บทที่ 15

2157 Words
ตอน อย่าอวดฉลาดมันจะยุ่ง ผิงผิงพยักหน้าว่าเข้าใจ ในเมื่อขอให้ช่วยก็ช่วยแล้ว ต่อไปพวกเขาต้องดำเนินการเอง แต่เธอก็เข้าใจในมุมมองที่แตกต่างทางฝั่งคนซื้อกับคนขาย พวกเขาล้วนมีความต้องการของตัวเอง เธออดจะคิดในมุมของคนนอกแล้วเอ่ยมันออกตามตรง “ในเมื่อเขาไม่ต้องการขายจึงได้ตั้งราคาที่แพงไว้ก่อน แสดงว่าเขามีแผนที่จะทำบางอย่างกับที่ดินตรงนั้น หากคุณต้องการที่ดินทำโรงงานแต่ซื้อไม่ไหว ก็มีอีกทางเลือกหนึ่งนั่นก็คือการเช่าในระยะยาว อาจจะสิบหรือยี่สิบปี” “ในอนาคตป่ารกร้างจะถูกพัฒนาทำเป็นพื้นที่ในส่วนต่างๆ ไม่แน่ว่าพอถึงเวลานั้นคุณสองคนอาจเจอจุดที่เหมาะสมกว่า ยังมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพื่อสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงอีก ยังไงการตั้งกิจการในย่านชุมชนต้องมีปัญหาตามมาไม่ช้าก็เร็ว ทั้งยังลดความเสี่ยง หากว่าธุรกิจไม่เป็นไปตามแผน” แปะ! แปะ! แปะ! “น้องสาว! เธอพูดให้ฉันได้เปิดหูเปิดตามาก มันช่างขัดแย้งกับสภาพของเธอในตอนนี้” จ้าวถางปรบมืออย่างตกตะลึง ผู้หญิงที่ทำรองเท้าไม่ได้รับการศึกษา ทำไมถึงพูดจาเป็นงานเป็นการ ไม่ว่าจะด้วยหลักการหรือเหตุผล แม้แต่ฟางหยุนยังตกใจ เขาเองมัวสนใจเพียงการสร้างโรงงานไม่ได้คำนึงในเรื่องผลลัพธ์ระยะยาว หากว่ามันล้มเหลวไม่เพียงจะถูกที่บ้านหัวเราะและด่าทอ แต่จะสูญเสียเงินทุนจำนวนมหาศาลไป ไม่ใช่แค่เงินเขาแต่ยังมีเงินของจ้าวถาง ชายหนุ่มจึงมองเด็กสาวตัวผอมที่ฉายประกายเฉลียวฉลาด คิดว่าเธอยังมีสิ่งใดที่ซ่อนไว้อีก “อะแฮ่ม! คราวนี้พวกนายสองคนน่าจะหาทางลงให้ตัวเองได้ แต่ไม่แน่ว่าทางนั้นเขาจะตกลงกับข้อเสนอนี้ไหม ยังไงนายควรปรึกษากันให้ดีก่อนจะกลับเจรจาอีกครั้ง เพราะฉันมีเรื่องที่ต้องทำไม่สามารถไปด้วยได้” “เช่นนั้นผมกับจ้าวถางต้องขอบคุณอามาก เมื่อทุกอย่างคลี่คลายผมจะมาเพื่อขอบคุณอีกครั้ง” “ไม่ต้องลำบาก! ฉันเพียงทำเท่าที่ทำได้” “ยังไงวันนี้รบกวนคุณอากับ..ผิงผิง พวกผม ขอตัวกลับก่อนครับ” “อืมไปเถอะ เดินทางระวังด้วย แถวนี้คนลักขโมยมีเยอะ” “ผิงผิง ฉันไปนะ วันหลังจะซื้อขนมมาฝาก” จ้าวถางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเธอในทันที เขาชื่นชมคนมีความสามารถ “ขอบคุณค่ะ แต่ว่าฉันไม่กินของมั่วซั่ว เกิดท้องเสียขึ้นมาจะทำงานไม่ได้” คนพูดเพียงล้อเล่น คนฟังก็หัวเราะ เขาไม่ได้มีสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะเดินไปฟางหยุนยังหันกลับมาชำเลืองมองเธอ มีเสียงไอของลุงชวนคอยเตือนอยู่เป็นนัยๆ โป๊ก! “โอ๊ยลุง! คุณตีหัวฉันทำไม” “แกจำเป็นต้องอวดฉลาดต่อหน้าคนอื่นหรือ! อยากให้เขาเกาะติดแกเป็นเห็บหมัดรึ” “เปล่าเลย! แค่มันคันปากจนอดพูดออกมาไม่ไหว อีกอย่างนะช่วยคนเหมือนทำบุญ คิดว่าเสียว่าสร้างกุศลให้ตัวเอง ยามที่เกิดปัญหาจะได้มีคนแนะนำบ้างก็เท่านั้น ฉันพูดจริงนะ” “เฮ้ยแกนะแก! อยู่เงียบๆ แบบเดิมก็ดีแล้ว ไม่รู้หรือว่าทำแบบนี้มันคือการนำปัญหาที่น่าปวดหัวมาให้ตัวเอง” “ฉันไม่เข้าใจที่ลุงพูด มันหมายความว่ายังไงคะ” “ช่างเถอะ! บางทีฉันอาจคิดกังวลไปเอง วันนี้พอแค่นี้ เก็บของแล้วไปกับฉัน จะต้องไปตรวจสอบเรื่องตึก หากว่ามันเหมาะสมฉันจะได้เช่า เราจะได้ย้ายของไปเก็บไว้” “เหล้าพวกนี้ล่ะ ไม่ใช่ต้องนำไปให้ช่างที่บ้านลุงก่อนหรือ” ยังมีขวดที่แบ่งไว้และกับแกล้มของพวกเขา เธอคิดว่าต้องเอาไปส่งมอบก่อนหรือไม่ “ฉันได้แวะบอกพวกเขาแล้ว สักพักจะมาขนไปกินเอง แค่เก็บไว้ให้พวกเขาก็พอ” ผิงผิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เธอไปกับลุงชวนเพื่อช่วยดูตึกที่ว่า ซึ่งพอได้เห็นด้วยตาก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงตัดสินไม่ได้ เพราะทั้งสองที่มันดีทั้งยังกว้างขวางราคาไม่ได้แพงแทบจะเท่ากัน “ลุงชวนคะ ฉันคิดว่าในเมื่อมันตัดสินใจลำบาก แล้วทำไมลุงไม่เช่ามันทั้งสองตึกเลย ให้ที่หนึ่งเป็นหน้าร้านและไว้เก็บของที่ทำเสร็จ ส่วนอีกที่เป็นโรงงานผลิตเล็กๆ พอมีคนเพิ่มขึ้นที่กว้างจะแคบลง แบบนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องความอึดอัด” “ถ้าหากลุงมีเงินไม่พอ ฉันสามารถเบิกเอาจากคุณนายมาให้ก่อน รอทำรองเท้าเสร็จให้หักออกไปภายหลัง ไม่ต้องไปกู้ยืมจ่ายดอกเบี้ย” “แกกลายเป็นคนมีประโยชน์ตั้งแต่เมื่อไหร่” “คุณลุง ไหนบอกให้ฉันทำตัวโง่งมเข้าไว้ไง ทำไมตอนนี้ถึงมาแขวะฉันล่ะ” “เอาตามแกว่า แต่เงินที่ฉันมีมันเพียงพอ เพียงกำลังคิดว่าคนอื่นจะสามารถทำงานอย่างใส่ใจได้เหมือนแกมั้ย” “เรื่องนั้นลุงวางใจ การจ้างงานจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการชี้แจงข้อตกลงก่อน ในตอนนี้เด็กหลายบ้านพอรู้หนังสือเบื้องต้น เราสามารถให้พวกเขาทำสัญญาไว้เป็นหลักฐาน ป้องกันไม่ให้ก่อเรื่องฟ้องร้องในอนาคต” “แกเองไม่ได้เรียนอักษรสักตัว ยังคิดออกมาได้ขนาดนี้เลย” “ใครว่า? คุณนายสอนฉันเขียนได้หลายตัวแล้ว อย่างน้อยฉันก็เขียนชื่อตัวเองเป็น” “ผิงผิง ไว้ฉันจะสอนแกให้รู้หนังสืออย่างละเอียด รอแกอ่านออกเขียนได้มีพื้นฐาน ฉันจะส่งแกไปเรียนเพื่อหาความรู้” “แบบนั้นใครจะช่วยลุงทำงานล่ะ” “ไม่มีแกยังมีคนอื่น หน้าที่แกคือทำตามที่ฉันบอก เข้าใจมั้ย” “อ่าเข้าใจแล้ว” เธอหลุบลงแอบมองชายสูงวัยใจดี เขาช่างเหมือนพ่อบุญธรรมในชาติที่แล้วของเธอ ที่แม้จะปากร้ายชอบดุด่า แต่คอยปกป้องและห่วงใยตนที่สุด “ไม่ต้องมายิ้ม! ค่าเรียนของแก ฉันจะจดไว้อย่างละเอียด