ตอนที่ 2 หาวิธี

1973 Words
โรงเรียนเปิดมาแล้วสองสัปดาห์ ฉันสนิทกับเพื่อนในกลุ่มมากขึ้น กับเพื่อนๆ ในห้องก็เข้ากันได้กับทุกคน ได้เรียนรู้นิสัยใจคอกันมากขึ้น ทำให้รู้ว่า หลินเป็นเด็กเรียนดี ที่บ้านเปิดร้านขายยาจีน มีพี่ชายที่หวงน้องสาวมาก คือพี่หยาง หลินแอบชอบเพื่อนในกลุ่มของพี่หยาง คือพี่ธันวา ‘มิน่าล่ะ ถึงไม่กรี๊ดพี่สิงห์เหนือ มีคนที่ชอบอยู่แล้วนี่เอง’ ยิ้ม เป็นลูกสาวคนเดียวของร้านขายของชำหน้าตลาด ใกล้ๆ กับร้านขายยาของป๊าม้าของหลิน ส่วนมน เป็นลูกของคุณครูฉัตรมงคลที่เป็นครูสอนวิชาศิลปะในโรงเรียนนี้ และฉันที่ย้ายมาใหม่ เป็นคนไม่ค่อยชอบพูดกับคนที่ไม่สนิท (แค่ไม่ชอบพูด แต่ถ้ามีเรื่องไหนสนใจก็จะพูดไม่หยุดเหมือนกัน) บุคลิกฉันเป็นคนสบายๆ ง่ายๆ สายลุย ไม่ค่อยรักสวยรักงาม ไม่พกแป้งฝุ่นหรือลิปมันเหมือนเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน (เอาตรงๆ เลยคือขี้เกียจทา)ตัดผมสั้นประบ่า แต่รำคาญผมด้านข้างที่ไหลลงมาปิดหน้าเลยชอบรวบผมด้านหน้ามามัดเป็นจุกเล็กๆ ไว้ง่ายๆ เลยโดนมองเป็นสาวห้าวไปเสียอย่างนั้น ตั้งแต่วันนั้น พวกฉันยังไม่มีโอกาสได้คุยกับพี่สิงห์เหนือเลย มีไปดูเขาซ้อมบาสเกตบอลบ้าง เพราะตามหลินไปดูพี่หยาง (ซึ่งจริงๆ จุดประสงค์คือไปดูพี่ธันวา) ส่วนมนกับยิ้มก็อยากไปดูพี่สิงห์เหนือ (รวมทั้งฉันด้วย) เหมือนอย่างวันนี้ที่พวกเราก็มาดูรุ่นพี่ซ้อมบาสเกตบอล “โอ๊ย ไม่มีที่เลย มาช้า” มนบ่นอุบ หลังจากเดินรอบสนามแล้วก็ไม่มีที่ไหนให้แทรกตัวเลย “กรี๊ด พี่สิงห์เหนือ!!” “อ๊าย พี่หยาง!!” “สู้ๆ นะพี่ธัน กรี๊ด!!” ข้างสนามมีแต่แฟนคลับของแก๊งนี้ทั้งนั้น มีกรี๊ดรุ่นพี่คนอื่นบ้าง แต่หลักๆ ก็กรี๊ดพี่สิงห์เหนือ พี่หยาง และพี่ธันนี่แหละ ‘แฟนคลับเยอะเกิน’ ฉันลงท้ายเสียงสูงในความคิดของตัวเองหมั่นไส้เล็กน้อยที่มีคนชื่นชอบเขามากมาย ********************* หลังจากแยกย้ายกัน ฉันก็กลับมาบ้าน อาบน้ำแต่งตัวเตรียมลงไปทานอาหารเย็นกับครอบครัว ครอบครัวของฉันมีฐานะปานกลาง ประกอบไปด้วยพ่อ แม่ พี่ชาย พี่สะใภ้ที่กำลังอุ้มท้องหลานชายของฉันอยู่ พ่อกับแม่ฉันทำงานในหน่วยงานราชการ พึ่งย้ายมารับตำแหน่งใหม่ พี่ชายเป็นวิศวะไฟฟ้า พี่สะใภ้เป็นแม่บ้านเพราะพี่ชายให้ลาออกจากงานบริษัทเพื่อเตรียมตัวเลี้ยงเจ้าตัวเล็กด้วยตัวเอง “ไงเรา วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง” “ดีค่ะพ่อ” “เพื่อนๆ ล่ะ” “เข้ากันได้ดีค่ะแม่” ฉันตอบคำถามพ่อแม่ แล้วเริ่มลงมือตักผัด ผักคะน้าเข้าปาก “ฝีมือพี่ฝนอร่อยไม่เปลี่ยนเลย” ฉันชมพี่สะใภ้หลังจากชิมอาหารธรรมดาที่รสชาติไม่ธรรมดา “โชคดีของพี่ ที่ได้เมียเป็นแม่ศรีบ้านศรีเรือน” พี่เม่น พี่ชายของฉันพูดอย่างปลื้มใจด้วยท่าทีเชิงกระเซ้าเย้าแหย่พี่สะใภ้ “แหม! เล่นตัวอยู่ได้ตั้งเป็นปีกว่าจะได้เป็นแฟนกัน” พี่ฝนพูดตัดพ้อแต่น้ำเสียงติดตลกเสียมากกว่า “พี่ฝนพูดยังกะเป็นฝ่ายจีบพี่เม่นก่อน” ฉันพูดแซว พี่ฝนหัวเราะแล้วพยักหน้าตอบรับ ฉันอ้าปากค้าง ทำตาโต นี่ความรู้ใหม่เลยนะเนี่ย “พี่เขียนจดหมายแล้วก็ซื้อขนมไปจีบพี่เม่น ทุกวันศุกร์ไม่เคยขาด ตั้งปีหนึ่งแน่ะ กว่าจะใจอ่อน” “ทำไมต้องทุกวันศุกร์คะ?” “ก็จะได้เป็นที่จดจำและไม่เหมือนใครไงล่ะ แล้วก็ได้ผล” พี่ฝนพูดประโยคสุดท้ายเบาๆ แต่แฝงไปด้วยความนุ่มนวล ยิ้มแล้วส่งสายตาหวานไปที่พี่เม่น พ่อแม่และฉันก็ได้แต่อมยิ้มตาม และฉันนึกวิธีอะไรบางอย่างออก ในตอนสองทุ่ม ฉันนอนกลิ้งตัวไปมาบนที่นอน ว่าจะทำยังไงให้เป็นที่จดจำของพี่สิงห์เหนือ ไม่ได้หวังให้พี่มาชอบหรอก แค่อยากบอกความรู้สึกให้พี่แกรู้โดยไม่อยากเปิดเผยตัว เพราะอายที่จะต้องออกตัวจีบผู้ชายก่อน แถมเป็นครั้งแรกด้วย มองดูตัวเองในกระจกทีไรก็ได้แต่ถอนใจ หน้าไม่เคยแต่ง โลชั่นก็ยังขี้เกียจทา อ่อนหวานไม่เป็น ไม่มีความเป็นผู้หญิงเลยสักนิด เฟซบุ๊กพี่สิงห์เหนือก็มีนะ แต่ไม่เคยแอดเพื่อนหรือทักไป ได้แต่เข้าไปส่อง แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยอัพอะไร หรืออาจจะอัพ แต่ว่าฉันไม่ใช่เพื่อนในเฟซบุ๊กเลยมองไม่เห็นไทม์ไลน์ที่เคลื่อนไหว มาคิดดู วิธีของพี่ฝนก็ใช้ได้นะ การเขียนจดหมายมันก็จริงใจกว่าการแชทไปหาด้วย ‘ให้เขียนจดหมายทุกวันศุกร์เหมือนพี่ฝนเหรอ ไม่อะ เวลาเอาไปส่งพี่เขาต้องถามแน่เลยว่าของใคร แล้วเราจะตอบว่าไง ถี่เกินไปปะวะ หาข้ออ้างตอบไม่ทันแน่เลย’ ‘เอ๊ะหรือว่าจะศุกร์เว้นศุกร์ อืม ไม่ดีอะ เดี๋ยวลืม เว้นผิดวันเดี๋ยวไม่เป็นรูปแบบที่น่าจดจำ’ ‘นึกออกแล้ว เดือนละฉบับก็พอ เริ่มเขียนวันนี้เลยแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยเอาไปให้พี่สิงห์เหนือ พร้อมกับพวงกุญแจรูปบาสเกตบอลที่พึ่งซื้อมาเมื่อวาน’ ฉันคิดวิธีที่จะบอกความรู้สึกอยู่หลายวิธี จนมาสรุปอยู่ที่วิธีสุดท้าย แล้วเริ่มลงมือเขียนจดหมายฉบับแรกด้วยกระดาษรายงานธรรมดา ซองจดหมายก็ใช้กระดาษA4 สีเขียวอ่อนที่ซื้อมาทำปกรายงานพับเอา ‘เป็นเอกลักษณ์ดี’ สีโปรดของฉันคือสีเขียวอ่อน ขนาดสีที่ชอบยังไม่อ่อนหวานเลยมิ้มเอ้ย เฮ้อ!!! ********************* ฉันมาโรงเรียนแต่เช้าด้วยรถสกูปี้สีน้ำเงินที่ส่งต่อมาจากพี่เม่น ในชุดพละของโรงเรียนและรองเท้าผ้าใบสีดำ มัดผมทรงเดิม เพื่อรอพบพี่สิงห์เหนือ เพราะรู้มาว่าเขามาเวลาประมาณนี้ทุกวัน อีกอย่างที่เลือกเวลาเช้า เพราะฉันอยากส่งจดหมายให้เขาตอนที่คนไม่พลุกพล่าน ฉันก็อายเป็นเหมือนกันนี่เนอะ แฟนคลับพี่แกก็เยอะ ถ้าเอาให้ตอนแฟนคลับรุม เดี๋ยวพี่แกจะไม่จดจำในสิ่งที่ฉันคิดจะทำ ฉันนั่งรอที่ม้านั่งข้างป้อมยามหน้าโรงเรียน ในใจก็คิดว่าจะบอกพี่เขายังไงดี ยังไม่อยากให้พี่เขารู้ตอนนี้ว่าฉันชอบ แต่ก็อยากแสดงความรู้สึกออกไป ไม่อยากเก็บไว้ แล้วสายตาก็ปะทะเข้ากับเป้าหมายทันที พี่สิงห์เหนือเดินมาคนเดียว มือขวาถือเป้พาดไว้ข้างหลัง เป้มีไว้สะพาย แต่ถือแบบนี้ โคตรเท่ โคตรแบด โคตรหล่อ ไวกว่าความคิดก็ขานี่แหละ เดินไปดักหน้าพี่เขาไว้ตอนไหนไม่รู้ ‘ฉิบหายล่ะมิ้มเอ้ย ยังไม่ได้เตรียมคำพูดเลย’ “น้องที่เก็บสมุดพี่ได้นี่ มีธุระอะไรกับพี่หรือเปล่า?” “อ๋อ คือมีคนฝากนี่มาให้พี่” ฉันรีบตอบออกไปพยายามข่มเสียงไม่ให้สั่น กลั้นยิ้มไว้ไม่ให้เขาเห็น ‘เวรล่ะ ลืมหางเสียง ห้วนไปปะวะ’ “ใครฝากมา พี่จะได้ขอบใจถูก” พี่สิงห์เหนือรับของในมือที่ฉันยื่นให้ไปแล้วถามกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติ คงเป็นความเคยชินที่ได้รับของฝากจากแฟนคลับเป็นประจำพี่แกเลยไม่ตื่นเต้นดีใจเอาซะเลย “เขาไม่ให้บอก...ค่ะ” ฉันตอบออกไปโดยเติมหางเสียงให้ดูสุภาพขึ้น “อือ พี่ฝากขอบใจเขาด้วยนะ” พี่สิงห์เหนือยิ้มกว้าง “....” ฉันพยักหน้า ใจสั่นด้วยความตื่นเต้น “น้องชื่อมิ้มใช่ปะ พอดีเลย ไปกินข้าวเช้าด้วยกัน พี่หิวแล้ว เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง” “เอ่อ...” “ปะ รีบมาดิวะ พี่หิวแล้ว” พี่สิงห์เหนือพูดขณะที่เอาของที่ฉันให้ใส่กระเป๋าเป้นักเรียนไปด้วยเดินไปด้วย “....” ฉันพูดอะไรไม่ออก แต่มันเขินไปหมด รู้ตัวอีกทีก็เดินตามพี่สิงห์เหนือเข้ามาในโรงอาหารแล้ว ฉันรวบช้อนหลังจากทานข้าวตรงหน้าเสร็จ แล้วมองไปโต๊ะข้างหน้าที่ถัดไปอีกสองแถวที่มีบรรดาแฟนคลับของพี่สิงห์เหนือรุมล้อม สรุปพอมาถึงโรงอาหาร บรรดาแฟนคลับก็มารุมพี่แกแล้วลากไปนั่งกินข้าวด้วย ส่วนฉันก็ต้องมานั่งกินข้าวคนเดียว โถ...ชีวิต “นั่งด้วยคนได้ไหมคะ?” “อืม” ฉันตอบตกลงแบบงงๆ รุ่นน้องมัธยมต้น ผมสั้นเลยติ่งหู เหน็บปลายผมด้านหน้าไว้ที่ใบหู มีกิ๊บสีดำติดอยู่ข้างละสามอัน ตัวเล็กๆ ขาวๆ ‘ใครหว่า?!’ “หนูชื่อมีนาค่ะ พี่ชื่ออะไรคะ?” “มิ้ม แล้ว...มีธุระอะไรกับพี่หรือเปล่า” ฉันบอกชื่อแล้วถามน้องมีนา เพราะน้องก็ไม่ได้ถืออาหารหรือเครื่องดื่มมานั่งเลย ที่นั่งว่างก็เยอะแยะ “หนูชอบพี่ค่ะ เรามาลองคบกันไหมคะ?” น้องตอบตรงมาก เล่นเอาฉันทำหน้าไม่ถูก “ฮะ!!” น้องมีนายิ้ม เอามือค้ำคางเอียงคอเล็กน้อยดูน่ารักมากๆ (สำหรับผู้ชายอะนะ) แววตาจริงจัง จนฉันอึ้งจนเกือบจะพูดไม่ออก “ไม่อะ!! พี่มีคนที่ชอบแล้ว” ฉันปฏิเสธออกมาแล้วลุกขึ้นเอาจานไปเก็บ แล้วรีบเดินออกไปจากโรงอาหารทันที ********************* โรงอาหารเวลาเที่ยงก็เป็นเหมือนทุกวัน แม้เด็กมัธยมต้นจะทยอยขึ้นห้องเรียนแล้ว แต่ก็ยังมีมัธยมปลายอย่างพวกเราทยอยลงมาเช่นกัน โต๊ะอาหารก็เริ่มมีคนจับจอง แล้วหน้าที่จองโต๊ะเป็นของฉัน หลินกับมนซื้อข้าว ยิ้มซื้อน้ำ กลุ่มเราแบ่งหน้าที่กันแบบนี้เป็นหลัก แต่ก็มีบ้างที่ สลับกันทำหน้าที่ “พี่มิ้มขา” เสียงเรียกชื่อฉันลากยาวจนน่าขนลุก ‘เสียงคุ้นๆ ใช่ชัวร์ มิ้มเอ้ย’ ฉันหันไปมองต้นเสียง จ้า...น้องมีนาของพี่มิ้มเอง (ประชดตัวเอง) เฮ้อ! ฉันยิ้มให้น้องเล็กน้อย ขณะที่น้องกวักมือเรียกแล้วชี้มาที่โต๊ะที่น้องนั่งอยู่ “หนูจองโต๊ะให้พี่มิ้มแล้วค่ะ” “ขอบใจนะ” ฉันยิ้มตอบน้องตามมารยาท และรู้สึกขอบใจน้องมีนา ที่อย่างน้อยตอนนี้ก็มีโต๊ะนั่งแล้ว โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าโต๊ะข้างๆ มีใครนั่งหันหลังอยู่ ทันทีที่เพื่อนในกลุ่มซื้ออาหารและเครื่องดื่มเสร็จก็เดินตรงมาที่โต๊ะที่มีฉันและน้องมีนาอยู่ “ไอ้มิ้ม ใครอะ!?” “หนูชื่อมีนาค่ะ อยู่ชั้นมอสาม” รายงานตัวเองเสร็จสรรพ “แล้ว...” “หนูมาจีบพี่มิ้มค่ะ” น้องรีบชิงตอบก่อนที่มนจะถามจบด้วยซ้ำ “หู้ว!!” เพื่อนๆ ฉันร้องออกมาแทบจะพร้อมกัน “หนูไปเรียนแล้วนะคะ เดี๋ยวหนูจะจองโต๊ะให้พี่ทุกวันเลยค่ะ” น้องมีนาบอกแล้วรีบลุกเดินไปเพื่อเข้าเรียนต่อในช่วงบ่าย “ไม่ต้อง พี่เกรงจะ...ใจ” บอกไม่ทัน น้องรีบเดินไปแบบไม่ฟังคำปฏิเสธอะไรเลย “ออกตัวแรงอะมิ้ม” “อืม แรงส์มากกกกก” ยิ้มกับหลินพูดเสริมไปในแนวเดียวกัน เพื่อนๆ พากันส่ายหน้าแบบขำๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าน้องคงไม่สมหวัง เพราะฉันไม่ได้เป็นแบบที่น้อง(และคนอื่นๆ เข้าใจ) แล้วพวกเราก็รีบกินข้าวที่อยู่ตรงหน้าเตรียมตัวเข้าเรียนพละต่อในช่วงบ่าย *********************
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD