บทที่ 12

2020 Words
ตอน สมควรเจอดีบ้าง ท่าทางโลมเลียหื่นกระหายช่างน่ารังเกียจ มีแต่อันธพาลเนื้อตัวสกปรก เสื้อผ้าเก่าขาด สภาพแบบนี้ยังกล้ามาพูดจาชื่นชม มีหรือที่เจียงถงอี้จะยินดี “หยุดความคิดหยาบคายของแกซะ! ไม่อย่างนั้นฉันจะให้พ่อจับพวกแกเข้าคุกไปให้หมดเลย” เธอเอ่ยขู่ และรีบเดินออกจากตรงนั้นทันที เกรงว่าคนเกิดหน้ามืดขึ้นมาฉุดไปจะแย่ วันนี้เธอไม่ได้ให้คนขับรถมาด้วย ในเมื่อมาคนเดียวจึงต้องระมัดระวังตัว “จิ๊! สวยแล้วยังหยิ่งอีกด้วย” “พวกเศรษฐีก็แบบนี้ เย่อหยิ่งคิดว่าอยู่เหนือคน ช่างเถอะไม่ต้องไปใส่ใจ” พวกอันธพาลเองแค่มอง แต่ไม่กล้าและไม่มีความคิดจะรังแกเธอ เพียงดูจากชุดเสื้อผ้าที่หรูหราก็ไม่ควรแตะต้อง พวกเขาฉลาดพอไม่สร้างปัญหาให้ตัวเอง เจียงถงอี้เดินไปเรียกรถแท็กซี่ เธอยังมีนัดกินข้าวกับเพื่อน ซึ่งไม่ใช่เพื่อนสนิทแต่คบหาผูกมิตรทางสังคม แต่อารมณ์ที่ขุ่นมัวยังส่งผลกระทบไปตลอดทั้งวัน ในร้านอาหารหรู หยงเจินเดินอวดร่างอันสมบูรณ์แบบ ชุดเดรสสีเหลืองขับผิวให้ขาวขึ้น รองเท้าส้นสูงสีดำราคาแพง ดันสะโพกที่โยกย้ายคล้ายเต้นระบำทุกย่างก้าว เธอปรายตามองพนักงานอย่างสูงสง่า บุคลิกใบหน้าล้วนได้รับการปรุงแต่งมาอย่างดี กลิ่นน้ำหอมจากต่างประเทศลอยตามทุกที่เมื่อเธอปรากฏตัว ผู้ชายหลายคนมองตามอย่างชื่นชม เช่นเดียวกับสาวๆ ที่มองอย่างอิจฉา ไม่เพียงแต่สวยมาก ทว่าเธอยังเป็นลูกสาวคนเดียวของเศรษฐีตระกูลหนาน “รอนานมั้ยถงอี้ ขอโทษนะพอดีว่าฉันรอรถนานไปหน่อย” “ไม่เป็นไร ฉันเองก็เพิ่งมาเหมือนกัน” ความจริงแล้วเจียงถงอี้ไม่พอใจหยงเจิน ยังริษยาความฟุ้งเฟ้อที่เธอไม่อาจมี แต่ไม่ได้แสดงออกมา พ่อของเธอต้องการให้ตีสนิทกับลูกเศรษฐี พวกเขาไม่เพียงร่ำรวยแต่ยังมีอิทธิพลพอตัว ต่อให้พ่อของเธอมีตำแหน่งแต่ยังต้องการคบหากับคนตระกูลหนานเพื่อสร้างบารมี “เธอสั่งอาหารรึยัง” “สั่งแล้ว เอานี่รายการอาหาร เผื่อเธออยากสั่งเพิ่ม” “ไม่เป็นไร ฉันต้องการเพียงน้ำส้มแก้วหนึ่ง ช่วงนี้ฉันต้องรักษาสัดส่วน กลัวว่าถ้าอ้วนขึ้นจะใส่ชุดที่สั่งตัดไม่ได้” ว่าแล้วก็กวักมือเรียกพนักงาน เพื่อสั่งน้ำส้มหนึ่งแก้ว ซึ่งเธอบอกว่าต้องการด่วน พนักงานคนนั้นจึงรับคำรีบออกไปทันที ลูกค้าในร้านคือคนรวย ไม่สามารถขัดใจพวกเขาได้ ความโอ้อวดของหยงเจินทำให้เจียงถงอี้ตาร้อนผ่าว ลำพังเงินเดือนของพ่อเธอมันไม่มากพอที่จะตัดชุดจากร้านเสื้อดังๆ ได้เป็นสิบชุดเหมือนหยงเจิน ที่สั่งตัดแทบทุกเดือน แน่นอนว่าหยงเจินจงใจ ยามได้เห็นว่าคนอื่นอิจฉาตนอย่างไร เธอมีความภูมิใจลึกๆ ยิ่งรู้สึกชนะ ได้อยู่เหนือกว่าลูกสาวผู้การคนนี้ “เมื่อกี้ฉันไปทำผมมา บังเอิญผ่านร้านน้ำหอม ฉันจึงซื้อมาฝากเธอ ลองดูว่าชอบหรือไม่ ฉันตั้งใจซื้อให้เธอนะ” เจียงถงอี้ตาลุกวาว เธอกำลังอยากได้น้ำหอมใหม่เพื่อฉีดเอาใจเทียนหลี่ แต่ราคาต่อขวดมันค่อนข้างแพง จึงเลือกไม่ถูกว่าจะซื้อกลิ่นใด ไม่คิดว่าหยงเจินจะนำมาให้เอง ความกระตือรือร้นของอีกฝ่าย ทำให้หยงเจินลอบหัวเราะในใจ “หอมมาก สองขวดเชียว!” “ฉันจำได้ ตอนที่เราไปเดินห้างกัน รอบนั้นเธอสนใจร้านน้ำหอมมาก และดูหนักใจกับสองกลิ่นนี้ แต่วันนั้นฉันไม่กล้าซื้อมันให้เธอกลัวถูกเข้าใจผิด คิดว่าฉันอวดรวย” “หวังว่าเธอจะไม่ตำหนิฉัน ที่นำมาในวันนี้” “เธอทำถูกแล้ว หากวันนั้นเธอซื้อมันให้ฉัน คงรู้สึกแย่เอามากๆ พ่อฉันไม่มีมรดก ท่านมีทุกวันนี้ได้ด้วยตัวเอง ถึงจะมีฐานะแต่ไม่ได้ร่ำรวยขนาดนั้น” “อย่าคิดมาก อย่างที่บอกว่าเป็นของฝาก มันคือน้ำใจที่เพื่อนมอบให้กัน” “ขอบใจเธอมาก เธอดีกับฉันจริงๆ หยงเจิน” “แน่ล่ะ เราเป็นสหายกัน” พนักงานได้ถือน้ำส้มคั้นสดมาเสิร์ฟแก่หยงเจิน เธอยังคงสร้างบารมีให้ตัวเองด้วยการมอบทิปไปห้าสิบหยวน เงินก้อนนี้สำหรับเธออาจเล็กน้อย แต่กับคนอย่างพวกเขามันคือเงินก้อนใหญ่ ทำให้พวกเขามองเธออย่างเทิดทูน มีเพียงเจียงถงอี้ที่ลอบเบะปากกลอกตา ดื่มน้ำส้มอย่างสุภาพ มองด้านไหนมุมไหนก็กิริยางดงาม ก่อนจะเอ่ยถามเจียงถงอี้ หลังจากเห็นท่าทางที่เหงาหงอย “อื้ม ได้ยินว่าวันนี้เธอไปหาหมวดเทียน ได้พบเขารึไม่ ทำไมสีหน้าของเธอจึงดูไม่ค่อยดีนัก” “เจอ แต่ก็เหมือนเดิม เขายังคงรักษาระยะห่างกับฉัน เขาบอกว่ากลัวจะทำให้ชื่อเสียงของฉันเสียหาย แม้ว่าฉันจะยืนยันว่าไม่กลัว แต่พี่เทียนหลี่ยังคงใส่ใจกับเรื่องนี้” “บางครั้งความเป็นสุภาพบุรุษของเขาทำให้ฉันเบื่อ แค่พบกันเท่านั้น เขายังต้องการทำมันอย่างเป็นทางการ แม้ฉันจะเข้าใจว่าเขาทำเพื่อฉันก็ตาม” “เขา... เป็นคนที่ดีมากจริงๆ” หยงเจินกล่าวยิ้มๆ พอนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาติดเย็นชา เจียงถงอี้เห็นว่าตนสามารถคุยข่มในเรื่องนี้ได้ จึงยังเอ่ยต่ออีกหลายคำ ทั้งหมดล้วนพูดเข้าข้างตัวเองให้ดูดี “สหาย นายดูผู้หญิงสองคนนั้นสิ พวกเธอสวยมาก นายว่าเราเข้าไปทักทายเธอดีมั้ย” “เอาสิ ฉันว่าเราควรทำความรู้จักพวกเธอ” ชายหนุ่มสองคนที่นั่งโต๊ะถัดไปจึงลุกขึ้นเพื่อเดินไปทักทาย พวกเขาไม่ได้แสดงท่าทีคุกคาม แต่ปฏิบัติอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ ผมอยากขอทำความรู้จักคุณสุภาพสตรีทั้งสอง ไม่ทราบว่าขอทราบชื่อได้หรือไม่ ผมฟางหยุน สหายคนนี้จ้าวถาง” “ดิฉันหนานหยงเจิน และนั่นเจียงถงอี้ เธอเป็นลูกสาวของผู้การเจียง” “คุณสองคนจะรังเกียจหรือไม่ หากผมจะเสนอเพื่อเลี้ยงอาหารมื้อนี้” “เกรงว่าจะไม่เหมาะสมนะคะ ฉันไม่อยากให้คนรักของฉันเข้าใจผิด หยงเจิน เธอคิดเห็นว่ายังไง” “เอ่อ! ขออภัยครับ” “อย่าคิดมากเลยค่ะ แต่น้ำใจฉันขอรับไว้ด้วยใจพอนะคะ มันไม่เหมาะสมจริงๆ” การวางตัวของหยงเจินแตกต่างกับเจียงถงอี้อย่างสิ้นเชิง นั่นทำให้เธอเหมือนเทพธิดาในสายตาพวกเขา “เช่นนั้นไว้พบกันใหม่นะครับ เราขอตัวก่อน” “ค่ะ” พวกเขาไม่ได้เดินกลับไปที่โต๊ะ แต่เลือกจะจ่ายเงินแล้วออกจากร้านไป เหตุการณ์ที่ถูกเจียงถงอี้หักหน้ามีหลายคนได้ยิน แม้ว่าหยงเจินจะช่วยกอบกู้สถานการณ์ แต่ไม่อาจทำให้พวกเขาอยู่ต่อไหว “เธอไม่จำเป็นต้องลดตัวไปทำดีกับสองคนนั้น มองดูก็รู้ว่าพวกเขาเห็นว่าเรามีฐานะ จึงอยากตีสนิท” “ฉันรู้ แต่ยังไงเราก็ไม่ควรไปหักหน้าเขาแบบนั้น เกิดว่าเป็นคนโรคจิตที่เจ้าคิดเจ้าแค้น ฉันกลัวจะเกิดอันตราย” “ยังต้องคิดมากในเรื่องนั้นหรือ ฉันเป็นลูกสาวของผู้การ ใครกล้าลองดีรับรองว่าจุดจบไม่สวยแน่” หยงเจินไม่ได้ต่อปาก เพียงฟังเจียงถงอี้โอ้อวดต่อไป แต่ในใจกำลังเย้ยหยันในความหลงตัวเอง ‘ยัยคนโง่! ช่างไม่รู้จักสังเกตเสียบ้าง เสื้อผ้าของพวกเขาแพงกว่าชุดที่แกใส่อีก’ “สหาย นายว่าเจียงถงอี้คนนั้นเย่อหยิ่งเกินไปมั้ย” “นายก็ได้ยินแล้ว เธอเป็นลูกสาวผู้การเจียง จะหยิ่งก็ไม่แปลก” “ไม่หยิ่งธรรมดาแต่ดูถูกคนด้วย! นายดูฉันหน่อย ฉันดูจนขนาดนั้นเลย” “คิดมากน่าจ้าวถาง เราไปดูแถบแม่น้ำเถอะ ฉันมีความคิดอยากได้ที่สร้างโรงงานผลไม้แปรรูป” “นายยังจะลงทุนมหาศาลกับเรื่องที่จะสร้างความขัดแย้ง นายไม่กลัวจะถูกตัดออกจากกองมรดกรึไง” เพราะเรื่องนี้ทำให้ฟางหยุนถูกพ่อของเขาตำหนิอย่างรุนแรง เขาเรียนจบต่างประเทศ นำแนวคิดใหม่ๆ กลับมาด้วย แต่ไม่ได้รับการสนับสนุน เพราะครอบครัวมองว่ามันไร้สาระ กินผลไม้สดย่อมดีกว่า จะแปรรูปให้ยุ่งยากทำไม ทำแล้วขายให้ใคร? ถึงอย่างนั้นฟางหยุนยังมีความเชื่อมั่นว่าต้องเป็นไปได้ “ฉันเห็นผลไม้ที่เน่าเสียมากมาย ในขณะที่บางเมืองบางประเทศมีราคาที่แพงมาก หากสามารถแปรรูปได้ย่อมทำเงินได้มาก ยังไงฉันจะทำมัน” “ฮาช่วยไม่ได้สินะ! เอาก็เอา ขอเพียงนายยืนยัน ฉันจะสนับสนุนนายด้วย” “ต้องแบบนี้สิสหาย รับรองว่าเงินทุนที่นายลงขัน จะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน” พวกเขาขับรถไปย่านชานเมืองก่อน เพื่อดูความเป็นอยู่ของชาวบ้าน การสร้างโรงงานต้องคำนึงถึงพื้นที่ แรงงาน การขนส่ง และการใช้เรือเพื่อดำเนินการมันรวดเร็วกว่าส่งผ่านทางรถ ทำให้ผลไม้ไม่เน่าเสียก่อนส่งเข้าโรงงาน แต่ก็มีปัญหายิบย่อยที่ต้องเตรียมการแก้ไข “แถวนี้มีแต่คนจน นายแน่ใจนะว่าจะตั้งโรงงานในเขตนี้ ฉันว่ามันดูวุ่นวายเกินไป เสี่ยงที่จะมีโจรขโมย” “แต่มันก็สะดวกกับการจ้างงาน และไม่ไกลจากแม่น้ำสายหลัก ยิ่งมีคนต้องการงานมาก การต่อรองในเรื่องค่าแรงก็จะเป็นประโยชน์กับเรา ในเมื่อพวกเขาจะแย่งกันให้ได้งาน” “ก็จริง” “หลีกไป! ระวังรถเข็นด้วย” “บ้าจริง! เสื้อฉันเกือบเลอะ” “ตรงนี้คนวุ่นวายเกินไป เราไปดูทางนั้น” ฟางหยุนเองก็หงุดหงิดที่ผู้คนพลุกพล่านสับสน จึงชวนจ้าวถางไปที่อื่น เพราะแถวนี้มีอะไรน่าสนใจ “อุ๊ยขอโทษค่ะ” ผิงผิงที่ยืนรอซื้อถั่วคั่วไปให้ลุงชวน เอ่ยอย่างเคยชิน จู่ๆ มีคนเดินผ่านมาชนหลังเธอ แต่เขากลับไม่พอใจกล่าวเสียงดุ “ขอโทษแล้วมันหายมั้ย! เธอเดินชนฉันได้ยังไง ไม่รู้จักมองทางบ้าง!” จ้าวถางเข้าใจผิดคิดว่าผิงผิงชนเขา และเห็นว่าเธอแบกตะกร้าอยู่ “คุณพูดแบบนี้ไม่ถูกต้อง ที่ฉันขอโทษไม่ใช่เพราะฉันผิด แต่มันคือมารยาท ฉันยืนเฉยๆ เป็นคุณที่ชนฉันต่างหาก” “จริงด้วย! เธอยืนรอซื้อถั่วจากฉัน เป็นคุณที่ชนเธอเอง” “เอาเป็นว่ามันคือการเข้าใจผิด ฟางหยุนพวกเราไปเถอะ” เขาไม่ใส่ใจแล้วก็ได้ แต่ไม่อยากเสียหน้าด้วยจึงทำเหมือนไม่เอาเรื่องเธอ ทว่านั่นกลับทำให้ผิงผิงไม่พอใจเขา ถึงอย่างนั้นเธอฉลาดที่จะไม่หาเรื่อง เพราะมองเห็นว่ามีกลุ่มนักเลงเล็งพวกเขาสองคนอยู่ เธอเพียงคอยดูเรื่องสนุกดีกว่า ขณะที่จ้าวถางกับฟางหยุนเดินไปได้ไม่ไกลนัก มีคนหาบกระจาดขนาดใหญ่ใส่ผักเดินมาได้ชนเข้ากับพวกเขา ซึ่งไม่ได้ชนแรง แต่กลับทำให้ของหล่นกระจายเสียหาย เธอมองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นแผนเรียกเงิน “เฮ้ย! อะไรกัน ทำไมถึงเดินไม่ดูทาง โอ้แย่แล้ว..! ของทั้งหมดมันเสียหายหมดเลย พวกคุณต้องรับผิดชอบ” “ไม่จริง! นายต่างหากที่ตั้งใจเดินมาชนฉัน แล้วมันไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น ของพวกนี้ไม่น่าจะเสียหาย” “แต่ทุกคนก็เห็นแล้วว่ามันเสียหาย พูดแบบนี้เพราะไม่อยากรับผิดชอบ คิดว่าเป็นคนรวยจะรังแกคนจนยังไงก็ได้หรือ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD