ห้องทำงานส่วนตัวของท่านฑูต ณ สถานทูตไทย กรุงลอนดอน
ห้องทำงานหรูเงียบสงัด มีเพียงเสียงนาฬิกากรุกกรักบนผนัง กับเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดจากปลายนิ้วของชายวัยกลางคนในชุดสูทเรียบเนี้ยบ
ท่านฑูตดิลก วัฒนสกุล นั่งอยู่หน้าแล็ปท็อป ดวงตาคมดุดันภายใต้แว่นกรอบบาง ขมวดคิ้วมองหน้าจออย่างเคร่งเครียด
ประตูเปิดออกเบา ๆ
คุณปาริฉัตร ภรรยาของเขาในชุดผ้าฝ้ายเรียบหรู เดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสารในมือ สีหน้าไม่ต่างกัน
“พวกเขาส่งมาอีกแล้วเหรอคะ?”
เธอเอ่ยเบา ๆ ขณะวางแฟ้มลงบนโต๊ะ
ท่านฑูตดิลกพยักหน้า ก่อนหันหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ดู เป็นข้อความภาษาอังกฤษ พร้อมโลโก้ปลอมแปลงของกลุ่มหัวรุนแรงกลุ่มหนึ่ง
“ ‘We will burn every flag. No diplomacy. No exceptions.’ ”
“ (เราจะเผาธงทุกผืน ไม่มีการทูต ไม่มีข้อแม้) ”
“พวกมันส่งไปให้สถานทูตทุกประเทศรอบยุโรปแล้ว ภายใต้ชื่อกลุ่ม ‘Black Dawn’ ”
ปาริฉัตรเม้มริมฝีปาก เธอเข้าใจความหมายของข้อความนั้นทันที ดวงตาสวยสะท้อนความไม่สบายใจอย่างชัดเจน
“ไม่ใช่แค่ขู่แน่ ๆ …”
“พวกมันมีข้อมูลข้างในมากกว่าที่เราคิด”
“...มีรายชื่อครอบครัวของเจ้าหน้าที่แนบมาด้วยใช่มั้ย?”
ท่านฑูตไม่ตอบ แต่เลื่อนหน้าจอลงช้า ๆ
ชื่อของเธอ และ “Maysa Watanasukul” ขึ้นมาเด่นชัด พร้อมโลโก้สถานทูตไทยอยู่ด้านบน
ปาริฉัตรเบิกตาเล็กน้อย
“พวกมันรู้ว่าเมษาเป็นลูกเรา…”
เธอกัดริมฝีปากแน่น สีหน้ากลายเป็นแม่หมีทันที
“ฉันจะบินกลับไทยไปหาลูก”
“เราฝากลูกไว้กับตระกูลโชติธาดา พวกเขาดูแลได้แน่ แต่…ฉันจะไม่รอจนทุกอย่างสายเกินไป”
“คนพวกนี้…มันไม่ได้แค่เล่นสงครามข่าวสาร”
ท่านฑูตถอนหายใจยาว
“ถ้าเธอกลับไทยตอนนี้ เราจะเสี่ยงถูกจับตาทั้งครอบครัว—”
“ไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัย แต่มันจะกระทบถึงสถานทูตโดยตรง”
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง
“ก็ไม่ต้องให้ฉันกลับในนาม ‘ภริยาท่านฑูต’ สิคะ”
“ฉันกลับในนาม ‘ลูกสาวตระกูลไทระ’ ก็ได้”
คำพูดนั้นทำเอาท่านฑูตนิ่งไปนิดหนึ่ง ดวงตาคมกร้าวสบกับภรรยาอย่างรู้ดีว่า...ถ้าตระกูลไทระต้องออกหน้า—พวกนั้นต้องเผาศัตรูจนทุกอย่างพังไม่มีเหลือ
“ฉัตร…”
“เธอเลิกเป็น ‘ไทระ’ ไปตั้งนานแล้ว”
“ฉันแค่เก็บดาบไว้ ไม่ได้ทิ้งมันนะคะ”
ท่านฑูตดิลกยังคงจ้องตาภรรยาเงียบ ๆ หลังประโยคนั้นหลุดจากริมฝีปากเธอ
รอยยิ้มบางปรากฏบนมุมปากของเขา ก่อนที่เขาจะเอื้อมไปคว้ามือเรียวขึ้นมาช้า ๆ ก้มลง…จูบหลังมือเธออย่างแผ่วเบา
“ฉัตร…เมษาเป็นเด็กฉลาด”
“เธอรู้จักแยกแยะ และระวังตัวเก่งกว่าที่เราคิด”
“ที่สำคัญ—มีอคินอยู่ด้วย”
ปลายนิ้วของเขาลูบไล้หลังมือของเธอเบา ๆ พร้อมสายตาจริงจัง
“เราแจ้งอคินให้ระวังมากขึ้น…ตอนนี้รอดูสถานการณ์ไปก่อน”
“อย่าเพิ่งเปิดเกมรุก…เรายังไม่เห็นไพ่ตายของอีกฝ่าย”
ปาริฉัตรยังดูไม่คลายกังวลนัก แต่ความอบอุ่นจากสัมผัสของสามีก็ค่อย ๆ ปลอบโยนความตึงเครียดลง
“คุณพูดแบบนี้ทุกครั้ง…จนฉันเผลอใจอ่อนทุกทีเลยนะคะ”
เธอยิ้มมุมปากเล็กน้อย มือข้างที่ถูกกุมไว้ยกขึ้นลูบใบหน้าคมของเขาแผ่วเบา
“เพราะทุกครั้ง…ฉันพูดความจริง”
ท่านฑูตกระซิบ ก่อนจะโน้มตัวลง—กดจูบลงที่หน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน แล้วเลื่อนริมฝีปากลงมาที่พวงแก้ม ไล้ไปตามแนวคางมนอย่างแผ่วช้า
ดวงตาหวานของปาริฉัตรปรือเล็กน้อย ขณะปลายนิ้วเธอไล้ไปตามสาบเสื้อสูทของเขา
“คุณจะปลอบใจฉันแบบนี้ทุกวันไม่ได้นะคะ…”
ท่านฑูตหัวเราะเบา ๆ เสียงทุ้มเจือเสน่ห์คุ้นเคย ก่อนจะเลื่อนมือโอบเอวเธอเข้ามาแนบตัว—กลิ่นหอมจากผิวกายของหญิงสาวที่เขารักมาทั้งชีวิตยังคงทำให้ใจเต้นได้เหมือนวันแรก
“คืนนี้…เรายังมีเวลาอีกนิด”
“แต่พรุ่งนี้...ต้องประชุมแต่เช้าไม่ใช่หรือคะ?” เธอแกล้งถามเสียงแผ่ว
“ถ้าพรุ่งนี้เหนื่อย...งั้นวันนี้ให้ผมหายคิดถึงก่อนได้ไหมครับ?”
เขากระซิบที่ข้างหู ก่อนจะพาเธอถอยหลังไปยังโซฟาเบดตัวยาวหลังห้อง เสียงหัวเราะเบา ๆ กับจูบอ่อนหวานเริ่มกลายเป็นจังหวะลมหายใจที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
แสงไฟนวลสีส้มบนโต๊ะทำงานสะท้อนเงาสองร่างที่โอบกอดกันแนบแน่น ค่ำคืนในลอนดอนยังคงเงียบ…แต่ภายในห้องนี้กลับเต็มไปด้วยไออุ่นของความรักและความห่วงใยที่ไม่มีวันจาง
🌸🌸🌸
หลังจากเหตุการณ์ ร่วง-แล้ว-ได้กอดพี่ (แถมได้ถูกอุ้มกลับบ้าน!) เมษาก็ลั้นลาราวกับคนเพิ่งถูกหวยสามงวดติด 😌
แต่ที่เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าคือ…
คีตะเปลี่ยนจากมอเตอร์ไซค์มอนสตาร์คู่ใจ เป็นรถหรูสัญชาติอิตาลี ‘Verrani’ สีดำด้าน เงาวับจนนึกว่ารถล่องหนจากเจมส์บอนด์
จริง ๆ แล้วคือ แม่ของพี่คีตะบอกว่าขี่บิ๊กไบค์อันตรายเกินไป…แต่เมษาชอบคิดว่าเปลี่ยนเพราะเธอ
ยิ่งคีตะทำแบบนี้ยิ่งทำให้เหล่าบรรดาแฟนคลับของเขายิ่งไม่พอใจมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มของแพรว
“น่าหมั่นไส้เป็นบ้า…”
แพรวกัดเล็บพลางมองผ่านกระจกตึกเรียนอย่างหัวเสีย สายตาเธอไม่ละไปจากภาพตรงหน้า—คีตะประคองเมษาลงจากรถ Verrani คันหรูอย่างอ่อนโยน ก่อนจะส่งต่อให้เพื่อนของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล
“ดูสิ! ทำตัวติดกับพี่คีตะอยู่ได้ทุกวัน!”
“ให้ตายเหอะ กูอยากเอาแก้วปาใส่หน้า” แนนบ่นพลางเบะปาก
“เอาไงดี ตบมันเลยดีมั้ย?”
มุกที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบพูด
“ฉันแกล้งมันไปแล้วนะ แต่พี่คีดันโผล่มารับไว้ทันอีก”
“แกทำอะไรก็พลาดตลอดแหละ ยัยมุก”
แพรวปรายตามองอย่างหงุดหงิด สีหน้าชัดเจนว่าไม่พอใจทั้งสถานการณ์และทีมงานไร้ฝีมือ
“ตอนเย็นพี่คีตะต้องซ้อมบาสใช่ป่ะ?” แนนเสนอแผนอีกครั้ง
“เราล่อมันไปหลังสนามบาสมั้ย จังหวะดี ไม่มีคน”
แพรวเป็นลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดัง แม่ของเธอแยกทางกับพ่อตั้งแต่เด็ก ทำให้พ่อของเธอสปอยและเอาใจเธอมาก ไม่ว่าเธอจะทำอะไรผิดแค่ไหน บารมีของพ่อเธอก็คอยปกป้องตลอด ทำให้ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับเธอ
แพรวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนแสยะยิ้มบาง ๆ แบบที่ไม่มีใครอยากเห็น
“เอาสิ...แค่ให้เจ็บพอจำได้ก็พอ เดี๋ยวฉันจะเป็นคน ‘เจอ’ มันนอนสลบเอง แล้วไปบอกพี่คีตะ”
“เนียนว่ะ…” แนนพยักหน้าชื่นชม
“ฉันจะทำเป็นตกใจ เสนอพาไปห้องพยาบาล แล้วอยู่เฝ้าให้...” แพรวกระตุกยิ้มมุมปาก
“รับรอง...พี่คีตะต้องเห็นใจและใจอ่อนกับฉัน”
“แล้วถ้าเพื่อนมันมาด้วยล่ะ?”
“ตบมันทั้งคู่” แพรวพูดอย่างเลือดเย็น
“มันจะได้เข้าใจซะทีว่า พี่คีตะ...ไม่ใช่ของพวกมัน”