกับกันดีกว่า” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาวอีกครั้ง เมื่อเดินออกมาเกือบจะถึงทางออกจากป่าแล้ว เหอเสี่ยวหงหยุดเดินเพราะเหมือนเห็นอะไรสักอย่าง พอเดินเข้าไปดูถึงกับร้องเสียงหลงเพราะสิ่งที่เธอเจอนั่นก็คือโสม! โสมที่เหอเสี่ยวหงเจอเป็นโสมคน ไม่รู้ว่าชาวบ้านไม่รู้จักหรืออะไรเพราะมันมีมากกว่า 100 ต้น! แต่เหอเสี่ยวหงไม่รู้ว่ามันกี่ปีแต่ก็ให้เด็ก ๆ ช่วยขุดใส่ตะกร้าเมื่อเด็ก ๆเผลอก็หยิบใส่มิติ ข้าง ๆ กันมีเห็ดหลืนจือแดงอีก 4 ดอกขนาดเล็ก เหอเสี่ยวหงจึงเอามันไปด้วย เมื่อถึงบ้านก็เอาฟืนไปเก็บ ส่วนตะกร้าที่สะพายไปด้วยก็เอาของออกมาเพราะมันทับกัน จากตอนแรกคิดว่าจะทำไก่แดดเดียวเหอเสี่ยวหงก็เปลี่ยนใจ นำไก่ไปขังไว้ในเล้าไก่หลังเก่าเพราะพวกมันยังมีชีวิตอยู่ พอหันไปเห็นคนที่ทำแปลงผักเหอเสี่ยวหงจึงเรียกลูกสาวคนเล็กมาด้วย ไล่เด็ก ๆ ไปอาบน้ำเพราะเปื้อนดินและอากาศร้อน เปิดหน้าต่างห้องครัวออก จุดเตาอุ่นซาลาเปา 4 ลูก และขนมจีบ 1 กล่อง ส่วนอีกเตาเหอเสี่ยวหงต้มน้ำร้อนไว้เพราะจะเอามาไว้ดื่ม เพราะถึงน้ำจะสะอาดแต่เหอเสี่ยวหงได้ไปเจอโลกอนาคตมาแล้วย่อมคำนึงถึงความสะอาด เลยต้มน้ำไว้ดื่ม พอซาลาเปาอุ่นแล้วเหอเสี่ยวหงนำมาใส่จานก่อนจะผ่าออกเป็นสี่ซีก มันจะได้ทั้งหมดสิบหกซีก จัดขนมจีบใส่จานพร้อมไม้จิ้มที่ติดมากับกล่อง เวลานี้เกือบจะเที่ยงแล้ว เหอเสี่ยวหงเลยไปนำน้ำซุปมาอุ่นสองถ้วยใหญ่ เด็ก ๆ มาอาบน้ำเสร็จแล้วได้น้ำซุปคนละถ้วยเล็กที่มีก้อนหมูสับคนละสองก้อน กินกับซาลาเปาที่ถูกผ่าคนละไม่กี่ซีกก็อิ่มเพราะซาลาเปานั้นลูกใหญ่ ไหนจะขนมจีบที่แสนอร่อยก็หมด เหอเสี่ยวหงจึงให้สมุดกับปากกาไปคนละเล่ม พร้อมทั้งเขียนคำให้เด็ก ๆ เขียนตามหนึ่งหน้ากระดาษ หากทำเสร็จให้เอามาให้เธอตรวจ ส่วนโจวลิ่วนีนั้นเธอเขียนให้ดูเหมือนกันแต่ไม่ต้องเอามาให้เธอตรวจ ส่วนเธอก็เอาถ้วยไปล้างแล้ววางคว่ำไว้ข้างบ่อรอให้แห้ง จะได้เก็บมาใส่ตู้ไว้ ล้างถ้วยเสร็จเธอก็นำหน่อไม้ที่เอาออกมาจากมิติมาเผาในเตาไฟ คอยคุมไฟและพลิกหน่อไม้ไม่ให้มันไหม้ เหอเสี่ยวหงมองเตาไฟอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นหันซ้ายหันขวาหยิบโสมคนออกมายี่สิบกว่าหัว นำไปล้างก่อนจะตากใส่กะละมังไว้กลางแดด เพราะมิตินั้นคนไม่สามารถเข้าไปได้ทำให้เธอต้องตากข้างนอกแทน เพราะเผื่อจำเป็นต้องใช้เลยแบ่งมาตาก ตากอาทิตย์กว่า ๆ ก็คงจะแห้งสนิทเพราะแดดยังร้อนอยู่ช่วงนี้ กลับไปดูหน่อไม้ที่เผาไว้พอเห็นได้ที่แล้วก็ปอกเปือกออก นำเข็นมาแทงให้เป็นฝอยตัดให้มีขนาดพอดีแล้วนำไปต้มลดความขม “พี่สะใภ้ใหญ่” เหอเสี่ยวหงที่ตั้งหม้อต้มหน่อไม้อยู่ก็ไม่รู้จะทำอะไรเลยเดินไปดูลานหลังบ้านที่ทำแปลงผัก “ว่ายังไงจ๊ะ” สะใภ้ใหญ่เงยหน้าขึ้นมามอง “พี่จะปลูกอะไรบ้าง” เหอเสี่ยวหงถาม “แตงกวา ฟักทอง กะหล่ำ หัวไชเท้าแล้วก็หอมน่ะ พอดีโจวมี่ได้กลับมาด้วย” สะใภ้ใหญ่ตอบเสร็จก็ก้มหน้าลงไปถางหญ้าต่อ “ถ้าพรวนดินแล้วตากให้แห้งสักสามวันนะคะ แล้วให้ไปหามูลสัตว์มาใส่ ทิ้งไว้สักวันค่อยมาปลูก” เหอเสี่ยวหงมองแต่ไม่เข้าไปช่วยเพราะวันนี้เธอได้ไปหาฟืนมาแล้ว แต่ก็บอกความสำคัญของการปลูกผักเพราะถ้าไม่ใส่มูลสัตว์ผักจะไม่ค่อยดีนัก “ต้องใส่มูลสัตว์ด้วยหรอจ๊ะ?” สะใภ้ใหญ่สงสัย เธอไม่เคยได้ปลูกผักเลยเพราะคนในบ้านให้ทำแต่งานในบ้านกับเรียนหนังสือ หรือไม่ก็มีช่วยรดแปลงผักบ้าง ส่วนที่นางหลี่ซือให้ไปลงแปลงนานางได้ทำในส่วนของการเก็บเกี่ยวเท่านั้นแล้วในแปลงนาก็ใช้ปุ๋ยในการบำรุง “ใช่ค่ะ ฉันเคยไปอบรมมา” เหอเสี่ยวหงพยักหน้า “ได้ ฉันจะให้ต้านีไปขอมาจากคนเลี้ยงสัตว์” สะใภ้ใหญ่พยักหน้า จริง ๆ แล้วที่ว่าไปอบรมมานั้นมันเป็นโครงงานความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ที่เหอเสี่ยวหงได้เป็นตัวแทนไปในตอนมัธยมต้นปีสุดท้ายเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ในโรงเรียนมัธยมนั้นไม่ได้ไป พอเหอเสี่ยวหงกลับมาก็ได้เล่าความรู้พวกเรื่องการเจริญเติบโตไม่ได้เล่าในส่วนของเรื่องปุ๋ย แต่สะใภ้ใหญ่นั้นจำไม่ได้แล้วว่าเหอเสี่ยวหงไปอบรมอะไร แต่จำได้ว่าเหอเสี่ยวหงไปอบรม “ค่ะ นี่ก็เที่ยงแล้ว อย่าลืมไปหาอะไรกินนะคะ ส่วนซาลาเปากล่องนั้นแบ่งกันเลยค่ะ” เหอเสี่ยวหงว่าก่อนจะเดินกลับเข้าบ้าน ภายในห้องนอนของเด็ก ๆ สามคนนั้นแต่ละคนกำลังเขียนตามที่เหอเสี่ยวหงเขียนให้ดู โดยที่โจวเอ้อร์นีเขียนเสร็จแล้วนั่งบอกน้อง ๆ ว่าตรงไหนผิด โดยเฉพาะกับโจวลิ่วนีที่หล่อนดูจะชอบกับการเขียนมาก ตอนนี้หล่อนเขียนได้เกือบสิบตัวแล้ว เหอเสี่ยวหงถือจานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และขวดเก็บอุณหภูมิไปวางไว้บนหัวเตียงเตา แล้วยืนมองเด็กๆเขียน “อู๋นีจ๊ะ บรรทัดนี้ขีดมากไปจ้ะ” เหอเสี่ยวหงชี้ให้ดู โจวอู๋นีพยักหน้า ‘ลิ่วนีขีดเล็กไปจ้ะ’ ‘ซานนีหนูลืมคำนี้” ‘เอ้อร์นีเขียนถูกแล้วจ้ะ แต่ตัวใหญ่เกินไป’ ‘อู๋นี หนูเขียนสลับกัน’ ‘ลบตรงนี้ออก’ ‘เขียนตัวนี้แบบนี้นะ’ ‘มันมีสามขีดจ้ะ’ ‘เขียนใหม่เลยจ้ะ หนูเขียนสลับอีกแล้ว’ ‘ถูกแล้วจ้ะ’ เสียงเหอเสี่ยวหงที่ชี้ตรงที่ผิดให้เด็ก ๆ ดูดังต่อเนื่องมาเกือบชั่วโมงแล้ว “พักกันก่อนนะจ๊ะ” เหอเสี่ยงหงบอก เด็ก ๆ จึงวางปากกาลงและปิดหนังสือเอาไว้ “ผลไม้ 9 ชนิดนี้มีรสเปรี้ยวอมหวาน กินแค่รองท้องนะจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงยกจานมาให้ “แม่ มันหวานมากค่ะ” โจวเอ้อร์นีตาโต “มันเปรี้ยวมาก!” โจวซือนีหลับตา “อย่ากินลูกเขียวสิ” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาว “อร่อยไหมจ๊ะ” ก่อนที่จะหันมาป้อนลูกสาวคนเล็ก โจวลิ่วนีพยักหน้าแต่ไม่พูดเพราะผลไม้เต็มปากอยู่ “แม่จะไปดูหม้อสักหน่อย กินเสร็จแล้วพาน้องไปล้างมือแล้วก็ไปปลดทุกข์ให้เรียบร้อย เสร็จแล้วแม่จะมาสอนต่อ” เหอเสี่ยวหงหันหลังมาบอกก่อนจะออกจากห้อง หน่อไม้ที่เหอเสี่ยวหงต้มนั้นจืดแล้ว เมื่อนำลงจากเตาก็เทน้ำทิ้ง ตักน้ำล้างหน่อไม้ที่ถูกต้มจนสะอาด ตักหน่อไม้ฝอยที่ถูกต้มสุกแล้วใส่ถ้วยเท่า ๆ กันสองใบแล้วหาจานมาปิดไว้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเหอเสี่ยวหงเอาเข้ามาเก็บในห้อง พรุ่งนี้จะถูกนำมาผัดใส่สามชั้น ออกไปดูโสมที่ถูกตากแล้วเห็นแสงเปลี่ยมทิศก็ขยับตั้งไว้ตรงแดด เหอเสี่ยวหงนำส้มออกมาคั้นใส่แก้วเก็บอุณหภูมิใส่น้ำแข็งให้เย็น พร้อมกับเค้กมะพร้าวจิ๋วกับช้อนแล้วยกเข้าห้องลูกสาว เพราการเรียนนั้นใช้สมองเป็นอย่างมาก เหอเสี่ยวหงจึงต้องหาอะไรหวาน ๆ มาให้ ของหวานกินมากมันไม่ดี แต่เหอเสี่ยวหงจำกัดปริมาณของกินไว้แล้วมันพอเหมาะกับเด็กสี่คน “มาจ้ะ ไปล้างมือกันมาหรือยังจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงถาม “ล้างมือแล้ว” เป็นโจวลิ่วนีตอบ “เก่งมากจ้ะ เรามาเริ่มเขียนกันต่อเถอะ” เหอเสี่ยวหงยิ้ม ช่วงเวลาบ่ายเหอเสี่ยวหงได้เพิ่มอักษรให้โจวเอ้อร์นีกับโจวซานนีเพิ่มมาอีกหลายตัวให้เขียนตาม ส่วนโจวอู๋นีและโจวลิ่วนีเหอเสี่ยวหงเพิ่มให้อีกคนละสองสามตัว โจวลิ่วนีเริ่มหาวเล็กน้อยเหอเสี่ยวหงจึงพาไปนอนที่ห้อง ไม่นานก็หลับ เหอเสี่ยวหงไม่ได้ห่มผ้าให้โจวลิ่วนี แต่เดินไปเปิดหน้าต่างออกเล็กน้อยพอให้ลมเข้าและไม่ให้แดดส่อง เมื่อมองดูลูกสาวหลับก็เดินออกจากห้องไปอีกห้องทันทีพร้อมกับไหมพรมสีเทาที่เธอจะถัก ‘บรรทัดนี้เขียนอักษรนี้จ้ะ’ ‘ใช่จ้ะ แบบนั้นเลย’ ‘เขียนทับกันจ้ะ’ ‘อย่าขีดทับสิจ๊ะ ให้เขียนบรรทัดใหม่เลย’ ‘เขียนบรรทัดนี้แล้วเว้นบรรทัดนี้ไว้จ้ะ’ ‘อักษรไม่ได้ม้วนนะจ๊ะ เขียนตัวถัดไปเลย' ‘แบบนั้นเลยจ้ะ’ ‘ง่วงไหมจ๊ะ? พักกันเถอะจ้ะ’ เมื่อสอนมาอีกเกือบ 2 ชั่วโมง ตอนนี้มันเริ่มเย็นแล้ว เหอเสี่ยวหงเลยสั่งเด็ก ๆ หยุด ตอนนี้มีโจวลิ่วนีที่พึ่งตื่นอยู่ด้วย “นี่คือเค้กมะพร้าวอ่อนจ้ะ แบ่งกันกินนะจ๊ะ น้ำส้มนี่แม่ไปเพิ่มเกลือมาแล้ว” เหอเสี่ยวหงบอก เพราะเด็ก ๆ ตั้งใจเรียนรู้ตัวอักษรเกินไปทำให้ไม่มีใครสนใจของกินที่น่ารัก ๆ เหอเสี่ยวหงเลยรอให้ลูกสาวเผลอหยิบใส่ในมิติตามเดิม ส่วนน้ำส้มเด็ก ๆ บอกว่ามันเปรี้ยวเกินไป เหอเสี่ยวหงจึงนำมันไปผสมกับเกือบเล็กน้อยแต่ไม่ผสมน้ำตาลเพราะมีเค้กอยู่ด้วย “โอ้! แม่คะ หนูไม่เคยเจอของแบบนี้เลยค่ะ!” โจวซานนีว่า “เค้กหอมมากเลยค่ะ” โจวเอ้อร์นีว่าต่อ “อู๋นี ลิ่วนีจ๊ะ อย่ากินเยอะมากนะ เดี๋ยวจะกินข้าวเย็นไม่ได้” ทั้งสองพยักหน้า “แม่จะไปอุ่นกับข้าวไว้ หากพวกหนูอยากเขียนอักษรต่อแม่ก็ไม่ห้าม เดี๋ยวแม่จะทำสมุดตัวอักษรให้นะจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงว่า ตอนนี้เกือบสี่โมงเย็นแล้วเหอเสี่ยวหงจึงอุ่นน้ำซุปที่เหลือพร้อมทั้งใส่ข้าวหุงที่ผสมถั่วแดงลงไปด้วย จากนั้นใส่ไข่ลงไปอีกห้าฟอง คนให้ไข่ละลายแล้วตุ๋นต่อรอข้าวสุกก่อนจะยกไปเทใส่ถ้วยแล้วหยิบใส่มิติไว้ นำหม้อไปล้างแล้วคว่ำไว้ข้างบ่ออีกครั้ง นำถ้วยจานที่คว่ำไว้เข้าไปเก็บในตู้ จากนั้นจึงเดินไปเก็บโสม โสมนั้นนแห้งนิดหน่อยแต่เหอเสี่ยวหงไม่ได้สนใจเก็บใส่มิติไว้ จากนั้นกลับไปถักหมวกไหมพรมต่อ อีกครึ่งหนึ่งหมวกของโจวเอ้อร์นีก็จะเสร็จแล้ว เหอเสี่ยวหงจะถักไหมพรมเป็นหมวก ถุงมือและถุงเท้า ส่วนเสื้อกับกางเกงอีกไม่กี่เดือนก็จะฤดูหนาวแล้วเธอคิดว่าทำไม่ทันเลยเอาไว้ทำทีหลัง พอถึงเวลาเย็นทุกคนก็ออกมากินข้าวทั้งหมดรวมถึงอีกสองบ้านด้วยที่ออกมานั่งกินบนโต๊ะอาหาร แต่อาหารไม่ได้กินรวมกัน เมื่อกินเสร็จบรรดาแม่ ๆ ก็เก็บถ้วยจานไปล้าง ส่วนเด็ก ๆ ก็อาบน้ำเข้าห้องนอนไป “ใกล้ฤดูหนาวแล้ว อาทิตย์หน้าเธอก็จะต้องไปทำงานแล้ว พรุ่งนี้ไปหาฟืนเพิ่มนะ” เก็อาบน้ำเข้าห้องนอน “ได้ค่ะ ฉันได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าพี่หาผ้าห่มได้ใช่ไหมคะ! หาให้ฉันด้วยสักสองผืนสิ” โจวมี่ว่า ผ้าห่มสองผืนหล่อนจะเอาให้ลูกสาวคนละผืน ส่วนหล่อนจะใช้พาห่มผืนเก่าที่ห่มอยู่มันยังใช้ได้แต่ถ้าลูกสาวใช้มันคงจะไม่อุ่นเท่าไร “ได้ อาทิตย์หน้าพี่จะเข้าอำเภอ” เหอเสี่ยวหงพยักหน้า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD