ป่าทางด้านตะวันออกเป็นป่าที่ชาวบ้านเข้าไปเก็บผักป่าและหาฟืน เหอเสี่ยวหงที่พ่วงลูกสาวมาด้วยสามคนจึงต้องเข้าไปป่าที่ชาวบ้านเข้ามา เพราะเธอไม่สามารถที่จะดูแลลูกสาวคนเดียวได้
เวลาแปดโมงเช้าเป็นเวลาที่ชาวบ้านในหมู่บ้านลงแปลงนากันแล้ว ยกเว้นบ้านที่มีแม่ให้กำเนิดลูกที่อยู่ไฟกับคนแก่ชราที่ไม่ได้ลงแปลงนา บางคนอาจอยู่บ้าน บางคนก็จะเข้ามาเก็บฟืน ทำให้เหอเสี่ยวหงเห็นคนเดินเข้าออกไม่กี่คน
“พวกหนูเก็บเศษไม้ตรงนี้นะจ๊ะ แม่จะหาฟืนตรงนั้น ถ้ามีอะไรให้ตะโกนเรียกเสียงดัง ๆ นะจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงชี้บอกลูกสาว
ตรงที่เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาวว่าจะไปเก็บฟืนไม่ได้ห่างจากตรงที่จะเก็บเศษไม้มากนักแต่เหอเสี่ยวหงก็ห่วงลูกสาว
“ได้ค่าาา” เป็นโจวซานนีที่ตอบ
“เอ้อร์นีจ๊ะ ดูแลน้องด้วยนะลูก” เหอเสี่ยวหงหันไปหาลูกสาวคนโต
“ได้ค่ะ!” โจวเอ้อร์นีรับคำ
“แม่วางตะกร้าไว้ตรงนี้ ถ้าเหนื่อยก็พาน้องนั่งนะลูก” เหอเสี่ยวหงพูดต่อ
เด็กทั้งสามคนจึงพยักหน้ารับทราบคำที่แม่บอก พร้อมทั้งพากันเดินเก็บเศษไม้มาใส่เถาวัลย์ที่หาเจอเมื่อกี้กัน
เหอเสี่ยวหงมองแล้วจึงเดินไปตรงที่จะเก็บฟืน เธอจะเก็บวันละ 1-2 มัดก็พอ กว่าจะถึงฤดูหนาวฟืนก็น่าจะเยอะแล้ว และรอแปลงผักเสร็จก็จะมีแรงงานเพิ่ม
ระหว่างเก็บฟืนเหอเสี่ยวหงมองรอบ ๆ ตัวตลอดเวลา โดยเฉพาะทางลูกสาวที่เหอเสี่ยวหงจับไม้ทีก็หันไปมอง เพราะกลัวเกิดอันตราย
พอเก็บได้ 2 มัด เหอเสี่ยวหงก็แบกฟืนมัดหนึ่งกับลากอีกมัดไปหาลูก ๆ
“เอ้อร์นีจ๊ะ พาน้องพอได้แล้วจ้ะ” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาว
เหอเสี่ยวหงสะพายตะกร้าอีกครั้ง มืออีกข้างแบกมัดฟืนใส่ไหล่ ส่วนอีกข้างช่วยกันดึงกับโจวซานนี
ส่วนเศษไม้โจวเอ้อร์นีมัดเป็นกองเล็ก ๆ และหิ้วคนละข้างกับโจวลิ่วนี
“พักตรงนี้ก่อนจ้ะ” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาวหยุดพัก
ตรงที่เหอเสี่ยวหงหยุดพักนั้นจะเป็นป่าหน่อไม้ ข้าง ๆกันจะมีคลองน้ำที่มีน้ำเพียงท่วมขาอยู่ ทำให้อากาศเย็นสบาย
“แม่จะไปดูหน่อไม้สักหน่อย พวกหนูอย่าเดินไปไหนที่สำคัญอย่าเข้าใกล้คลองน้ำนะจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงสั่ง
ตรงที่นั่งพักนั้นห่างจากคลองน้ำไม่กี่เมตรแต่เป็นที่ที่สะอาดที่สุดแล้วเพราะชาวบ้านชอบพักตรงนี้กัน
“ได้ค่ะ!”
เหอเสี่ยวหงเดินถือมีดเข้าไปในดงต้นไผ่พร้อมกับสะพายตะกร้าที่หลัง ส่วนขวานนั้นเธอเอาให้ลูกสาวไว้ป้องกันตัว
เมื่อมองดูแล้วรอยขุดก็ปรากฏให้เห็นเพราะชาวบ้านมาขุดทุกวัน พร้อมทั้งหน่อไม้ที่กำลังงอกขึ้นอีกหลายหน่อ
แต่เหอเสี่ยวหงไม่ได้สนใจ เธอหันซ้ายหันขวาอีกรอบก่อนที่จะทำเป็นขุดหน่อไม้ทั้งทีหยิบออกจากมิติมาใส่ตะกร้า 4-5 หน่อ
ทั้งยังหยิบเห็ดป่าและผักหวานออกมาใส่ลงในตะกร้าประมาณครึ่งชั่ง จากนั้นจึงเดินกลับไปหาลูกสาว
เมื่อเดินมาถึงเธอก็เห็นรังที่มีไข่ไก่ใบใหญ่อยู่ 6-7 ฟอง ที่อยู่หน้าลูกสาว ทั้งยังมีไก่ฟ้า 2 ตัวที่ถูกมัดขาอยู่ข้างๆกัน
“เกิดอะไรขึ้น!” เหอเสี่ยวหงตาโตรีบถามลูกสาว
“หนูปวดเบาแล้วลุกไปฉี่เห็นมันนอนอยู่เลยจับคอมัน” โจวซานนียิ้มแห้ง
ก็หล่อนปวดฉี่เลยบอกพี่สาวว่าจะไปฉี่ พี่สาวบอกให้รีบกลับ พอฉี่เสร็จก็จะเดินกลับมาแต่สะดุดตากับไก่สองตัวที่นอนอยู่ หล่อนจึงทำการตะครุบที่คอไก่พร้อมทั้งดึงเถาวัลย์แถวนั้นมามัดแล้วเก็บไข่ไก่ จากนั้นจึงลากไก่กลับมา
ตอนนี้เหอเสี่ยวหงอ้าปากค้างแล้ว ตอนที่เธอยังไม่ได้กลับมายุคนี้ เธอที่เลี้ยงสัตว์ยังไม่กล้าแตะเลย นับอะไรกับลูกสาวของเธอที่ได้ไก่มาตั้ง 2 ตัว!
“แหะ” โจวซานนีที่เห็นเหอเสี่ยวหงอ้าปากค้างจึงยิ้มแห้งอีกครั้ง
“ทีหลังอย่าจับอีก หากมันจิกจะทำยังไง” เหอเสี่ยวหงหน้านิ่ง
“ค่ะ” โจวซานนีก้มหน้า
จริง ๆ แล้วเธออยากจะบอกลูกสาวว่าลูกเก่งมาก แต่เธอก็ไม่อยากให้ลูกทำแบบนี้อีก หากเป็นสัตว์ชนิดอื่นมันคงไม่ใช่แบบนี้
“ไปเถอะจ้ะ” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาว
เหอเสี่ยวหงเก็บไข่ใส่ตะกร้า ส่วนไก่เธอได้ผูกไว้กับมัดฟืน ตัวหนึ่งหนักราว ๆ 5 ชั่ง อีกตัว 7 ชั่ง น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทำให้าการเดินช้าลง
เด็กทั้งสามคนเมื่อเห็นแม่ของพวกเธอเรียก ก็พากันลุกขึ้นจากท่อนไม้ที่วางอยู่ตรงนั้น
“หื้อ? เห็ด!” เหอเสี่ยวหงอุทาน
เมื่อทั้งสามลุก ท่อนไม้ที่เด็กนั่งมันมีรอยผุทำให้เหอเสี่ยวหงเห็นเห็ดหูหนู ถึงเหอเสี่ยวหงจะมีเห็ดหูหนูในมิติแล้วแต่นั่นมันเป็นเห็ดหูหนูอบแห้ง ในขณะที่เห็ดตรงหน้าเป็นเห็ดสด
เหอเสี่ยวหงวางฟืนกับตะกร้าลงพื้นและก้มลงเก็บเห็ดในโพรงไม้ผุที่แตก มันมีราว ๆ 1 ชั่ง
“พอดีเลยจ้ะ แม่จะตุ๋นเห็ดใส่ไข่ให้” เหอเสี่ยวหงยิ้ม
เข้าป่ามาวันนี้ทำให้พวกเธอมีอาหารไว้กินอีกหลายวันเลยทีเดียว โดยที่ไก่เธอจะทำไก่แดดเดียวไว้ครึ่งหนึ่ง
“ป้ะ เรารีบกับกันดีกว่า” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาวอีกครั้ง
เมื่อเดินออกมาเกือบจะถึงทางออกจากป่าแล้ว เหอเสี่ยวหงหยุดเดินเพราะเหมือนเห็นอะไรสักอย่าง
พอเดินเข้าไปดูถึงกับร้องเสียงหลงเพราะสิ่งที่เธอเจอนั่นก็คือโสม!
โสมที่เหอเสี่ยวหงเจอเป็นโสมคน ไม่รู้ว่าชาวบ้านไม่รู้จักหรืออะไรเพราะมันมีมากกว่า 100 ต้น! แต่เหอเสี่ยวหงไม่รู้ว่ามันกี่ปีแต่ก็ให้เด็ก ๆ ช่วยขุดใส่ตะกร้าเมื่อเด็ก ๆเผลอก็หยิบใส่มิติ
ข้าง ๆ กันมีเห็ดหลืนจือแดงอีก 4 ดอกขนาดเล็ก เหอเสี่ยวหงจึงเอามันไปด้วย
เมื่อถึงบ้านก็เอาฟืนไปเก็บ ส่วนตะกร้าที่สะพายไปด้วยก็เอาของออกมาเพราะมันทับกัน จากตอนแรกคิดว่าจะทำไก่แดดเดียวเหอเสี่ยวหงก็เปลี่ยนใจ
นำไก่ไปขังไว้ในเล้าไก่หลังเก่าเพราะพวกมันยังมีชีวิตอยู่ พอหันไปเห็นคนที่ทำแปลงผักเหอเสี่ยวหงจึงเรียกลูกสาวคนเล็กมาด้วย
ไล่เด็ก ๆ ไปอาบน้ำเพราะเปื้อนดินและอากาศร้อน เปิดหน้าต่างห้องครัวออก จุดเตาอุ่นซาลาเปา 4 ลูก และขนมจีบ 1 กล่อง
ส่วนอีกเตาเหอเสี่ยวหงต้มน้ำร้อนไว้เพราะจะเอามาไว้ดื่ม เพราะถึงน้ำจะสะอาดแต่เหอเสี่ยวหงได้ไปเจอโลกอนาคตมาแล้วย่อมคำนึงถึงความสะอาด เลยต้มน้ำไว้ดื่ม
พอซาลาเปาอุ่นแล้วเหอเสี่ยวหงนำมาใส่จานก่อนจะผ่าออกเป็นสี่ซีก มันจะได้ทั้งหมดสิบหกซีก จัดขนมจีบใส่จานพร้อมไม้จิ้มที่ติดมากับกล่อง
เวลานี้เกือบจะเที่ยงแล้ว เหอเสี่ยวหงเลยไปนำน้ำซุปมาอุ่นสองถ้วยใหญ่ เด็ก ๆ มาอาบน้ำเสร็จแล้วได้น้ำซุปคนละถ้วยเล็กที่มีก้อนหมูสับคนละสองก้อน กินกับซาลาเปาที่ถูกผ่าคนละไม่กี่ซีกก็อิ่มเพราะซาลาเปานั้นลูกใหญ่ ไหนจะขนมจีบที่แสนอร่อยก็หมด
เหอเสี่ยวหงจึงให้สมุดกับปากกาไปคนละเล่ม พร้อมทั้งเขียนคำให้เด็ก ๆ เขียนตามหนึ่งหน้ากระดาษ หากทำเสร็จให้เอามาให้เธอตรวจ ส่วนโจวลิ่วนีนั้นเธอเขียนให้ดูเหมือนกันแต่ไม่ต้องเอามาให้เธอตรวจ
ส่วนเธอก็เอาถ้วยไปล้างแล้ววางคว่ำไว้ข้างบ่อรอให้แห้ง จะได้เก็บมาใส่ตู้ไว้
ล้างถ้วยเสร็จเธอก็นำหน่อไม้ที่เอาออกมาจากมิติมาเผาในเตาไฟ คอยคุมไฟและพลิกหน่อไม้ไม่ให้มันไหม้
เหอเสี่ยวหงมองเตาไฟอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นหันซ้ายหันขวาหยิบโสมคนออกมายี่สิบกว่าหัว นำไปล้างก่อนจะตากใส่กะละมังไว้กลางแดด
เพราะมิตินั้นคนไม่สามารถเข้าไปได้ทำให้เธอต้องตากข้างนอกแทน เพราะเผื่อจำเป็นต้องใช้เลยแบ่งมาตาก ตากอาทิตย์กว่า ๆ ก็คงจะแห้งสนิทเพราะแดดยังร้อนอยู่ช่วงนี้
กลับไปดูหน่อไม้ที่เผาไว้พอเห็นได้ที่แล้วก็ปอกเปือกออก นำเข็นมาแทงให้เป็นฝอยตัดให้มีขนาดพอดีแล้วนำไปต้มลดความขม
“พี่สะใภ้ใหญ่”
เหอเสี่ยวหงที่ตั้งหม้อต้มหน่อไม้อยู่ก็ไม่รู้จะทำอะไรเลยเดินไปดูลานหลังบ้านที่ทำแปลงผัก
“ว่ายังไงจ๊ะ” สะใภ้ใหญ่เงยหน้าขึ้นมามอง
“พี่จะปลูกอะไรบ้าง” เหอเสี่ยวหงถาม
“แตงกวา ฟักทอง กะหล่ำ หัวไชเท้าแล้วก็หอมน่ะ พอดีโจวมี่ได้กลับมาด้วย” สะใภ้ใหญ่ตอบเสร็จก็ก้มหน้าลงไปถางหญ้าต่อ
“ถ้าพรวนดินแล้วตากให้แห้งสักสามวันนะคะ แล้วให้ไปหามูลสัตว์มาใส่ ทิ้งไว้สักวันค่อยมาปลูก”
เหอเสี่ยวหงมองแต่ไม่เข้าไปช่วยเพราะวันนี้เธอได้ไปหาฟืนมาแล้ว แต่ก็บอกความสำคัญของการปลูกผักเพราะถ้าไม่ใส่มูลสัตว์ผักจะไม่ค่อยดีนัก
“ต้องใส่มูลสัตว์ด้วยหรอจ๊ะ?”
สะใภ้ใหญ่สงสัย เธอไม่เคยได้ปลูกผักเลยเพราะคนในบ้านให้ทำแต่งานในบ้านกับเรียนหนังสือ หรือไม่ก็มีช่วยรดแปลงผักบ้าง
ส่วนที่นางหลี่ซือให้ไปลงแปลงนานางได้ทำในส่วนของการเก็บเกี่ยวเท่านั้นแล้วในแปลงนาก็ใช้ปุ๋ยในการบำรุง
“ใช่ค่ะ ฉันเคยไปอบรมมา” เหอเสี่ยวหงพยักหน้า
“ได้ ฉันจะให้ต้านีไปขอมาจากคนเลี้ยงสัตว์” สะใภ้ใหญ่พยักหน้า
จริง ๆ แล้วที่ว่าไปอบรมมานั้นมันเป็นโครงงานความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงสัตว์ที่เหอเสี่ยวหงได้เป็นตัวแทนไปในตอนมัธยมต้นปีสุดท้ายเท่านั้น
ส่วนคนอื่น ๆ ในโรงเรียนมัธยมนั้นไม่ได้ไป พอเหอเสี่ยวหงกลับมาก็ได้เล่าความรู้พวกเรื่องการเจริญเติบโตไม่ได้เล่าในส่วนของเรื่องปุ๋ย แต่สะใภ้ใหญ่นั้นจำไม่ได้แล้วว่าเหอเสี่ยวหงไปอบรมอะไร แต่จำได้ว่าเหอเสี่ยวหงไปอบรม
“ค่ะ นี่ก็เที่ยงแล้ว อย่าลืมไปหาอะไรกินนะคะ ส่วนซาลาเปากล่องนั้นแบ่งกันเลยค่ะ” เหอเสี่ยวหงว่าก่อนจะเดินกลับเข้าบ้าน
ภายในห้องนอนของเด็ก ๆ สามคนนั้นแต่ละคนกำลังเขียนตามที่เหอเสี่ยวหงเขียนให้ดู
โดยที่โจวเอ้อร์นีเขียนเสร็จแล้วนั่งบอกน้อง ๆ ว่าตรงไหนผิด โดยเฉพาะกับโจวลิ่วนีที่หล่อนดูจะชอบกับการเขียนมาก ตอนนี้หล่อนเขียนได้เกือบสิบตัวแล้ว
เหอเสี่ยวหงถือจานผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และขวดเก็บอุณหภูมิไปวางไว้บนหัวเตียงเตา แล้วยืนมองเด็กๆเขียน
“อู๋นีจ๊ะ บรรทัดนี้ขีดมากไปจ้ะ” เหอเสี่ยวหงชี้ให้ดู
โจวอู๋นีพยักหน้า
‘ลิ่วนีขีดเล็กไปจ้ะ’
‘ซานนีหนูลืมคำนี้”
‘เอ้อร์นีเขียนถูกแล้วจ้ะ แต่ตัวใหญ่เกินไป’
‘อู๋นี หนูเขียนสลับกัน’
‘ลบตรงนี้ออก’
‘เขียนตัวนี้แบบนี้นะ’
‘มันมีสามขีดจ้ะ’
‘เขียนใหม่เลยจ้ะ หนูเขียนสลับอีกแล้ว’
‘ถูกแล้วจ้ะ’
เสียงเหอเสี่ยวหงที่ชี้ตรงที่ผิดให้เด็ก ๆ ดูดังต่อเนื่องมาเกือบชั่วโมงแล้ว
“พักกันก่อนนะจ๊ะ”
เหอเสี่ยงหงบอก เด็ก ๆ จึงวางปากกาลงและปิดหนังสือเอาไว้
“ผลไม้ 9 ชนิดนี้มีรสเปรี้ยวอมหวาน กินแค่รองท้องนะจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงยกจานมาให้
“แม่ มันหวานมากค่ะ” โจวเอ้อร์นีตาโต
“มันเปรี้ยวมาก!” โจวซือนีหลับตา
“อย่ากินลูกเขียวสิ” เหอเสี่ยวหงบอกลูกสาว
“อร่อยไหมจ๊ะ” ก่อนที่จะหันมาป้อนลูกสาวคนเล็ก
โจวลิ่วนีพยักหน้าแต่ไม่พูดเพราะผลไม้เต็มปากอยู่
“แม่จะไปดูหม้อสักหน่อย กินเสร็จแล้วพาน้องไปล้างมือแล้วก็ไปปลดทุกข์ให้เรียบร้อย เสร็จแล้วแม่จะมาสอนต่อ” เหอเสี่ยวหงหันหลังมาบอกก่อนจะออกจากห้อง
หน่อไม้ที่เหอเสี่ยวหงต้มนั้นจืดแล้ว เมื่อนำลงจากเตาก็เทน้ำทิ้ง ตักน้ำล้างหน่อไม้ที่ถูกต้มจนสะอาด
ตักหน่อไม้ฝอยที่ถูกต้มสุกแล้วใส่ถ้วยเท่า ๆ กันสองใบแล้วหาจานมาปิดไว้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเหอเสี่ยวหงเอาเข้ามาเก็บในห้อง พรุ่งนี้จะถูกนำมาผัดใส่สามชั้น
ออกไปดูโสมที่ถูกตากแล้วเห็นแสงเปลี่ยมทิศก็ขยับตั้งไว้ตรงแดด
เหอเสี่ยวหงนำส้มออกมาคั้นใส่แก้วเก็บอุณหภูมิใส่น้ำแข็งให้เย็น พร้อมกับเค้กมะพร้าวจิ๋วกับช้อนแล้วยกเข้าห้องลูกสาว
เพราการเรียนนั้นใช้สมองเป็นอย่างมาก เหอเสี่ยวหงจึงต้องหาอะไรหวาน ๆ มาให้ ของหวานกินมากมันไม่ดี แต่เหอเสี่ยวหงจำกัดปริมาณของกินไว้แล้วมันพอเหมาะกับเด็กสี่คน
“มาจ้ะ ไปล้างมือกันมาหรือยังจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงถาม
“ล้างมือแล้ว” เป็นโจวลิ่วนีตอบ
“เก่งมากจ้ะ เรามาเริ่มเขียนกันต่อเถอะ” เหอเสี่ยวหงยิ้ม
ช่วงเวลาบ่ายเหอเสี่ยวหงได้เพิ่มอักษรให้โจวเอ้อร์นีกับโจวซานนีเพิ่มมาอีกหลายตัวให้เขียนตาม ส่วนโจวอู๋นีและโจวลิ่วนีเหอเสี่ยวหงเพิ่มให้อีกคนละสองสามตัว
โจวลิ่วนีเริ่มหาวเล็กน้อยเหอเสี่ยวหงจึงพาไปนอนที่ห้อง ไม่นานก็หลับ เหอเสี่ยวหงไม่ได้ห่มผ้าให้โจวลิ่วนี แต่เดินไปเปิดหน้าต่างออกเล็กน้อยพอให้ลมเข้าและไม่ให้แดดส่อง
เมื่อมองดูลูกสาวหลับก็เดินออกจากห้องไปอีกห้องทันทีพร้อมกับไหมพรมสีเทาที่เธอจะถัก
‘บรรทัดนี้เขียนอักษรนี้จ้ะ’
‘ใช่จ้ะ แบบนั้นเลย’
‘เขียนทับกันจ้ะ’
‘อย่าขีดทับสิจ๊ะ ให้เขียนบรรทัดใหม่เลย’
‘เขียนบรรทัดนี้แล้วเว้นบรรทัดนี้ไว้จ้ะ’
‘อักษรไม่ได้ม้วนนะจ๊ะ เขียนตัวถัดไปเลย'
‘แบบนั้นเลยจ้ะ’
‘ง่วงไหมจ๊ะ? พักกันเถอะจ้ะ’
เมื่อสอนมาอีกเกือบ 2 ชั่วโมง ตอนนี้มันเริ่มเย็นแล้ว เหอเสี่ยวหงเลยสั่งเด็ก ๆ หยุด ตอนนี้มีโจวลิ่วนีที่พึ่งตื่นอยู่ด้วย
“นี่คือเค้กมะพร้าวอ่อนจ้ะ แบ่งกันกินนะจ๊ะ น้ำส้มนี่แม่ไปเพิ่มเกลือมาแล้ว” เหอเสี่ยวหงบอก
เพราะเด็ก ๆ ตั้งใจเรียนรู้ตัวอักษรเกินไปทำให้ไม่มีใครสนใจของกินที่น่ารัก ๆ เหอเสี่ยวหงเลยรอให้ลูกสาวเผลอหยิบใส่ในมิติตามเดิม
ส่วนน้ำส้มเด็ก ๆ บอกว่ามันเปรี้ยวเกินไป เหอเสี่ยวหงจึงนำมันไปผสมกับเกือบเล็กน้อยแต่ไม่ผสมน้ำตาลเพราะมีเค้กอยู่ด้วย
“โอ้! แม่คะ หนูไม่เคยเจอของแบบนี้เลยค่ะ!” โจวซานนีว่า
“เค้กหอมมากเลยค่ะ” โจวเอ้อร์นีว่าต่อ
“อู๋นี ลิ่วนีจ๊ะ อย่ากินเยอะมากนะ เดี๋ยวจะกินข้าวเย็นไม่ได้” ทั้งสองพยักหน้า
“แม่จะไปอุ่นกับข้าวไว้ หากพวกหนูอยากเขียนอักษรต่อแม่ก็ไม่ห้าม เดี๋ยวแม่จะทำสมุดตัวอักษรให้นะจ๊ะ” เหอเสี่ยวหงว่า
ตอนนี้เกือบสี่โมงเย็นแล้วเหอเสี่ยวหงจึงอุ่นน้ำซุปที่เหลือพร้อมทั้งใส่ข้าวหุงที่ผสมถั่วแดงลงไปด้วย
จากนั้นใส่ไข่ลงไปอีกห้าฟอง คนให้ไข่ละลายแล้วตุ๋นต่อรอข้าวสุกก่อนจะยกไปเทใส่ถ้วยแล้วหยิบใส่มิติไว้
นำหม้อไปล้างแล้วคว่ำไว้ข้างบ่ออีกครั้ง นำถ้วยจานที่คว่ำไว้เข้าไปเก็บในตู้ จากนั้นจึงเดินไปเก็บโสม
โสมนั้นนแห้งนิดหน่อยแต่เหอเสี่ยวหงไม่ได้สนใจเก็บใส่มิติไว้
จากนั้นกลับไปถักหมวกไหมพรมต่อ อีกครึ่งหนึ่งหมวกของโจวเอ้อร์นีก็จะเสร็จแล้ว
เหอเสี่ยวหงจะถักไหมพรมเป็นหมวก ถุงมือและถุงเท้า ส่วนเสื้อกับกางเกงอีกไม่กี่เดือนก็จะฤดูหนาวแล้วเธอคิดว่าทำไม่ทันเลยเอาไว้ทำทีหลัง
พอถึงเวลาเย็นทุกคนก็ออกมากินข้าวทั้งหมดรวมถึงอีกสองบ้านด้วยที่ออกมานั่งกินบนโต๊ะอาหาร แต่อาหารไม่ได้กินรวมกัน
เมื่อกินเสร็จบรรดาแม่ ๆ ก็เก็บถ้วยจานไปล้าง ส่วนเด็ก ๆ ก็อาบน้ำเข้าห้องนอนไป
“ใกล้ฤดูหนาวแล้ว อาทิตย์หน้าเธอก็จะต้องไปทำงานแล้ว พรุ่งนี้ไปหาฟืนเพิ่มนะ” เก็อาบน้ำเข้าห้องนอน
“ได้ค่ะ ฉันได้ยินพี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าพี่หาผ้าห่มได้ใช่ไหมคะ! หาให้ฉันด้วยสักสองผืนสิ” โจวมี่ว่า
ผ้าห่มสองผืนหล่อนจะเอาให้ลูกสาวคนละผืน ส่วนหล่อนจะใช้พาห่มผืนเก่าที่ห่มอยู่มันยังใช้ได้แต่ถ้าลูกสาวใช้มันคงจะไม่อุ่นเท่าไร
“ได้ อาทิตย์หน้าพี่จะเข้าอำเภอ” เหอเสี่ยวหงพยักหน้า