รอจนแกเรียนจบฉันจะให้แกทำงานใช้หนี้” “ทราบแล้ว! ทราบแล้ว! เช่นนั้นฉันจะตั้งใจเรียน และคอยประสานงานเรื่องคำสั่งซื้อจากคุณนาย ลุงก็อย่าลืมค่าแรงในส่วนนั้นของฉันนะ” “แกนี่มัน! น่าทุบกะโหลกสักที” “ไม่ได้นะ! แบบนั้นโง่พอดี” เธอเองก็อยากรู้ว่ายุคนี้เขาไปเรียนกันยังไง ถึงอายุเธอจะสิบห้ากว่าๆ แต่ยังไม่สายเกินไปกับชีวิตเด็กมัธยม หลังจากการเจรจาเพื่อทำสัญญาเช่าตึกทั้งสองแห่ง ที่ห่างกันไม่กี่ร้อยเมตร ผิงผิงจึงแนะว่าควรรีบย้ายของมาไว้ เพื่อจะได้ให้ช่างที่ซ่อมแซมบ้านช่วยทำชั้นวางของ มาจัดเรียงประหยัดพื้นที่ เธอวาดแบบคร่าวๆ ให้ลุงดู ซึ่งเขาจดจำได้ “ฉันว่ามันดูดี เช่นนั้นรูปแบบการตกแต่งจัดวาง ฉันมอบให้เธอจัดการ” “ลุงพูดแบบนี้ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้จัดการเลย” “ฉันหวังว่าเธอจะเป็นได้ เพราะค่าแรงเธอมันถูกกว่าไปจ้างคนอื่น” “คุณลุง ใจคอจะขูดรีดฉันไปถึงกระดูกรึไงกัน” “ถ้ามันขูดได้นะ นี่ใกล้มืดแล้วแกรีบกลับบ้านไป พรุ่งนี้เอากุญแจมาเปิด ฉันจะไปหายายเฉินเหมือนกัน” ถึงจะบอกไปอย่างนั้นทว่าลุงชวนไม่ได้ไปในทันที เขาแอบเดินตามไปส่งผิงผิงถึงบ้าน พอเห็นว่าเธออาศัยในอะพาร์ตเมนต์ของคนมีเงิน ซึ่งดูไม่มีปัญหาเรื่องคนลอบทำร้าย เพราะมีบ้านของตำรวจอยู่จึงวางใจ รอจนเธอเดินเข้าไปลับตา เขาจึงหันหลังกลับ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเธอจึงปลอดภัยทุกครั้งแม้จะกลับมืดค่ำ ผิงผิงกำลังเดินขึ้นไปยังบ้านตัวเอง เธอก้มลงล้วงหากุญแจ แต่ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคนจากด้านหลัง “ทำไมถึงกลับช้านัก” “เอ่อ! พอดีว่างานเพิ่งเสร็จ แล้วคุณมีอะไรกับฉันหรือคะ” ดูเหมือนเขาจะเลิกงานแล้ว การแต่งตัวของชายหนุ่มดูแปลกตาสำหรับเธอ เขาใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น แต่งตัวอย่างง่ายสบายๆ ปกติเธอเจอเขาทีไรต้องใส่ชุดเครื่องแบบ ในใจอดจะชมหุ่นอันสมบูรณ์แบบที่น่าหลงใหลนี้ ถ้าตัดเรื่องความเย็นชาออกแล้วยิ้มน้อยๆ จะดูมีเสน่ห์ชนิดที่สาวๆ พร้อมถวายตัว “เปล่า ในฐานะของผู้รักษาความสงบ ฉันแค่ถามเท่านั้น แต่ในฐานะเพื่อนบ้าน อาจเรียกได้ว่าทักทาย” “อ้อ เข้าใจแล้วค่ะ” เธอไขกุญแจเพื่อเข้าบ้าน แต่ยังไม่ทันจะได้เข้าไป มือที่แข็งแรงดึงประตูไว้ จนเธอต้องมองเขาเขม็ง เทียนหลี่ยังคงเซ้าซี้ ดูไม่ออกว่าเขาต้องการอะไร “จะไม่เชิญฉันเข้าไปดื่มน้ำหน่อยหรือ” “น้ำบ้านคุณหมดหรือคะ ถึงต้องมากินน้ำบ้านคนอื่น” “ฉันคอแห้ง อยากดื่มตอนนี้ เธอไม่คิดจะมีน้ำใจกับฉันหน่อย” ผิงผิงอดจะถอนหายใจออกมาแรงๆ ดูเหมือนนายตำรวจคนนี้สงสัยการกินอยู่ของเธอ อาจอยากรู้ว่าข้างในมีสิ่งผิดกฎหมายซุกซ่อน ในเมื่อเขาตื๊อขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลที่จะไล่ไป แบบนั้นไม่ยิ่งทำให้เขาจับผิด ถ้าเขาอยากเห็นความเป็นอยู่ เธอควรให้เขาสมหวังเผื่อว่าจะหายข้องใจเสียที “ไม่เลว ทุกอย่างจัดวางได้ลงตัว ทำให้มีพื้นที่กว้างขึ้น” เขาทำเหมือนเดินเข้าบ้านตัวเอง มือลูบดูฝุ่นแต่ไม่เจอ หากพบรับรองว่าเขาจะตำหนิเธอแน่ ยังถือวิสาสะนั่งลงโซฟานุ่มขาไขว่ห้างกระดิกเท้า ไม่มีความเกรงใจอย่างสิ้นเชิง ผิงผิงกลอกตาก่อนจะไปรินน้ำมาให้ “น้ำค่ะ” “อืม แล้วเธออยู่ลำพังแบบนี้ คุณนายที่อุปถัมภ์เธอมาหาบ้างรึยัง” “ยังค่ะ มีโทรหามาสอบถามบ้าง คุณนายค่อนข้างชอบอิสระและทำตามใจ อยากมาก็มาเลยไม่ได้มีการบอกล่วงหน้า” ยังดีที่ในบ้านมีโทรศัพท์อยู่ เธอจึงหาข้ออ้างออกมาตอบคำถามนั้น “แล้วเรื่องค่าใช้จ่าย ค่าไฟฟ้าค่าน้ำ เธอต้องจ่ายเองหรือไม่” “ตอนนี้เป็นคุณนายจ่ายทั้งหมด รวมถึงเรื่องอาหาร คุณถามละเอียดแบบนี้กำลังสงสัยอะไรฉันคะ” “ก็สงสัยว่าแม่อุปถัมภ์ของเธอทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงร่ำรวยถึงขั้นรับเธอมาดูแล” “คุณกำลังสอบสวนฉัน ทำเหมือนฉันเป็นผู้ต้องหา” ผิงผิงเริ่มไม่พอใจ เธอรู้ว่าเธอยากจนแต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างที่เขาจะปฏิบัติกับเธอเช่นนี้ และเธอยังไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร “ฉันเพียงอยากเตือนเธอเท่านั้น การที่เธอไว้ใจคนมีที่มาลึกลับ มันอาจทำให้เธอกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ในเมื่อเธอบริสุทธิ์ใจก็ไม่เห็นต้องตื่นเต้นกับคำถามของฉัน” “เช่นนั้นฉันถามคุณกลับบ้าง หากว่าคุณมีญาติที่อยู่ลำพังทั้งยังเป็นผู้หญิง บังเอิญโชคดีเหมือนฉัน แต่มีตำรวจตามตอแยถึงขั้นเดินเข้าบ้านและสอบปากคำ คุณคิดว่าอะไรที่น่ากังวลใจมากกว่ากัน” “พอดีว่าฉันไม่มี เลยบอกไม่ได้ จริงสิ! เธอกินข้าวรึยัง” ท่าทางนี้มันอะไรกัน? ดูเขาไม่แยแสเลย ยังทำเหมือนคำตัดพ้อเป็นแค่ลมพัดผ่าน แถมยังยิ้มชอบใจอีกด้วย “หา!” ผิงผิงไม่เข้าใจกับผู้ชายคนนี้ เขาตั้งคำถามกับเธอแล้วยังแกล้งทำเฉย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง สร้างความสับสนและมึนงง “ทำหน้าแบบนี้แสดงว่ายัง งั้นดีเลยมากับฉัน” “ไปไหนคะ!” คราวนี้เธอตกใจจนตาโต เขาดึงแขนเธอให้ลุกขึ้นจะพาออกไปจากบ้าน ทั้งที่เธอเพิ่งกลับเข้ามา “คิดอะไรของเธอ ไม่พาไปขายหรอกน่า แค่จะพาไปบ้านฉัน ตอนนี้แม่ฉันน่าจะทำอาหารอยู่ เธอไปช่วยจะได้เสร็จเร็วขึ้น” “เอ่อเดี๋ยวค่ะ!” อะไรคือให้ไปช่วยทำกับข้าว นั่นมันใช่หน้าที่รึ ผิงผิงพยายามขัดขืนไม่ไป แต่สู้แรงดึงของเทียนหลี่ไม่ไหว เขาบ้าไปแล้วที่จะพาเธอเข้าบ้าน เราไม่ได้สนิทกันขนาดนะ!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD