บทที่ 11

1970 Words
ตอน เขาคือลูกชายคุณน้า ใช่แล้ว หากมันไม่เป็นความจริง คนที่จะมีความสุขที่สุดคือผิงผิง น่าเสียดายเมื่อพวกเขาพบร่องรอยของเธอ พวกเขาจะไม่ปล่อยผ่านในเรื่องนี้ และหาทางพาเธอกลับเข้าตระกูล โดยไม่สนใจว่าเธอจะยืนกรานปฏิเสธ “ทำไมใจฉันไม่สงบเลยนะ” “น้องสาว! ชิ้นนี้ให้วางตรงไหน” “ตรงมุมนั้นค่ะ” คนงานนำของมาส่งตรงเวลา อย่างน้อยพวกเขาไม่ได้หลอกเชิดเงินเธอ ผิงผิงจึงจ้างพวกเขาช่วยจัดวางทีเดียว ตอนนี้เธอยังขาดสารอาหารอยู่มาก แขนขาไม่ต่างจากตะเกียบ ขืนให้ยกลากเองคงลิ้นห้อย อีกทั้งจะเกิดเสียงดังรบกวนคนอื่น “เรียบร้อยแล้ว มีอะไรให้ทำอีกมั้ย” “นี่คือค่าตอบแทนของพวกคุณ” “ยินดีมาก ยกของไม่นานได้เงินเยอะขนาดนี้ เจ้านายเธอเป็นคนใจดี” “แล้วก็ยังเด็ดขาดมาก” “อืม วันหลังถ้ามีงานอะไรที่ต้องออกแรงบอกพวกเราได้ พวกเราจะรีบมา” “ได้สิ ถ้าเจ้านายฉันขาดเหลืออะไรที่ต้องจ้างคน ฉันจะนึกถึงพวกคุณก่อน” “ดี! งั้นพวกเรากลับแล้ว” ผิงผิงรีบล็อกประตู ตอนนี้บ้านเป็นบ้าน เธอรู้สึกว่าคิดถูกที่ย้ายมาแล้วขายที่ตึกไป อยู่นี่มีครบเกือบหมดเว้นแค่สนามหญ้าหน้าบ้าน แต่มันไม่ใช่ปัญหาเลย ในเมื่อเธอมีบ้านอีกหลังหนึ่ง ตอนนี้เธออยากมีที่ดินสักแปลง อาจเป็นจุดที่ผู้คนมองว่ามันไร้ค่า แต่ในอนาคตมันจะตรงกันข้าม ตอนที่เศรษฐกิจเริ่มขยายตัว มีคนเข้ามาลงทุนในด้านอุตสาหกรรม ราคาที่ดินจะถีบตัวสูงลิ่ว หรืออาจถูกซื้อเพื่อทำถนนตัดผ่าน แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ทำให้เธอร่ำรวย เธอรู้ว่าตรงจุดไหนในอีกสิบยี่สิบปีมันจะกลายเป็นขุมทรัพย์ “เย้! ในที่สุดก็ได้พักเสียที ไม่ต้องพะวงว่าจะใช้เงินหมดรึเปล่า” “ใครจะไปคิดละว่า การถูกบังคับให้ใช้เงินที่เพิ่มขึ้นทุกวัน มันจะน่าปวดหัว คิกๆ เฮ้อ! สบายจัง” การได้นอนเหยียดบนฟูกที่นอนนุ่มเปิดหน้าต่างรับลมเย็นๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีโจรปีนขึ้นมาเป็นอะไรที่ผ่อนคลาย เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงกล้าทุ่มเงินทั้งหมดเพื่อซื้อบ้านแพงๆ มันไม่ใช่แค่วัดฐานะทางสังคมเท่านั้น แต่เป็นการซื้อความปลอดภัยกับคุณภาพชีวิตที่ดี “โคมไฟระย้ามองไปมองมาก็สวยดี ถ้าเปิดเพลงตอนนี้จะเป็นไรมั้ยนะ” ได้เครื่องเล่นแผ่นเสียงมาใหม่ก็อยากเปิดฟัง ยุคนี้นิยมฟังดนตรีสากล ทั้งดีดสีและเป่า ยังไม่นิยมเพลงเร้าใจในบ้าน นอกจากงานเทศกาลต่างๆ จะเปิดเพลงครึกครื้นเต้นรำ คิดแล้วก็ยิ้มตาม อยากเห็นจังว่าจะสนุกขนาดไหน “เปิดเบาๆ แล้วกัน” หากเป็นชาติก่อนสามทุ่มกว่าไม่ถือว่าดึก แต่ในยุคนี้เกือบทุกคนแทบจะเข้านอนแล้ว ทีวีมีแต่เธอยังไม่เจอช่องน่าสนใจ จึงคิดจะฮัมเพลงคลอเสียงดนตรี อาบน้ำร้อนก่อนเข้านอน แม้มันจะดึกไปหน่อยแต่เธออยากทำ แว่วเสียงเพลงในห้องไม่ได้ดังออกมารบกวนใคร ไม่มีคนรู้ด้วยซ้ำว่าเปิดมัน ผิงผิงเช็ดผมอ่านหนังสือที่เพิ่งได้มาเพื่อฆ่าเวลา ตอนนี้เธอไม่ง่วงนัก ก่อนจะเผลอหลับไปแล้วฝันถึงเรื่องราวในอดีตของชาติที่แล้ว “ผิงผิง หนีไป!” “ไปเร็วเข้า! ลุกขึ้นสิ” “โธ่ผิงผิง!” พ่อแม่กับพี่ชายในร่างโปร่งแสง พยายามร้องตะโกนบอกให้เธอหนี ขณะที่นั่งทำงานในห้อง ซึ่งมันเกิดก่อนที่พ่อบุญธรรมจะโทรหาเพื่อแจ้งข่าวการตายของพวกเขา ยังบอกเรื่องที่หยงเจินจะมาฆ่าเธอ แต่เธอกลับมองไม่เห็นพวกเขา “เฮือก! ฝะฝันเองหรือ” เธอยังคงนอนหอบ มือข้างหนึ่งสางเกาผมลูบหน้าเพื่อเรียกสติตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงฝันแบบนั้น รวมถึงไม่คิดว่ามันจะเคยเกิดขึ้น อาจเป็นเธอที่ฝันเลอะเลือนไปเอง “กี่โมงแล้ว ลุกขึ้นเตรียมไปทำงานดีกว่า” ถึงแม้จะไม่ต้องกังวลเรื่องภารกิจ แต่เธอนอนต่อไม่ได้แล้ว จึงอยากไปที่ร้านให้เร็วขึ้นเพื่อทำรองเท้า แม้ค่าแรงมันจะน้อยนิด ซึ่งเธอไม่ได้เดือดร้องเรื่องเงิน แต่การนั่งทำรองเท้าก็ช่วยให้มีสิ่งดึงความสนใจเธอ “เอ่อ! สะสวัสดีค่ะ?” ตอนนี้ผิงผิงเจอปัญหาใหม่แต่เช้า เพราะตอนที่เธอจะออกจากบ้านดันได้พบเข้ากับนายตำรวจหนุ่มเจ้าประจำ ที่ไม่ว่าจะไปทางไหนก็เจอ เขาบอกว่าบ้านเขาติดกับเธอ ยังแวะมาทักทายแทนคุณน้าฉีหลินที่เป็นแม่ของเขา ด้วยโจ๊กชามหนึ่ง ซึ่งเธอไม่อยากรับและไม่ต้องการ “ทำไมทำหน้าเหมือนเห็นผีแบบนั้นล่ะ ฉันควรต้องถามเธอมากกว่า ว่าคุณนายผู้ใจบุญของเธอ รับอุปถัมภ์เธอตั้งแต่เมื่อไหร่” เทียนหลี่ยืนตัวตรงมองเธอนิ่งๆ กึ่งยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ‘ให้ตายเถอะ! ทำไมหมวดคนนี้เขาต้องมีบ้านอยู่ที่เดียวกับเราด้วย ทั้งยังเป็นเพื่อนบ้านกันอีก ซวยแล้ว!’ “ว่ายังไง คิดอะไรในใจ ดูเหมือนจะบ่นกับตัวเองอยู่นะ” “ปะเปล่าค่ะ! คือฉันเกรงใจที่คุณน้าอุตส่าห์ทำอาหารเช้าให้ เพียงแต่ฉันต้องไปทำงานแล้ว” “อ้อ! เธอกำลังบอกให้ฉันเอาไปกินเอง ปฏิเสธน้ำใจของแม่ฉัน?” “มะไม่ใช่แบบนั้นค่ะ! แต่ว่าห้องฉันมีมด และโจ๊กควรกินตอนร้อนๆ แต่ฉันไม่มีเวลาที่จะกินมัน” “กินตอนนี้” “คะ?” “ถ้ามันยุ่งยากกับการเอาเข้าไปกินข้างใน ก็กินมันตรงนี้” “แต่ผู้หมวดคะ!” แบบนี้ไม่เผด็จการเกินไปหรือ บ้านมีแต่จะให้กินต่อหน้าเขา ทว่าเทียนหลี่มีเหตุผลมากดดันเธอจนต้องทำตาม สำหรับผิงผิงเขาคือคนเอาแต่ใจที่รู้จักทำให้คนอื่นรู้สึกผิด “เธอคิดว่าแม่ฉันจะรู้สึกอย่างไรตอนเห็นฉันถือชามกลับไป และฉันก็ถือไว้นานแล้ว ไม่คิดว่าฉันจะร้อนมือบ้างหรือ รับไป แล้วกินให้ฉันเห็น” “เดี๋ยวนี้!” ผิงผิงจนใจต้องรับชามโจ๊กไปตักกิน โดยมีสายตาของเทียนหลี่มองอยู่ โจ๊กยังร้อนอยู่มาก และการต้องยืนกินหน้าประตูเป็นอะไรที่ทำให้ผิงผิงอายมาก ไม่ต้องพูดถึงตอนที่เธออ้าปากกว้างโกยข้าวร้อนเข้าปาก เธอกินมันโดยที่ไม่เป่าเลย “หมดแล้วค่ะ” “อืม รีบไปทำงานใช่มั้ย ไปสิ” เขาหมุนตัวกลับเข้าบ้านไปหน้าตาเฉย ไม่สนว่าตอนนี้มีคนถูกแกล้งจนจะร้องไห้แล้ว “ฮึ่ย! อะโอ๊ยปากฉัน! มันพองหมดแล้ว” โดนโจ๊กร้อนๆ ลวกจนเจ็บ ดูเหมือนวันนี้จะกินอะไรยาก ในใจจึงขุ่นเคืองเขาอยู่บ้าง แต่เธอไม่กล้าจะแสดงท่าทีนั้นออกไป แค่นี้ก็ถูกเขาหาเรื่องจนตัวเล็กลง “หึๆ” “แกขำอะไรลูกชาย เดินยิ้มเข้าบ้านอารมณ์ดีเชียว” “เปล่าครับ แค่รู้สึกว่าเด็กบ้านข้างๆ ดูตลกดี” “เฮ้อย่าไปหาเรื่องแกล้งเธอเชียว เด็กคนนั้นคือตุ๊กตาที่น่ารักของแม่แก” “ผมใช่คนที่ทำอะไรแบบนั้นหรือครับ” “ไม่ใช่ก็ดี พ่อว่าจะถามตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ลมอะไรหอบแกกลับมา บ้านได้” “ไม่มีอะไร ผมมีงานแถวนี้ เลยขี้เกียจกลับไปบ้านพัก ไม่คิดว่าเมื่อพ่อกับแม่จะนอนดึก” “คิดอะไรของแกห้ะ! อายุฉันใช่น้อยๆ หรือ แม่แกเขาเห่อรองเท้าใหม่ เอาเสื้อผ้าในตู้มาลองใส่ว่ามันสามารถเข้าคู่กันได้มั้ย ก็เท่านั้นเอง” “ผมก็ยังไม่ได้พูดอะไร พ่อที่คิดเองไปไกล” “เดี๋ยวเถอะนะแก!” “คุณสุภาพบุรุษทั้งสองคน มาทานอาหารเช้าได้แล้ว ทะเลาะอะไรกันเสียงดังเชียว” มารดาห้ามทัพคู่พ่อลูก ที่จริงเธอได้ยินพวกเขาคุยกันแล้ว แต่นั่นเป็นหัวข้อของผู้ชายเขา หลังจัดโต๊ะเสร็จ เพียงดึงแขนลูกชายมานั่ง ไม่ลืมรินนมให้เขาหนึ่งแก้ว และชงกาแฟดำให้สามี ส่วนตัวเธอเองชอบดื่มน้ำเต้าหู้ ซึ่งจะมีคนนำขึ้นมาส่งให้ทุกเช้า “มานั่งตรงนี้นะอาหลี่ นานทีลูกจะกลับบ้าน นอกจากหมูสับกับผักดอง วันนี้แม่มีไข่เยี่ยวม้าที่ลูกชอบด้วย กินเยอะๆ เดี๋ยวไม่มีแรงไล่จับคนร้าย” “คุณไม่ต้องไปโอ๋เขาขนาดนั้น ลูกชายเราโตจนจะแต่งงานแล้ว พอพูดถึงเรื่องนี้...” “พ่อครับ! โจ๊กที่แม่ทำหอมมาก ผมว่าเรารีบกินก่อนจะเย็นเถอะครับ” เขาเพิ่งโล่งใจที่มารดาไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่บิดาเขากลับจงใจแกล้งสร้างความลำบากให้ จึงก้มหน้าก้มตากิน ไม่สบตาใครอีกเลย พ่อแม่มองหน้ากันแล้วยิ้ม จบมื้อเช้าเขาจึงแต่งตัวออกไปทำงาน ก่อนสายตาจะถูกตรึงเมื่อพบเห็นคนที่ไม่ควรมาอยู่แถวนี้ เขากระชับหมวกลงมาปิดหน้าเดินเลี่ยงไปอีกทางเพราะไม่ต้องการพบเธอคนนั้น แต่เขาดูถูกสัญชาตญาณของผู้หญิงน้อยไป “พี่เทียนหลี่คะ!” หมดกัน! เห็นจนได้ แม้จะไม่อยากสนใจ แต่การเดินหูทวนลมเพื่อหนีลูกสาวของผู้การมันเสียมารยาทมาก ระยะห่างของเขากับเธอไม่ได้ไกล การจะปฏิเสธบอกว่าไม่ได้ยินเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น ไหนจะหญิงสาวที่วิ่งตะโกนเรียกเขาเสียงดัง จำเป็นต้องหยุดรอเธอ “คุณหนูเจียง” “ดีใจจังที่เจอพี่ที่นี่ ฉันมารอพี่ตั้งแต่หกโมงเช้าแล้ว” “มีธุระอะไรกับผมหรือครับ” “คิดถึงค่ะ พี่เอาแต่หลบหน้าฉัน” “ผมว่าคุณหนูไม่ควรพูดกับคนที่ไม่ใช่คู่หมั้นหรือคนรักแบบนี้นะครับ คนจะนินทาให้เสียหาย มันจะส่งผลถึงชื่อของผู้การ” “ฉันไม่เห็นจะต้องสนใจ ธรรมเนียมตะวันตกเสรีมาก เราสามารถแสดงความรู้สึกออกมา ตอนนี้ประเทศเราก็เปิดรับอารยธรรมนั่น ในอนาคตผู้คนจะมองเป็นเรื่องปกติ” “แต่ตอนนี้ยังไม่ขนาดนั้น ตกลงคุณหนูมีอะไรกับผมครับ” “ได้ยินคนอื่นบอกว่า บ้านพี่เทียนหลี่อยู่แถวนี้ หลังไหนหรือคะ พาฉันไปหน่อยสิ ฉันได้เตรียมของขวัญมาให้พ่อแม่ของพี่ด้วย” “ไม่สะดวกครับ ผมต้องรีบไปทำงาน ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อน ยังมีงานด่วนที่ต้องรีบไปทำ” “พี่เทียนหลี่ เดี๋ยวสิ!” “ฮึ่ย! อ้างเรื่องงานอีกแล้ว คิดรึว่าปากแข็งแค่นี้ จะทำให้ฉันยอมแพ้ สักวันนายจะต้องเป็นแฟนของฉัน เป็นลูกไก่ตัวน้อยที่เชื่อฟัง” มองแผ่นหลงกว้างทระนงเดินจากไปไม่หัน หญิงสาวผู้เพียบพร้อมหงุดหงิดกระทืบเท้า ก่อนจะถูกสายตากะลิ้มกะเหลี่ยรอบข้างทำให้ขยะแขยงและกลัว “มองอะไร!” “ไม่มีอะไร แค่คุณเป็นคนที่สวยมาก จนพวกเราละสายตาไม่ได้”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD