ตอน ที่แท้คือคนที่ห่วงใยที่สุด
ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี คนคุกที่เคยเลี้ยงเธอ เขาตามดูเธอห่างๆ อยู่ตลอด จึงช่วยพาเธอส่งโรงพยาบาลและดูแลอย่างดี นั่นทำให้ฝุ่นผงที่ติดบนม่านตาถูกเช็ดออก เขาเคยทำร้ายเธอหรือ? คำตอบคือไม่ เพียงเป็นคนเย็นชาที่น่ากลัว พูดน้อย แต่ตลอดหลายปีเขาให้เธอทุกอย่างเท่าที่กำลังจะมี แม้จะโตมากับสถานที่อันตราย แต่เธอได้รับการปกป้องอย่างปลอดภัยเสมอ นอกจากโหยหาพ่อแม่แล้วเธอไม่ได้ขาดอะไรเลย
เธอ..! น่าจะคิดได้ตั้งแต่ตอนนั้น จะมัววิ่งตามคนที่ไม่ใส่ใจไปทำไม
เขามองเห็นเธอเป็นเหมือนลูกสาวตัวเอง ที่ต้องติดคุกเพราะลูกสาวของเขาถูกรถชน คู่กรณีไม่สำนึกแต่ยังเยาะเย้ยด้วยมีอำนาจเงินจึงอยู่เหนือกฎหมาย เขาจึงลงมือแก้แค้นให้ลูกสาว ด้วยการส่งทั้งบ้านไปลงนรก ซึ่งคราวนี้มีหลักฐานว่าทางคนตายเป็นฝ่ายยั่วยุก่อน บวกกับความเสียใจศาลท่านจึงเมตตา ทำให้ได้รับโทษจำคุกยี่สิบปีไม่ถึงขั้นประหาร
พอออกมาเขาจึงอยู่กับแก๊งเงินกู้ ซื้อเธอมาจากแก๊งค้ามนุษย์ เธอไม่รู้ชื่อเขา เธอแค่เรียกเขาว่าลุง
“ลุงคะ”
“ตื่นแล้วหรือ เธอเจ็บมากมั้ย แขนเธอไม่ได้หักแต่มันหลุดที่ข้อต่อ กับหัวที่แตกมีรอยถลอกบ้าง แต่มันต้องใช้เวลารักษาช่วงหนึ่ง”
“ฮึกลุงคะ! พวกเขาไม่ต้องการหนูเลย”
“อย่าร้องเลย! ฉันไม่คิดว่าการรับเธอไว้ มันจะเป็นการทำร้ายเธอ แต่ตอนนั้นฉันใจไม่แข็งพอ จะปล่อยให้เธอถูกผ่าเอาอวัยวะ แล้วโดนส่งไปขอทาน ถ้าตอนนั้นฉันมีเงินสักก้อน ฉันควรจะพาเธอไปส่งบ้าน”
“ขอโทษนะ ที่ฉันเห็นแก่ตัว”
ลุงเคยบอกว่าอยากไปส่งเธอแต่เขาไม่มีเงิน เธอรู้ว่ามันก็ส่วนหนึ่งแต่เหตุผลหลักที่เขาไม่ส่งเธอคืน เพราะคิดถึงลูกสาว การได้กลับบ้านมาพบเธอ มันเหมือนได้เจอลูกที่ตายไปอีกครั้ง
“ถ้าหนูเลือกใหม่ หนูจะไม่กลับไป ลุงคะ หนูอยากกลับบ้านของเรา”
ไม่คิดว่าจะเป็นคนที่เธอหวาดกลัวมาตลอด กลับเป็นคนเดียวที่ห่วงใยคอยดูแลอยู่ห่างๆ ตอนนี้ผิงผิงรู้แล้ว ว่าใครกันแน่ที่เธออยู่ด้วยแล้วรู้สึกปลอดภัย ไม่ใช่พ่อแม่พี่ชายใจร้าย แต่เป็นชายแก่ตรงหน้า
เขาทำงานหนักมาเพื่อเลี้ยงเธอ ยังบังคับให้เธอเรียน ถึงจะลำบากแต่เขาให้ความสำคัญกับการศึกษามาก เมื่อเธอเรียนจบวิทยาลัย ลุงจึงไปหาตำรวจเพื่อติดต่อพ่อแม่เธอ ตอนนั้นเธอยังไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เธอรับรู้ทุกอย่างแล้ว
“ผิงผิง ลุงสัญญา ต่อจากนี้ลุงจะปกป้องเธอ จะสอนเธอทุกอย่างที่ตาแก่คนนี้รู้ ให้เธอได้ยืนเหนือกว่าพวกนั้น”
“พ่อคะ พ่อ!” นี่ต่างหาก คนที่เธอควรเรียกว่าครอบครัว คนคนนี้ที่จริงใจกับเธอ ที่ผ่านมาเธอวิ่งหาความอบอุ่น แต่ลืมว่ามีใครบางคนที่ยังรอมอบให้เธอเสมอมา
“ไม่ร้องนะลูกสาวพ่อ! ไม่ต้องกลัวแล้ว”
“พ่อคะ พ่อของหนู”
“อ่า! ลูกสาวพ่อ” สองคนกอดคอกันร้องไห้ในโรงพยาบาล มีหลายคนมองมาแต่ไม่ได้สนใจ พวกเขาเพียงคิดว่าชายแก่คงดีใจที่ลูกสาวของเขาปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
ด้วยการสั่งสอนจากประสบการณ์และความรักของลุง ทำให้ผิงผิงมีกำลังใจที่เต็มเปี่ยม เธอไม่ยอมเรียนต่อ แม้ลุงยินดีจะส่งเธอให้เรียนด้านธุรกิจการตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอชอบ
“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมเธอถึงปฏิเสธ ถึงฉันคนนี้จะแก่แล้ว แต่ยังหาเงินไหวนะ”
“พ่อคะ การเรียนที่ยอดเยี่ยมไม่ได้อยู่แค่ในห้อง หนูมีแผนการค้าดีๆ อยู่ในหัว ไว้รออีกสองวัน เงินห้าร้อยหยวนที่ยืมไปลงทุนจะต้องได้คืนมาสองเท่า”
ไม่ผิดจากที่ผิงผิงกล่าว เธอสามารถนำเงินมาคืนเขาได้จริงๆ เธอมีหัวการค้า แค่เธอขี้กลัวไปหน่อย พอเอาจริงเธอมักจะเดินไปรอบๆ นอกจากหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ เธอมักจะติดตามข่าวสาร เพื่อดูว่าสินค้าตัวใดจะขึ้นราคา รีบกว้านซื้อนำมากักตุนไว้รอขาย เมื่อทำบ่อยครั้งเข้าพ่อค้าแม่ค้าจึงให้ความสนใจเธอ จนกลายเป็นคนดัง
แก๊งเงินกู้ที่พ่อเคยทำ ถูกเปลี่ยนเป็นสินเชื่อกู้ยืมแบบถูกกฎหมาย ผิงผิงกับพ่อบุญธรรมร่ำรวยขึ้นในเวลาไม่กี่ปี ยังลงทุนกับบริษัทเงินและเช่าโกดังเพื่อเก็บสินค้า จนหลายคนขนานนามเธอว่า นางสาวผู้มากับดวง ฉายานี้ได้มาจากการที่เธอลงทุนแล้วมีแต่ได้ ไม่เคยขาดทุน
“ผิงผิงลูกได้ข่าวรึยัง บริษัทในกลุ่มตระกูลหนานกำลังพบวิกฤตอย่างหนัก ยังมีลูกสาวสุดที่รักของเขา แอบเอาเงินส่วนกลางไปเปิดบริษัทแต่บริหารไม่ดีจนล้มละลาย ป่านนี้น่าจะได้รับหมายศาลแล้ว ได้ยินว่ากลุ่มผู้ลงทุนพากันยื่นฟ้อง”
“นั่นคือสิ่งที่พวกเขาเลือกเอง แต่ยังไงก็ตามหนูคงต้องให้พ่อออกหน้า ไม่อย่างนั้นพวกเขาต้องโจมตีหนูแน่”
“วางใจ ตอนนี้เธอเป็นลูกสาวของตาแก่คนนี้ ใครก็แตะต้องเธอไม่ได้ทั้งนั้น”
แม้เธอจะรู้ว่าพ่อตรงหน้าทำได้ แต่ลึกๆ ยังคงไม่สบายใจ เธอจึงติดต่อทนายเพื่อทำพินัยกรรมไว้สองฉบับ มรดกทั้งหมดที่เธอมีถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน คือให้พ่อแม่แท้ๆ กับพ่อบุญธรรมคนละครึ่ง ที่จริงเธอไม่อยากให้ แต่ทำแบบนั้นพวกเขาจะต้องมาวุ่นวายกับพ่อของเธอ อีกส่วนคือมอบให้องค์กรการกุศล
ตี๊ด! ตี๊ด!
“ฮัลโลค่ะพ่อ”
“ผิงผิง ตอนนี้ลูกอยู่ไหน”
“อยู่บริษัทค่ะ มีอะไรหรือค่ะทำไมเสียงพ่อดูกังวล”
“ลูกฟังพ่อนะ! ปิดประตูหน้าต่างแล้วหาที่ปลอดภัยหลบซะ ตอนนี้หยงเจินบ้าไปแล้ว เธอฆ่าคนตระกูลหนานทั้งบ้านตาย และกำลังจะไปหาลูก”
“อะไรนะคะ!”
“ตำรวจโทรมา เขาบอกว่าเป้าหมายต่อไปคือลูก”
“ผิงผิง! ทำไมเงียบไป ผิงผิง ได้ยินพ่อมั้ย”
“พ่อคะ หนูหลบไม่ทันแล้ว”
ตอนนี้หยงเจินยืนอยู่หน้าประตู ในมือยังมีมีดเล่มยาว เธอไม่รู้ว่าหยงเจินผ่านเข้ามาได้อย่างไร แต่ที่รู้คือเธอไม่มีทางหนี ก่อนจะทันได้ตั้งสติหยงเจินวิ่งพุ่งเข้าใส่ เธอเบี่ยงตัวหนีแต่มันช้าไป มีดเล่มนั้นปักเข้าที่อกข้างซ้ายแทงลงไปในหัวใจเธอ
“ตายตามพ่อแม่แกไปซะ!”
ปัง!
“เรียกรถพยาบาล มีผู้บาดเจ็บสองราย”
“ผู้หมวดครับ เกรงว่าคุณหนานผิงผิงเธอ...”
“ฮะฮ่าฮ่าตายแล้ว! นังนั่นมันตายแล้ว ครอกๆ อึก!”
“ตอนนี้ในที่เกิดเหตุ มีผู้เสียชีวิตแล้วสองราย”
ภาพตัด ผิงผิงไม่ได้ยินเสียงใดอีก ไม่รู้สึกถึงความเจ็บและทรมานอีก ไม่ได้ยินแม้เสียงร้องไห้ปานจะขาดใจ ของพ่อที่รักเธอเท่าชีวิต
ซ่า!
“แครกๆ อะ อะไรเนี่ย” จู่ๆ ถูกน้ำเย็นสาดใส่หัว ถึงจะมาไม่หมดถังแต่ก็ทำให้คนสำลัก
“ยัยหนู! เธอมายืนทำอะไรตรงนี้ หลบไปสิอยากเปียกรึไงกัน”
“เอ๋? จริงด้วย เราเปียกทั้งตัว” เสียงจากด้านบนทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมอง เป็นคุณป้าที่อยู่ชั้นสองเทน้ำลงมา เมื่อลองดมดูพบว่ามันมีกลิ่นนิดหน่อย คงเป็นน้ำที่ใช้ซักล้าง แต่เธอไม่ถามหรอกว่าน้ำอะไร กลัวจะตกใจจนทนไม่ไหว
“ทะทำไมเรายังยืนอยู่? นี่ไม่ใช่ว่าตายไปแล้ว เอ๊ะไม่มี! ทำไมไม่มีแผลแล้ว...”
เมื่อก้มมองสำรวจตัวเองพบว่าปกติดี ไม่มีร่องรอยหรือบาดแผลเลย ที่น่าแปลกใจคือชุดเสื้อผ้า ทำไมมันถึงเก่าและเชยขนาดนี้ จำได้ว่าเสื้อแบบสไตส์นี้เขาไม่ใส่กันแล้วนะ
“ผิงผิง มายืนโง่อะไร ยังไม่รีบกลับไปทำงานอีก ถ้าเธอยังเอาแต่เหม่อฉันจะไม่จ้างเธอแล้ว”
“คุณหมายถึงฉันหรือ?” คราวนี้งงหนักเมื่อมีชายกลางคนเดินมาทัก เขายังบอกว่าเป็นเจ้านายเธอ และยิ่งหันกวาดตามองรอบๆ ทุกอย่างมันดูล้าสมัยไปหมด หาความเจริญที่คุ้นเคยไม่มี เหมือนย้อนไปเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน
“ก็ใช่เธอนะสิ! ตรงนี้ยังมีใครอีก ไปๆ วันนี้ต้องทำรองเท้าให้ได้เกินสี่คู่ ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่จ่ายเงินเธอ”
“ทำรองเท้า! โอ้ไม่นะ ของแบบนั้นฉันทำไม่เป็น”
“พูดจาเลอะเทอะอะไรของเธอ! เห็นทำอยู่ทุกวัน เร็วเข้ารีบไปทำงาน”
ยังไม่ทันได้อ้าปากปฏิเสธ ถูกชายกลางคนผู้นั้นหิ้วคอเสื้อกลับไปที่ร้านทันที เมื่อเดินผ่านร้านตัดผมที่มีกระจก คราวนี้ได้เห็นเงาของตัวเอง เธอไม่ใช่ผิงผิงคนเดิมในวัยยี่สิบหก แต่เป็นเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าปีเห็นจะได้ และยังซูบผอมมาก สิวกระเต็มหน้าไปหมด คำว่าทำไม อะไร ยังไง ลอยเป็นคำถามตัวหัว
“ว้าย! เจ็บสะโพกเลย ทำไมต้องผลักฉันด้วย” หิ้วมาแล้วก็ช่างเถอะ แค่ปล่อยกันก็พอ ไม่ใช่โยนเป็นสิ่งของแบบนี้
“ไม่ต้องพูดมาก รีบทำงานเร็ว” เขาหย่อนกายนั่งลงม้วนยาสูบ นั่งกระดิกขาสบายใจมือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า
ผิงผิงขมวดคิ้ว เธอถูกพามาถึงแผงข้างทาง อันที่จริงก็ไม่เชิงเป็นแผงลอย มีเก้าอี้เตี้ยสองตัว กับตะกร้าหลายใบซึ่งเป็นอุปกรณ์ทำรองเท้าข้างถนน มีที่ทำค้างไว้กับข้างที่เสร็จแล้ว พอหยิบขึ้นมาดูต้องยอมรับว่ามันสวยมาก
ขณะที่จับรองเท้าความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอฉายภาพขึ้นในหัว ที่แท้เธอในตอนนี้คือชื่อผิงผิงเหมือนกัน แต่คนละคน เด็กสาวกำพร้าที่อาศัยอยู่บ้านร้างลำพัง เธอหาเลี้ยงตัวเองด้วยความมานะขยันอดทน เธอไม่เคยแบมือขอใครกิน เป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีพอตัว
แบบนั้นก็ทำให้ผู้คนพอใจ พวกเขาไม่ได้รังเกียจขับไล่เธอ เพราะไม่เคยทำความเดือดร้อนแก่พวกเขา แต่ก็มีถูกใช้เป็นแรงงานฟรีบ้าง เธอก็ทำเพื่อตัดปัญหา ไม่ใช่จะยอมทุกครั้ง ด้วยลักษณะแบบนี้ทำให้คนเอาเปรียบเธอไม่ง่าย ชายตรงหน้าคือลุงชวน เขาเป็นนายจ้างหน้าเลือดของเธอ ที่ผิงผิงทำงานกับเขาเพราะถึงจะขี้หงุดหงิด แต่ก็ทำให้คนอื่นไม่กล้ารังแกเธอด้วย เรียกอีกอย่างคือทำงานแลกค่าคุ้มครอง
“นั่งจ้องแบบนั้นเมื่อไหร่จะลงมือทำ ฉันบอกเลยวันนี้ต้องทำให้ได้สี่คู่ ถ้าทำไม่ได้ฉันจะไม่จ่ายค่าแรง”
ผิงผิงถอนใจ เธอรู้ว่าเขาไม่ได้ขู่แต่ทำจริง เมื่อทบทวนความทรงจำใหม่จึงลองจับรองเท้าขึ้นมาทำ พบว่าเป็นกลไกของร่างกายที่เคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ มือสองข้างทำงานได้อย่างดีเยี่ยมแม้จะลองไม่มองยังทำได้ไม่สะดุด
“ลุงชวน ฉันขอถามได้รึเปล่า พอดีฉันลืมไปแล้วว่าปีนี้คือปีที่เท่าไหร่”
“ปีนี้รึ 1983 สมองแกนี้เสื่อมเร็วกว่าตาแก่อย่างฉันอีก”
“1983 หรือ! นี่มันคือยุคแห่งเริ่มการพัฒนาความเจริญ ก็ไม่แย่เท่าไหร่”
เธอไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่เมื่อมาอยู่แล้วก็ต้องดิ้นรนต่อไป เพียงรู้สึกวูบโหวงตอนคิดถึงพ่อบุญธรรม ป่านนี้ท่านจะเป็นอย่างไร พ่อแก่แล้วแทนที่เธอจะได้อยู่ดูแล กลับเป็นหัวขาวส่งหัวดำ และพ่อก็รักเธอมาก ท่านเสียลูกสาวไปคนหนึ่ง ยังต้องมาเสียอีกคน
“เสร็จแล้วค่ะ ได้สี่คู่ตามที่ลุงสั่ง”
“อืมนี่คือค่าแรงของเธอ นั่งรอขายไปก่อน พอเย็นก็เก็บร้านด้วย”
ผิงผิงรับเงินอันน้อยนิดมาอย่างอึ้ง รู้หรอกว่าให้น้อยแต่คนเคยร่ำรวย อีกอย่างแค่นี้จะซื้อไข่สักฟองยังลำบาก แม้ว่าทางการจะผ่อนปลดมาตรการหลายอย่าง แต่การใช้คูปองแลกสินค้ายังมีความสำคัญ เงินแอบใช้ซื้อสินค้าได้ในตลาดมืด แต่ห้ามทำประเจิดประเจ้อ ไม่เช่นนั้นจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย คนตัวเล็กๆ อย่างเธอ ไม่มีทางขัดขืนได้
“เราต้องหาทางออกจากความอดอยากให้ปลอดภัยที่สุด แต่จะทำยังไงดีล่ะ ตัวคนเดียวแบบนี้จะขยับไปทางไหนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดว่าผู้หญิงในยุคนี้ยังคงถูกกดขี่ ไม่มีความเท่าเทียมในหมู่ชนชั้นล่าง ต้องรออีกยี่สิบสามสิบปีผู้คนถึงจะยอมรับวัฒนธรรมใหม่”
คิดแล้วให้หนักใจ หากพ่อบุญธรรมอยู่ด้วยคงจะดี