ตอน ขอเตือนนะอย่าหาเรื่องเธอ
“ใช่! ใช่! คนรวยก็แบบนี้ พวกเขาทำเหมือนว่าตัวเองเดินอยู่บนฟ้า ทำของคนอื่นเสีย แต่กลับไม่ยอมรับผิดชอบ!”
“สองคนพูดเกินไป เห็นชัดว่าเจตนาไม่ดี พวกฉันแค่ชนเบาๆ มันจะทำให้ของที่อยู่ข้างในช้ำขนาดนี้ได้ยังไง ไม่ใช่ว่าผักมันเสียอยู่แล้วรึ”
“นั่นสิ! พวกแกเห็นว่าฉันมีเงิน จึงวางแผนขึ้นมาแล้วคิดเรียกค่าเสียหาย ฉันไม่หลงกลแกหรอก”
“ทุกคน! มาดูเร็ว พวกเขาทำลายของคนอื่นแล้วยังสาดน้ำสกปรกให้ฉันอีก คนรวยรังแกคนจน พวกเขาไม่เพียงดูถูก แต่ยังจะบีบคนให้อดอยาก ไม่มีคุณธรรม”
“เมื่อกี้ฉันเห็นเหมือนกัน เขาเดินชนสาวน้อยคนนั้น แต่ยังกล่าวหาเธอด้วย”
“แบบนี้แสดงว่าเขาจงใจรังแกคนจริง”
“ไม่ใช่! พวกคุณอย่าเข้าใจเราสองคนผิด เป็นเขาที่จะขูดรีดเงิน จริงอยู่ที่เมื่อครู่มีเรื่องนั้นเกิดขึ้น แต่มันคือการเข้าใจผิด ซึ่งได้จบลงแล้ว”
“นี่เธอ! ยังไม่รีบมายืนยันเหตุการณ์ให้ฉันกับสหายอีก”
ผิงผิงหันซ้ายหันขวา ก่อนจะแสร้งแคะหู เดินถือถุงถั่วเดินมาแต่ไม่ได้หยุดช่วยพวกเขา เธอเพียงผ่านไปไม่สนใจ
“เฮ้! เธอจะไปไหน กลับมาก่อน!”
“จ้าวถางช่างเถอะ เราไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ การอธิบายกับคนพวกนี้ไม่มีประโยชน์อะไร”
ฟางหยุนล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมา แล้วหยิบเงินเพื่อจ่ายค่าเสียหายด้วยเงินสองร้อยหยวน แน่นอนว่ามันเยอะเกินกว่าความเสียหาย เขาต้องการจบเรื่องนี้ แต่ได้จดจำหน้าของสองคนที่ใช้อุบายรีดเงินตน เขามีความคิดจะแจ้งความเพื่อดำเนินการในภายหลัง
“ก็แค่นั้น! ทำโวยวายอยู่ได้ตั้งนาน” พอได้เงินสมใจแล้วจึงจากไป ไม่แม้จะเก็บผักที่หล่น
จ้างถางกัดฟันกรอด! เขาไม่เสียดายเงิน แต่โกรธที่โดนคนสร้างปัญหารบกวนใจ
“ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่เดินหนีไป เราอาจจัดการกับนักต้มตุ๋นพวกนั้นได้ในทันที”
“เธอคงอยากเอาคืน เห็นเงียบๆ ที่แท้มีแผนในใจ ไม่แน่ว่าอาจเป็นพวกเดียวกัน ไว้เราไปแจ้งตำรวจให้ตรวจสอบทีหลัง ไปเถอะ อยู่ต่อมีแต่จะเสียอารมณ์”
ตอนนี้ชาวบ้านยังคงมองมาที่พวกเขา สายตาเหล่านั้นมีทั้งตำหนิและเย้ยหยันนินทา ทั้งหมดไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เพราะอิจฉาในความร่ำรวย
เดินไปยังเห็นหลังคนไวๆ จึงมีความคิดอยากรู้จักเธอ คนที่กล้าทำเมินปล่อยโจรปล้นพวกเขา
“นายเห็นเธอมั้ย ฉันว่าเราควรจะตามไปดูว่าเธอได้ร่วมมือกับสองคนนั้น หากใช่ จะได้จับส่งตำรวจเป็นการแก้แค้น”
“ดี” ข้อเสนอของจ้าวถางตรงกับใจของฟางหยุน เขาจึงตกลงติดตามเธอไป
ขณะที่ผิงผิงไม่ได้รับรู้ว่าตัวเองถูกคนหมายหัวเข้า เธอยังคงเดินมองหาร้านขายเหล้า เพื่อนำกลับไปให้ลุงชวนตามที่เขาสั่ง เป็นการฉลองเล็กๆ สำหรับการขายรองเท้าหมดโกดัง
“ผิงผิง วันนี้ทำไมว่างมาเดินซื้อของได้ จะเอาไปให้อาชวนหรือ”
“ใช่แล้ว ลุงกำลังปรับปรุงบ้านจึงให้ฉันมาซื้อไปเลี้ยงช่าง พวกเขาทำงานได้เร็วมาก”
“เธอเองก็ดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ได้ยินว่ามีเศรษฐีรับอุปการะเธอหรือ”
“ถูกต้อง คุณนายใจดีมาก เธอสงสารที่ฉันกำพร้าไม่มีที่อยู่”
“แล้วคุณนายคนนั้นจะรับคนเพิ่มอีกไหม ฉันมีหลานหลายคน พวกเขาก็น่าสงสารเหมือนกัน”
“เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับคุณนายไม่ใช่ฉัน คงให้คำตอบแทนไม่ได้ อีกอย่างสถานะของฉันไม่ได้มีค่าในใจเธอขนาดนั้น ขืนพูดมากจะทำให้ขุ่นเคือง ฉันเพิ่งมีที่อยู่ที่กิน ไม่อยากระเห็จไปหาที่อยู่ใหม่”
ผิงผิงปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา เธอรู้ดีว่ามีหลายคนที่ต้องการพูดกับเธอในเรื่องนี้ พวกเขาอยากให้คนในบ้านตัวเองสุขสบาย แต่คุณนายที่ว่ามีจริงที่ไหน เป็นคนที่เธออุปโลกน์ยกมาอ้างเท่านั้น แม้พวกเขาจะโกรธแล้วอย่างไร เธอไม่ได้สนใจ
“เธอน่าจะลองดูหน่อย ถือว่าช่วยกัน!”
“หากพูดแบบนั้นคงต้องช่วยทุกคนแล้ว ไปทางไหนคนก็พูดกับฉันแบบนี้ ในตอนที่ฉันอดอยากทุกคนไม่รู้จักฉันเลย เอาเหล้ามาให้ฉันเถอะ หรือถ้าไม่มีขาย ฉันจะได้ไปดูให้ลุงเขาใหม่ ฉันไม่อยากกลับช้าจะโดนดุ”
พูดเยอะยิ่งจบยาก เธอมองเห็นสายตาที่ไม่ได้ปรารถนาดีแต่มองเธอเป็นสะพานข้ามไปอีกฝั่ง เมื่อถึงเวลาหนึ่งพวกเขาจะพังมัน เธอมองมันได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ยังแสดงออกอย่างมีเหตุผล ไม่ทำให้เขาก่นด่าเธอได้ตรงๆ
“ได้แล้ว เอาไป!” แน่นอนว่าเขาไม่พอใจ แต่ก็ยังขายของให้เธอเพราะเงินยุคนี้หายาก ขืนเล่นตัวอาชวนจะโกรธไม่มาซื้อของที่ร้านอีก ในตรอกถัดไปยังมีร้านอื่น
ผิงผิงจ่ายเงินรับของมาใส่ตะกร้า เธอไม่ได้มีสีหน้าอาการใด แม้ว่าเขาจะแสดงออกว่าโกรธก็ตาม เพราะผ่านกับสถานการณ์เช่นนี้มาจนมันชินชา
“โล่งชะมัด! รีบกลับไปหาลุงชวนดีกว่า”
กระชับสายตะกร้าบนบ่า แล้วจึงเร่งฝีเท้าเดินกลับแผงลอย ระหว่างทางยังมีคนหลายคนที่ถูไม้ถูมือมาตีสนิท ล้วนแต่พูดในเรื่องเดิมๆ เธอก็ตอบแบบเดิม ไม่กลัวว่าพวกเขาจะทำร้าย ด้วยมีอิทธิพลของนายจ้างคุ้มกะลาหัวอยู่ ถึงอย่างนั้นยังมีคนโกรธแค้นตั้งใจหาเรื่อง
“แกมันแล้งน้ำใจ! ขอให้ช่วยแค่นี้ไม่ได้”
“ทำไมมาโทษฉัน! คุณนายรับฉันไว้เอง ฉันไม่ได้ไปอ้อนวอนขอให้ใครมาเลี้ยง ทุกคนกลับทำกับฉันแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นฉันจะบอกคุณนายให้ ว่าพวกอากดดันฉันอย่างไรบ้าง และยังบังคับให้ฉันช่วยพาลูกหลานไปเป็นภาระของเธอ เพื่อร้องขอเงินเธอ”
“แก!”
“ทุกคำพูดขอใครฉันจำได้หมด รวมถึงหน้าของคนที่มารุมต่อว่าฉันด้วย ตอนฉันลำบากไม่เคยมีใครยื่นหน้าพูดเรื่องน้ำใจ มาตอนนี้กลับพากันรุมตำหนิฉัน ใครกันแน่ที่แล้งน้ำใจแล้วยังบีบคั้นคนอื่น”
เธอตกอยู่ในวงล้อมของผู้คนที่อยากแย่งวาสนาผู้อื่น แต่ผิงผิงไม่ได้หวาดกลัวพวกเขา ไม่ใช่เพราะเธอกล้าหาญ แต่หางตาแอบเห็นว่าเจ้านายกำลังมา เขาคงสงสัยที่เธอออกมานานแต่ยังไม่กลับไปเสียที และแน่นอนว่าเธอต้องการแสดงให้เห็นว่าตนเองถูกรังแก
“มีเรื่องอะไรกัน!”
“ลุงชวน พวกเขาพากันรุมล้อมฉันด้วยเรื่องที่.”
“ไม่มีอะไรแหะๆ แค่เข้าใจผิดกันเล็กน้อย”
เธอรีบเอ่ยฟ้อง แต่ก็ถูกหยุดจากชายคนหนึ่ง พวกเขาตกใจไม่คิดว่าอาชวนจะมาเอง และยังมีสีหน้าถมึงทึงดุร้ายมาก คนละแวกนี้ไม่มีใครกล้าสร้างปัญหากับเขา เพราะอาชวนเป็นนักเลงเก่า เรื่องต่อยตีดุดันจนผู้คนหวาดกลัว
“ผิงผิง เธอไม่เห็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่”
“ฉันไม่เคยอยากมีเรื่อง เป็นพวกคุณที่ตื๊อไม่เลิก ยังยืนล้อมฉันให้ไปขอร้องคุณนายเพื่อเลี้ยงลูกหลานทุกคน”
“โธ่เอ๊ย! ก็ถามดู ไม่ได้มีเรื่องอะไรแบบนั้น พี่ชวนเด็กคนนี้ตื่นตูมเกินจริง”
“ใช่ ใช่ เราเพียงถามฝากงาน ไม่ได้จะกดดันให้พาลูกหลานไปเป็นเด็กในปกครองอุปการะ”
“ไม่น่าเชื่อ แต่ละคนอายุเกินครึ่งคนแต่ยังโกหกพลิกลิ้น”
“นี่!”
“พอแล้ว! ผิงผิงแกกลับไปที่แผง รองเท้าวันนี้ต้องทำให้ได้มากๆ เสียเวลาอยู่ข้างนอกมานานเกินไป”
“ค่ะ”
ผิงผิงลอบมองหน้ากลุ่มคนที่หาเรื่องเธอ ในใจคิดหาวิธีควบคุมพวกเขาไม่ให้มาสร้างปัญหากับตนในอนาคต ขึ้นชื่อว่าคนไม่มีทางจะหยุดง่ายๆ
แต่ลุงชวนเองก็มองสถานการณ์ออก รอจนเด็กสาวเดินไปแล้วจึงตวัดสายตาน่ากลัวมองทีละคนอย่างเย็นชา พวกเขาไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะกางปีกเพื่อปกป้องเด็กกำพร้าคนหนึ่ง
“พวกแกทุกคนจำใส่กะลาหัวไว้ อย่าได้มายุ่งวุ่นวายกับคนของฉันอีก ถ้าว่างนักก็ไปหางานหาการทำ จะโชคดีหรือโชคร้ายเด็กคนนั้นไม่เคยไปรบกวนใคร หัดมีความละอายใจกันบ้าง โตๆ จนหัวหงอกจะแก่ตายวันนี้พรุ่งนี้ ถ้ายังคิดไม่ได้ ไว้ฉันจะไปสอนให้ถึงบ้าน”
“พี่ชวน พี่คิดมากไปแล้ว อย่างที่พวกฉันบอกว่าแค่ถามไม่กี่คำ”
“แกคิดว่าฉันโง่หรือ! หูฉันไม่ได้หนวก ถ้าฉันไม่ใช่นายจ้างของเธอแกคิดจะทำยังไง ตีเธอใช่มั้ย?”
“แกคิดว่าทำแบบนี้คุณนายเขาจะเอาลูกแกไปเลี้ยงจริงๆ คนรวยเขารู้ว่าใครคือหมาป่าตาขาว เด็กคนนั้นขยันไม่ขอใครกิน เด็กที่มีหัวคิดไม่ว่าใครเห็นย่อมเอ็นดู”
“พวกแกมีมือมีเท้า ลูกหลานแกพิการรึ ทำไมต้องให้คนอื่นเลี้ยง ถ้ารู้ว่าจนเลี้ยงไม่ไหว ก็อย่าทำให้เกิดมาเป็นภาระคนอื่น”
“นี่พี่ชวน”
“อะไร! ฉันพูดผิดรึ พวกแกทำชั่วลักเล็กขโมยน้อย เจ้าทุกข์ยังไม่รู้ว่าใครทำ แต่ฉันสามารถบอกออกมาเป็นรายละเอียดที่ถูกต้องได้ รับรองว่าเมื่อพวกเขารู้ตัวคนทำ จะไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ”
พอได้ยินแบบนี้พวกเขาต่างแยกย้ายกันไป เรียกว่าแตกกระเจิงไม่ผิดนัก ขืนถูกจับได้คงถูกตีตายมากกว่าแจ้งตำรวจ ต่อไปไม่กล้าเสนอหน้ามาแถวนี้อีก
จบปัญหาแล้วอาชวนจึงไม่รั้งอยู่ต่อ เขากลับไปที่แผงเห็นว่าผิงผิงทำรองเท้าอย่างขะมักเขม้น เธอเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มร่าเรียกลุงทันที
“ลุงกลับมาแล้ว!”
“ยิ้มอะไรของแกฮึ! คิดว่าฉันจะลืมเรื่องที่แกทำรึไง”
“โธ่ลุง! พวกเขากดดันคน ขืนฉันไม่สู้ต่อไปคงถูกกวนใจไม่เลิก”
“แกตัวแค่นี้คิดว่าจะสู้พวกเขาไหว ถ้าไม่เพราะฉัน แกอาจโดนตีตายก่อน เด็กกำพร้าไร้ญาติตายไปคนหนึ่ง พวกตำรวจไม่ใส่ใจหรอก”
“ฉันรู้ ว่าลุงจะไม่ปล่อยให้ฉันตาย”
“เมื่อกี้ฉันเห็นยายเฉิน เธอมาหาแกทำไม”
“อ้อ! มาถามว่าคุณนายต้องการซื้อของเพิ่มหรือไม่ ที่ตลาดมืดน่ะ ครั้งก่อนฉันเคยขอให้ยายพาไป”
“ขยันหาเรื่อง! ไปยุ่งกับคนพูดมากแบบนั้น ในอนาคตยายแก่คนนั้นจะวุ่นวายกับแกไม่จบสิ้น”
“ฉันเตรียมรับมือสำหรับเรื่องนั้นแล้ว”
“แกจะทำยังไง”
“ให้ในสิ่งที่เขาต้องการ แม้ว่ายายเฉินจะพูดมากและจุ้นจ้าน แต่แกไม่ใช่คนไม่ดี เพียงลำบากจนต้องดิ้นรน ลุงไม่คิดว่ายายเขาเหมาะกับการดูแลเรื่องจุกจิกหรือคะ”
“หน็อยแน่! แกจะให้ฉันจ้างงานยายเฒ่า นี่คือการผลักภาระมาที่ฉัน ไม่ใช่การรับมือกับความวุ่นวายด้วยตัวเอง”
ลุงชวนถอดรองเท้ามาข้างหนึ่งเพื่อปาใส่เธอ ผิงผิงกระโดดหลบก่อนจะยิ้มหน้าทะเล้น ไม่ลืมพูดประจบเขา
“โอ้คุณลุง! ฉันเพียงเสนอแนะหาคนที่สามารถไว้ใจได้ เพื่อที่ในอนาคตจะมีคนช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องโรงงาน รับรองว่าไม่มีใครกล้าอู้งานแน่”