บทที่ 5

1926 Words
ตอน การไล่ล่าจากนักโทษหลบหนี “ผิงผิง เธอจะดูร้านไหนต่อ” “ไปร้านเครื่องสำอางเถอะค่ะ” “นั่นสิ คุณนายต้องชอบมันอยู่แล้ว” ตอนนี้หญิงชราไม่ขัด ไม่ว่าเธอจะชี้ร้านไหนก็เห็นด้วยทั้งนั้น การได้เดินซื้อของถึงจะไม่ใช่ของตัวเอง แต่มันก็ทำให้คนแก่มีรอยยิ้ม จากที่คนขายหน้าบึ้งใส่ พอเห็นเงินก็พากันต้อนรับอย่างดี ในอนาคตเชื่อว่าหากตนเข้ามาอีก พวกเขาจะกระตือรือร้นทักทายตน “เหลืออีกห้าสิบหยวน คุณยายคิดว่าเราควรจะซื้ออะไรกลับไปเป็นค่าเหนื่อยดี” “ฉันอยากได้ข้าวสารสักถัง หลานชายตัวผอมมากจนหัวโต ฉันสงสารเขา” “ฉันเห็นมีคนขายเนื้อหมู ยังมีแป้งสำหรับทำอาหาร เราไปซื้อสิ่งนั้นด้วยเถอะค่ะ” ผิงผิงย่อมเข้าใจความต้องการของหญิงชรา แต่เธอได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเรียกร้องจนเกินควบคุม และการที่เธอกล้าให้ผลตอบแทนราคาสูงเพื่อปิดปาก ในอนาคตหากยายพูดถึงเรื่องนี้เพื่อทำลายเธอ เธอก็จะโต้กลับอย่างเด็ดขาดเช่นกัน แต่มั่นใจว่ายายเฉินฉลาดพอที่จะไม่ทำให้เธอโกรธ ยังมีคนอีกมากมายที่ยินดีช่วยเธอใช้เงิน สองคนเดินซื้อของจนถึงหกโมงเย็น หนึ่งพันหยวนที่ได้มาจ่ายออกไปจนหมดแล้ว ผิงผิงโล่งใจที่คืนนี้เธอไม่กลายร่างเป็นเพื่อนรักเดินสี่ขา “ได้ของครบแล้ว เรากลับกันเถอะค่ะ” “ดี ดี กลับบ้านกันฮะ!” หญิงชราอุ้มข้าวสารมีแป้งกับเนื้อก้อนใหญ่ คิดว่าจะแบ่งกินทีละเล็กน้อย ลูกหลานจะได้กินอิ่มสักที ผิงผิงเดินแบกถุงผ้าที่ไม่ได้ใหญ่มาก เธอไม่ได้ซื้อข้าวสารแต่ซื้อของที่เก็บไว้ได้กินได้ไม่ต้องทำให้ยุ่งยาก อยู่ในห่อกระดาษสีน้ำตาลกระเป๋าเสื้อทั้งสองข้าง เมื่อออกจากตลาดกำลังจะแยกกันกลับบ้าน ยายเฉินได้ดึงแขนเธอไว้ “มีอะไรคะคุณยาย?” “เธอต้องไม่เดินไปทั้งแบบนี้ มันอันตราย อยากโดนปล้นรึ! มานี่ เอาของมาใส่เข่งเก่า แล้วเอาเศษฟางคลุม ฉันก็ต้องทำมันเหมือนกัน” “ยายรอบคอบมาก ฉันเกือบลืม ถ้าถูกคนแย่งไปจะต้องซวยแน่!” ผิงผิงแบกเข่งเก่าใส่หลังเดินอย่างระมัดระวัง วิธีของยายเฉินได้ผล ไม่มีใครสนใจเธอ จนเดินมาถึงทางแยก เธอมีความคิดจะลัดเข้าตรอกแคบ เพื่อเลี่ยงการเบียดเสียดกับผู้คน แต่ดูเหมือนเธอจะลืมอ้อนวอนเทพเจ้าแห่งโชคดี เพราะเดินมาไม่ถึงครึ่งทาง ได้พบเข้ากับกลุ่มนายตำรวจเต็มยศเดินลาดตระเวนผ่านมา พวกเขาคนหนึ่งมองเธอตาไม่กะพริบ เธอพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด แต่ยังอดกลัวจนตัวสั่นเทาน้อยๆ ไม่ได้ เพราะทางที่แคบจึงทำตัวให้ลีบชิดติดกำแพงเข้าไว้ ขาก้าวต่อไม่ไหว กลัวเหลือเกินว่าจะเผลอมีพิรุธให้เขาสงสัย ยืนเอาหน้าแนบกำแพงนิ่งประหนึ่งรูปปั้น แม้หายใจยังไม่กล้า หยุดกึก! นายตำรวจคนนั้นยืนนิ่งปรายตามองเธอเขม็ง ผิงผิงร้องว่าแย่แล้ว! เขาต้องสงสัยเธอแน่ถึงได้มองขนาดนี้ มีของแพงเต็มหลังต้องถูกหาว่าขโมยมาแน่ จบสิ้น! วันนี้ฉันจบสิ้นแล้ว! ขณะที่เธอไม่รู้จะทำยัง ในหัวพยายามหาข้ออ้างหากถูกค้นพบ คิดว่าต้องพูดยังไงถึงไม่ถูกจับเข้าคุกในข้อหาลักขโมย เพราะไม่สามารถบอกได้สิ่งที่อยู่บนบ่าคือของคนบ้านไหน “สกปรก!” คำพูดสั้นๆ ตีกระทบสมองเธออย่างจัง จนมึนเบลอไปหมด ทั้งเจ็บจี๊ดและชาหนึบ “....” ยังไม่ทันทำความเข้าใจ นายตำรวจคนนั้นได้เดินตามไปสมทบกับสหายตำรวจของเขาแล้ว ผิงผิงประมวลผลครู่หนึ่ง เมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดความกลัวจึงเปลี่ยนเป็นความโกรธ ผู้ชายคนนี้นิสัยไม่ดีเลย ที่เขามองเธอเพราะขยะแขยงรังเกียจแต่ก็ยังมอง “ไม่ชอบแล้วจะมองให้เสียสายตาทำไม ฮึ่ย!” เธอเดินกระแทกเท้าลงส้นไปอย่างหงุดหงิด ถึงจะรู้ว่าที่เขาพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย เธอยังโมโหมากอยู่ดี “ทำไมนายถึงไปหาเรื่องเธอคนนั้นเล่า คนยากจนขนาดนั้นย่อมสกปรกเป็นธรรมดา แค่เดินผ่านน่าจะพอ” “มันคันปาก เห็นแล้วเกะกะลูกตา” “โว้สหาย! นายใส่ใจคนจรจัดตั้งแต่เมื่อไหร่ ปกตินายไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิง เห็นเดินเฉียดยังกระโดดหนี” “นั่นสิ ไม่ใช่ว่าผู้หมวดเทียนรู้สึกว่า กำลังถูกดึงดูดจากสาวน้อยมอมแมมหรอกนะ” “พูดบ้าๆ! อย่างที่บอกว่าฉันหมั่นไส้” “สหายนายอย่าไปเกลียดเธอเลย เธอคนนั้นน่าสงสาร แต่ถึงจะเร่ร่อนกำพร้าเธอไม่เคยแบมือขอเงินใคร” “นายรู้จักเธอหรือ” “รู้จัก! เธอชื่อผิงผิง ฉันเคยเห็นเธอที่แผงรองเท้าลุงชวน เธอขยันมากและเจียมตัว ถึงอย่างนั้นยังมีศักดิ์ศรีเย่อหยิ่ง มีผู้ชายหลายคนอยากได้เธอเป็นเมียดูแลบ้าน พวกเขายื่นข้อเสนอเพื่อให้เธอไปเป็นแรงงานฟรี แลกกับที่อยู่ที่กิน แต่เธอยินดีนั่งหลังขดหลังแข็งทำรองเท้าต่อไป” “ถ้าไม่ติดตรงที่ผอมและสกปรก หน้าตาเธอก็พอดูได้อยู่ เฮ้สหาย! นายสนใจมั้ย” “หยุดพูดเรื่องไร้สาระ! พวกเรามีงานต้องทำ ไปกันเถอะ” “ฉันว่านะ เทียนหลี่มีปฏิกิริยาแบบนี้ ต้องเพราะผู้หญิงคนนั้นแน่” “พูดเยอะไปแล้ว อย่าลืมว่าขั้นเขาสูงกว่านายนะสหาย ระวังจะโดนเขาเล่นงาน” กลุ่มนายตำรวจเดินลาดตระเวนตามหาผู้ต้องสงสัยต่อไป พวกเขาได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าเห็นผู้ต้องหาแหกคุกอยู่แถวนี้ แต่ยังไม่พบเบาะแส “เอายังไงดี จะเข้า หรือไม่เข้าไปดี” ผิงผิงที่เดินกลับบ้านร้างเพื่อหวังจะนั่งพักรอระบบแสดงผล แต่ได้พบว่ามีคนแปลกหน้าคนหนึ่งอยู่ด้านใน เธอจึงหลบอยู่ข้างนอกอย่างหวาดกลัว ยิ่งได้เห็นว่าที่มือเขามีกุญแจสวมห้อยติดอยู่ข้างหนึ่ง เธอยิ่งมั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนดี ไม่ใช่เธอไม่อยากหนีไป แต่เพราะด้านหลังมีของจำนวนมาก หากลุกพรวดหรือต่อให้ค่อยๆ ขยับ จะส่งเสียงจนได้ยินไปถึงหูเขา เกิดว่าชายคนนั้นเป็นฆาตกรโรคจิตหรือนักโทษหลบหนีคดีร้ายแรง เธออาจไม่ทันได้ใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้ “ท่านเทพเจ้าทั้งหลาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตาเจ้าที่ยายเจ้าที่ได้โปรดให้ฉันสามารถหนีออกไปจากตรงนี้ที!” ไม่รู้สวรรค์จะได้ยินคำร้องขอของเธอมั้ย แต่เหมือนโอกาสจะมา เธอเห็นชายคนนั้นเดินออกไปทางหลังบ้าน เหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง จึงค่อยๆ ยันกายลุก แล้วถอยออกห่างบ้างร้างให้เงียบที่สุด กึก! ตามจังหวะตลกร้ายเป๊ะ! เท้าไม่รักดีดันไปเหยียบเข้ากับเศษไม้จนหัก นั่นทำให้คนข้างในรู้ตัว “นั่นใคร!” “โอ้ซวยแล้ว! ไม่อยู่ต่อ..! ไม่รอให้โดนจับได้หรอก” ไม่ต้องคิดมาก ผิงผิงสูดลมเข้าแล้ววิ่งหนีไปอย่างที่คิดว่าเร็วที่สุด แน่นอนว่าคนคนนั้นเขามองเห็นเธอ แม้จะจากระยะไกล เขาวิ่งตามมาเช่นกัน เด็กสาวที่ผอมโซแบกของเต็มหลังย่อมวิ่งได้ไม่เร็วนัก หากเธอยังวิ่งอยู่แบบนี้ไม่นานเขาจะตามจับเธอทัน ขณะนั้นเองจึงพยายามมองหาเส้นทาง ที่พอจะซิกแซ็กเพื่อสลัดเขาให้หลุดได้ “เอาทางนี้แหละ!” เห็นทางที่มีขยะวางระเกะระกะ ผิงผิงตัดสินใจวิ่งเข้าไป มือยังเกาะดึงเกี่ยวของให้ล้มลงตามหลัง เพื่อสร้างอุปสรรคความยุ่งยากให้แก่เขา แม้จะไม่อาจสลัดหลุดการตามล่า แต่มันทำให้ชายคนนั้นวิ่งได้ช้าลง แต่ก็ยิ่งทำให้เขาโกรธจัด “แก! ฉันจะฆ่าแก!” ผิงผิงขนหัวลุกไม่หันมอง เธอรู้ว่าตอนนี้ได้กระตุ้นปีศาจข้างหลังเสียแล้ว ถึงอย่างนั้นเธอยังคงวิ่งไปข้างหน้า หวังจะได้พบใครสักคนเพื่อขอความช่วยเหลือ “ช่วยด้วย! ช่วยด้วยค่ะ มีคนจะฆ่าฉัน!” พลั่ก! อุ๊บ! เธอรู้สึกมืดไปหมดหน้าจมอยู่บนผนังอุ่นๆ แต่แข็ง เมื่อชนเข้ากับบางอย่าง “หลบไป!” แต่ก่อนจะทันหายมึนงง ร่างของเธอถูกเหวี่ยงออกไปกระแทกกับกำแพงอีกครั้ง คราวนี้เจ็บจนต้องร้องออกมา ตุบ! “โอ๊ย! จุกๆ” “ซู๊ด..! เจ็บๆ นี่มันอะไรกัน?” มือลูบหน้าผากพบว่าไม่แตก ก่อนภาพจะชัดเจนตอนเงยหน้า เห็นคนหนึ่งในตำรวจกลุ่มที่เจอเมื่อเย็น กับสหายตำรวจอีกคน มีคนหนึ่งที่บอกเธอสกปรกด้วย พวกเขากำลังเล็งปืนไปที่ชายที่ไล่ล่าเธอ “หยุดอย่าขยับ! ตอนนี้นายถูกจับแล้ว” “วางมือไว้บนหัวยอมให้จับซะดีๆ อย่าให้ฉันต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด นายมีหมายจับตาย ฉันสามารถยิงนายได้ทันที” “โว้ใจเย็นสหาย! เราเป็นพวกเดียวกัน ฉันเคยเป็นทหารไม่เห็นต้องใช้อาวุธมาขู่กันเลย” “แกมันทหารปลอมนะสิ! แอบขโมยเครื่องแบบไปรับงานฆ่าคน ไม่เพียงทำลายชื่อเสียงของกองทัพ ยังเป็นฆาตกรชั่วร้าย ทิ้งอาวุธซะ!” “หึ! แค่มีดทื่อๆ อันหนึ่งเท่านั้น ทิ้งก็ทิ้งสิ” เคร้งๆ! “ผมโยนทิ้งแล้ว พอใจรึยังคุณตำรวจ” “คุกเข่าลง! ช้าๆ ห้ามตุกติก ไม่งั้นฉันระเบิดสมองนายแน่” นักโทษคนดังกล่าวทำตามอย่างว่าง่าย เขารู้ว่าตนเองมีหมายจับตาย หากขัดขืนชีวิตคงจบสิ้น ยอมเดินเข้าห้องขังดีๆ ค่อยหาทางแหกคุกหนีอีกยังไม่สาย จึงปล่อยให้ถูกใส่กุญแจมือ คราวนี้ตำรวจใส่สองชั้นไว้ข้างหลัง เพื่อให้มั่นใจว่าคนจะไม่หนีไปได้อีก “เรียบร้อยสหายเทียน เราจับเขาได้สำเร็จ” นายตำรวจหนุ่มพยักหน้า ค่อยหันหาเด็กสาวที่วิ่งชนตนเพื่อหนีตาย แต่กลับไม่พบ “เธอล่ะ! หายไปไหนแล้ว สหายจางเห็นรึเปล่า” “คงตกใจกลัวเลยหนีไปแล้ว แต่ว่าเธอวิ่งเร็วมาก แม้หลังไวๆ ฉันยังไม่เห็น” “ไวชะมัด!” พวกเขาสองคนนำตัวนักโทษกลับไปโรงพัก ไม่ได้สนใจตามหาผิงผิงอีก เพราะรู้ว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฆาตกรโรคจิตคนนี้ เพียงอยากสอบถามไม่กี่คำเท่านั้น “ฟู่ว! เกือบแย่แล้ว ดีที่เจอตำรวจก่อน” คิดขึ้นมายังขนลุกไม่หาย ชายคนนั้นน่ากลัวมาก มองมาเหมือนจะบีบคอเธอให้ตาย ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน อย่างว่าแหละขึ้นชื่อว่าคนร้าย เขาจะมีเหตุผลได้ยังไง ผิงผิงหาที่นั่งมุมมืดนั่งลง ยังไม่ปลดตะกร้าออก ขาของเธอรู้สึกปวดอย่างมาก พอก้มดูถึงได้เห็นเท้าสองข้างเต็มไปด้วยเลือดและแผล รองเท้าคู่บุญหายไปแล้ว คงขาดไปเอง ตอนวิ่งหนีกลัวมากจึงไม่รู้สึกเจ็บ แต่ตอนนี้เห็นบาดแผลเต็มไปหมด มันทำให้เธอตกใจ “โหแย่ขนาดนี้เลย! แล้วพรุ่งนี้จะเดินไหวมั้ยนะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD