บทที่ 9

2000 Words
ตอน เกือบลืม “เฮ้ๆ ผิงผิง! เธอถอยห่างไปไกลหน่อย ถ้าบาดเจ็บจะมาเรียกร้องค่าเสียหายจากฉันไม่ได้นะ” “พวกคุณรื้อออกทำไม แล้วลุงชวนล่ะ” “ตาแก่คนนั้นไปที่แผงแต่เช้าแล้ว เขาจ้างให้เรามาปรับปรุงบ้าน” “ปรับปรุง? ค่อยยังชั่ว ฉันคิดว่าลุงเล่นไพ่จนหมดตัวเสียอีก” “เธอเพ้อเจ้อไปไหน! พี่ชวนเขาคือเซียนไพ่นกกระจอกต่างหาก เขาไม่เคยหมดตัว มีแต่จะทำให้คนอื่นที่ต้องร้องไห้” “เขาเก่งขนาดนั้นเลย โอ้ฉันไม่เคยรู้มาก่อน” “ไม่ใช่แค่ไพ่นกกระจอก เขาคือเซียนพนันตัวจริง สมัยตอนหนุ่มเขาทำงานในบ่อนด้วย แต่ไม่รู้ทำไมถึงออกมาเปิดแผงรองเท้า ถ้าเขายังอยู่ที่นั่นจะได้ความสำคัญมาก” เรื่องนี้ทำให้ผิงผิงประหลาดใจอย่างมาก จะว่าไปลักษณะของลุงชวนก็ดุดันและนักเลง ถึงไม่มีใครกล้าทำให้เขาขุ่นเคือง “ลุงคะ ฉันมาแล้ว” “ก็บอกว่ามาสายได้ ทำไมถึงยังมาเช้าอีก” “เมื่อวานพอกลับไปฉันก็หลับยาว ตื่นมาก็เช้าแล้ว แผลที่เท้าก็แห้งสนิทไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่” “ฉันไม่ได้ถามเรื่องนั้น ใครอยากสนใจมัน!” ผิงผิงสะอึก นี่ลุงกำลังบอกว่าเธอพูดมากอยู่ใช่มั้ย แต่เพียงครู่เดียวเธอให้ความสนใจไปกับวัสดุใหม่ที่อยู่ในเข่ง “ลุงชวน นี่คืออุปกรณ์สำหรับทำรองเท้าใหม่หรือ มันดูคุณภาพดีจัง” “เมื่อเธอพูดถึงรองเท้าส้นสูง ฉันจึงไปสอบถามทางฝั่งศูนย์การค้ามา เห็นว่าตอนนี้พวกนักศึกษานักเรียนชื่นชอบรองเท้าที่มีส้น ได้ยินคนพูดว่ามันทำให้พวกเธอสูงขึ้น ใส่แล้วมั่นใจกว่ารองเท้าแบบเดิมๆ” “แต่ก็มีวัสดุสีอื่นด้วย” “เธอโง่จริงๆ! นอกจากนักเรียน ยังมีผู้หญิงมากมายที่นิยมของสวยงามไม่ใช่หรือ ผู้หญิงในโรงเย็บผ้าโรงงานมีน้อยที่ไหน คนพวกนั้นย่อมเจียดเงินเพื่อซื้อไปใส่อวดกัน” “อ่านั่นสินะ ไม่คิดเลย ลุงจะกระตือรือร้นขนาดนี้” “มันการค้าของฉัน จะไม่สนใจได้ยังไง แถวนี้คนที่ทำรองเท้าขายมีไม่เยอะนัก ฉันต้องรีบกอบโกยให้ทัน ไม่นานจะต้องมีคนรวยมาลงทุนเปิดโรงงานรองเท้า ถึงเวลานั้นฉันจะยังขายดีอยู่หรือ” “พูดถึงโรงงาน ลุงไม่คิดว่าอยากทำบ้าง ขอเพียงขายได้อีกสักสี่ห้าเดิน น่าจะมีเงินพอสำหรับลงทุนแล้ว” “พูดง่ายทำยาก การขอใบอนุญาตมีขั้นตอนซับซ้อนมาก และการลงทุนขนาดนั้นมันต้องใช้คนที่มีฝีมือ แถวนี้มีคนแบบนั้นที่ไหนกัน” “ฝึกก็ไม่ได้หรือ” “ฝึกได้ แต่ฝึกแล้วพวกเขาไม่ยินดีกับผลตอบแทนล่ะ คนแถวนี้ฉันรู้จักหมด นิสัยของพวกเขาคือโรงโม่ดีๆ ให้เท่าไหร่ก็ไม่พอ” “ในตอนแรก แน่นอนว่าเขาจะซาบซึ้งมากที่ได้ทำงาน สักพักพอทำไป เขาจะรู้สึกว่าไม่คุ้มค่า อยากได้อยากมีเพิ่ม และมีข้อเรียกร้องมากขึ้น สุดท้ายจะโวยวายหาว่าโดนเอาเปรียบ หากถูกปฏิเสธเขาจะอาละวาดโดยไม่สนวิธีการ หวังเพียงให้ผลลัพธ์ออกมาตามที่ต้องการ” ผิงผิงอึ้ง แต่ก็คล้อยตาม ใช่แล้วคนแถวนี้ล้วนเห็นแก่ตัวทั้งนั้น อาจเพราะพวกเขายากจนมาก จึงทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีกิน และยังไม่มีการศึกษาขาดความเข้าใจเรื่องคุณธรรม เธอจึงอดมองลุงอีกครั้งไม่ได้ ที่เขาไม่จ้างคนอื่นเพื่อตัดปัญหา แต่ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการเติบโต แค่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบระมัดระวัง “แล้วลุงคิดว่าจะจัดการอย่างไร” “ฉันคิดว่าการโตเร็วนักไม่ดี ถ้าจะทำแบบนั้นไม่สู้ให้พวกเขามาขอร้องเอง แล้วค่อยกำหนดสัญญาข้อบังคับชัดเจน ระบุการลงโทษพร้อมค่าปรับ เพื่อป้องกันไม่ให้สร้างปัญหาในอนาคต และยังสร้างโอกาสในการแข่งขัน เมื่อมีคนมาขอร้องหลายคน จะให้เกิดการสอบความชำนาญ ใครทำดีก็ได้งาน ทำไม่ได้ก็ไม่อาจเรียกร้อง” “แนวคิดนี้ดีมาก ไม่เพียงสอนพวกเขาให้รู้ซึ้งว่างานดีต้องแลกด้วยความสามารถ ยังเป็นการเตือนว่าหากไม่พอใจหรือไม่รู้จักพอ ยังมีคนอื่นที่ต้องการงานที่ทำอยู่ พวกเขาจะไม่กล้าแม้แต่ไอ” “อืม ฉันจ้างคนมาขยายห้องเก็บของ ค่อยปรับปรุงบ้าน เมื่อรองเท้าขายออกไปจนมีเงินมากพอ ฉันจะมองหาตึกแถวสำหรับใช้ผลิตรองเท้า เอาที่ห่างไปแต่ไม่ไกลมาก เปิดโอกาสให้คนพื้นที่อื่นเข้ามาทำงาน เพราะถ้าฉันเปิดร้านที่นี่ เวลาที่บางคนเป่าหูลมเหม็น มันจะพัดเอาคนงานหายไป การจ้างคนนอกพื้นที่จะถูกรบกวน” “ทำไมฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าลุงฉลาด” “คงเหมือนที่ฉันไม่รู้ว่าแกพูดมาก แล้วคุณนายพอใจกับรองเท้าที่ส่งไปไหม” “ก็ไม่เห็นเธอว่าอะไรนะ ได้ของแล้วก็เงียบไป แต่ถ้ามีอะไรหรือต้องการของเพิ่ม ฉันจะรีบบอกลุงอย่างแน่นอน” “ดี เห็นแก่ที่แกรู้จักบุญคุณ หากว่าคุณนายซื้อของจากฉันอีกจำนวนมาก ฉันจะให้ค่าน้ำชาแกสักเล็กน้อย” “ลุงพูดแล้วนะ! ห้ามหลอกฉัน” “ฉันเหมือนคนแบบนั้นหรือ เรื่องโรงงานยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ แต่อนาคตต้องมีอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นถ้าแกยังอยู่กับฉัน แกจะได้อยู่เหนือคนงานและได้รับความสำคัญที่สุด ในฐานะคนสนิทของฉัน” ผิงผิงยิ้มรับ ที่จริงเธอไม่ได้สนใจกับข้อเสนอนี้นัก แต่เธอต้องการอยู่ภายใต้การคุ้มครองของลุงชวน หากก่อนที่เธอจะเจอกับครอบครัวใจร้ายเธอคงปฏิเสธ ชาติก่อนได้สอนบทเรียนหลายอย่างแก่เธอ ถึงจะไร้กำลังก็ควรมีคนอยู่เบื้องหลัง และชายคนนี้สามารถพึ่งพิงได้ หากให้เดา ตอนนี้หยงเจินต้องกำลังป่วยและต้องการถ่ายเลือด ไม่นานคนพวกนั้นจะตามหาเธอพบ จากนั้นเป็นอย่างไรต่อ พวกเขาจะอ้างว่าเลือดของเธอสามารถเข้ากันได้ดี ช่วยเหลือหยงเจินได้ และบังคับเธอให้เลือดจนเกือบหมดตัว ไม่มีการตรวจสอบความจริงเลยว่า เลือดของเธอกับของหยงเจินมันไม่เข้ากัน ยิ่งไม่ตรวจหาความจริงที่ว่าลูกสาวที่เขารักแค่แกล้งป่วย เพื่อทรมานร่างกายกับหัวใจเธอ ยังเป็นการเย้ยหยันว่าลูกแท้ๆ สู้ลูกที่เขารับมาเลี้ยงไม่ได้ ฉันจะไม่ยอมถูกรังแกอีก ไม่มีทาง! แต่ว่าเรื่องนั้นไม่ได้เกิดขึ้น เนื่องจากทุกอย่างถูกบิดเบือนไปแล้ว นับว่าร่างกายนี้มีทักษะที่ดี เธอในชาติก่อนไม่มีความสามารถในการทำรองเท้า แต่ร่างนี้มี เพียงแค่นำอุปกรณ์มาลูบคลำอยู่ครู่หนึ่งเธอก็ได้ว่าต้องทำขั้นตอนใดต่อไป การทำรองเท้าส้นสูงไม่ได้ง่ายเหมือนรองเท้าแตะรองเท้าธรรมดา ยังต้องใช้เครื่องมือสำหรับบีบอัด โดยเฉพาะการติดส้นที่หนา หากทำไม่ดีมันย่อมหลุดแบบนั้นคงโดนลูกค้าร้องเรียน ไม่เพียงต้องจ่ายค่าเสียหาย ชื่อเสียงจะถูกทำลายจนคนจดจำ จึงต้องระมัดระวังอย่างมาก ซึ่งลุงชวนมีอยู่แล้ว เขาตรวจสอบทุกคู่ แต่การทำมือไม่อาจทำได้เร็วเหมือนเครื่องจักร กว่าจะสำเร็จออกมาแต่ละคู่ใช้เวลาที่นานเอาเรื่อง “ผิงผิง หยุดกินข้าวก่อน” “ข้าวหรือ?” “รับไปสิ กินแล้วค่อยทำงานต่อ” มองห่อข้าวหอมกรุ่น เหมือนเธอจะได้กลิ่นเนื้อด้วย พอเปิดดูจึงเห็นว่าเป็นข้าวเหนียวผัดน้ำมัน มีเนื้อสับอยู่เล็กน้อย ดูน่าอร่อย แต่เธอยังไม่ลงมือกิน “ลุงกินรึยัง” “ของฉันต้องมีอยู่แล้ว นี่ไง กินซะอย่าชักช้า รองเท้าคู่หนึ่งไม่ได้เสร็จไวขนาดนั้น” เธอพยักหน้าแล้วลงมือกินอย่างรวดเร็ว ที่จริงก็อยากล้างมือก่อนแต่น้ำมันอยู่ไกล ขี้เกียจเดินไปล้าง จึงบอกตัวเองว่าเชื้อโรคมันเล็กมาก ต้องเป็นมันสิที่กลัวถูกกินไม่ใช่เธอที่กลัวมัน คิดแบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นมา ถึงอย่างนั้นเธอพยายามไม่ให้มือที่เลอะสัมผัสข้าวมากนัก สองคนต่างรีบกินจนหมด “ลุงไม่ต้องช่วยฉันทำก็ได้ ยังไงฉันก็เป็นแรงงานของคุณ” “ปล่อยให้แกทำคนเดียวเมื่อไหร่มันจะเสร็จ ฉันต้องการมีรองเท้าออกขายเยอะๆ คิดว่าค่าช่างมันถูกหรือ” “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจลุงเถอะ” จะว่าไปพอเขาช่วยเธอก็สบายขึ้น ให้เขาใช้เครื่องอัดกาว ส่วนเธอประกอบรองเท้าเป็นหลัก วันนี้มีลุงชวนนั่งทำงานด้วยเหมือนจะไม่มีคนมาแกล้งเธอ หากเป็นปกติจะมีเด็กซนเอาหนังสติ๊กมายิง เอาหินมาปาแล้ววิ่งหนี หลบทันบ้างไม่ทันบ้าง โกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย พวกพ่อแม่ก็รู้แต่กลับไม่ห้ามปล่อยให้ลูกหลานแกล้งคนอื่น คิดขึ้นมาแล้วก็หงุดหงิด อยากให้ฟ้าดินสั่งสอนพวกเขาบ้างจัง “ไม่เลว วันนี้ทำได้เยอะกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่บ้านฉันยังคงต้องซ่อมแซม แกเอาของที่เสร็จแล้วไปไว้ที่แกก่อน ส่วนอุปกรณ์ฉันจะหาที่ไว้เอง” “ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อน” “ห้ามทำของหายไม่อย่างนั้น” “ฉันจะหักเงินแก! / ฉันจะหักเงินแก!” ผิงผิงเอ่ยพร้อมกับเขา สองคนจึงประสานเสียงในประโยคเดียวกัน “ฉันรู้น่า คำนี้ได้ยินจนจำขึ้นสมองแล้ว” “ไปได้แล้ว เห็นแกทีไรมันเกะกะลูกตา หึ!” “ข้าอยากอยู่กัน เมื่อยจะแย่ กลับไปนอนพักเอาแรงดีกว่า” “เดี๋ยวเถอะยัยเด็กบ้า!” ผิงผิงแบกตะกร้าวิ่งหัวเราะ มีลุงชวนบ่นตามหลัง แต่ใบหน้าเขากลับยิ้ม ไม่เหมือนคำพูดที่เปล่งออกมา ซึ่งแน่นอนว่าเธอรู้ ลุงคนนี้ปากร้ายใจดี เธอจึงมีความคิดจะซื้อรองเท้าจากเขา “โอ้จริงด้วย! วันนี้เราต้องรีบซื้อของ หว๋า! จะห้าโมงเย็นแล้ว” สองตาเหลือบเห็นนาฬิกาในร้านชำแล้วร้อนรน วันนี้ปิดภารกิจที่สามทุ่ม เธอมีเวลาไม่กี่ชั่วโมง อย่าลืมว่าร้านในสมัยนี้ปิดเร็ว บางร้านไม่รอฟ้ามืดด้วยซ้ำ ห้าโมงก็ปิดแล้ว “ตายแน่! ตายแน่! ถ้าซื้อไม่ทันเราจะกลายเป็นหมาแล้ว” เธอกลัวว่าร้านเฟอร์นิเจอร์จะปิด แต่เพราะไม่มีคูปองสำหรับซื้อบางอย่าง จึงเลือกที่จะเข้าร้านที่เล็กลงมา เลือกร้านที่คุยง่ายหน่อยถึงจะแพงกว่าแต่อย่างน้อยก็ปลอดภัย คิดว่าไปตลาดมืดตอนนี้คงไม่ทัน “เดี๋ยวก่อนพี่ชาย อย่าเพิ่งปิดร้าน!” “เธอจะเอาอะไร มาจนป่านนี้เลย ไป! ไป! พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่” “ฉันขอร้อง! พี่ชายอย่าเพิ่งไล่ฉันไป คือว่าเจ้านายฉันเขามาจากต่างเมืองกะทันหัน ต้องการหลายอย่างในบ้าน ได้โปรดเถอะเห็นใจฉันด้วย ถ้ายังหาไม่ได้ วันนี้ฉันต้องตกงานแน่” คนที่คาดว่าเป็นลูกชายเจ้าของร้านมองประเมินเธอ แต่เขายังไม่ยอมเปิดประตู “เจ้านายของเธอต้องการของเยอะหรือ” “เยอะมาก แต่ว่า...ไม่มีคูปอง” “สองเท่า! ถ้าเอาก็เอา ถ้าไม่เอาก็ไสหัวไป” “ตกลง! เจ้านายฉันเขารวยมาก ขอเพียงพี่ขายให้เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา” “มีอยู่เท่าไหร่” “สามพันหยวนค่ะ” “ถ้าอย่างนั้น เข้ามา”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD