1 เกรี้ยวกราด

1222 Words
เคร้ง!! เท้าเล็กหยุดนิ่งตรึงอยู่กับที่ มือที่กำลังยกขึ้นจะเคาะประตู ค้างอยู่กลางอากาศ เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากด้านใน ดวงตากลมโตเบิกกว้างจ้องประตูบานใหญ่ ป้ายบอกตำแหน่งเด่นหรา รองประธานบริษัทแสงสุขฟาร์ม มือเรียวจับแฟ้มกระชับแน่น สายตาเลิ่กลั่ก เริ่มลังเลไม่แน่ใจ จะเอาไงต่อ ระหว่างเปิดประตูเข้าไปเลย เพื่อคุยงานให้มันเสร็จๆ หรือควรถอยหลังกลับไปตั้งหลักไกลๆ ก่อน อย่างไหนมันจะดีกว่ากัน สายตามองหาตัวช่วย เลขาเจ้านายก็ดันมาหายหัวไปซะนี่ เอาไงล่ะทีนี้ เปรี๊ยะ!! “อูยย!!” หญิงสาวถึงกลับสะดุ้งโหยง พลางสูดปากร้องอุทานเบาๆ เสียงแก้วหล่นแตกกระจายดังมาจากในห้อง เธอถอยหลังกรูดออกห่างประตูทันที ต่อให้เป็นงานด่วน ด่วนมาก ด่วนฉิบหาย หากไม่รีบทำตอนนี้จะถูกไล่ออก เจนจิราก็ไม่สนใจแล้ว เมื่อประเมินสถานการณ์ดู เธอไม่ควรเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงในนั้นเด็ดขาด “ใคร?!!” แค่ขยับเท้าเตรียมหมุนตัวกลับ ก็ราวกับข้างในมองเห็น เสียงตะคอกถามดังขึ้น ถึงอยากวิ่งหนีตอนนี้ก็คงสายไปแล้ว เมื่อเจ้านายรู้ว่ามีคนอยู่หน้าห้อง ทั้งที่ไม่อยากเข้าไป แต่ขากลับขยับก้าวเข้าใกล้ประตูอัตโนมัติ เหมือนเป็นความเคยชินเมื่อเจ้านายเรียก ท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ...เอาวะอย่างมากก็แค่ถูกด่า! ร่างบางยืนนิ่งสงบทำใจสักครู่ สูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด ปรับสีหน้าให้ปกติที่สุด ‘ก๊อก ก๊อก’ “ขออนุญาตค่ะ” มือเรียวผลักประตูเปิดเข้าไป เมื่อได้ยินเสียงเอ่ยอนุญาตดังขึ้น ชายหนุ่มเจ้าของห้องนั่งเด่นอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่ง รูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้าง ใบหน้าคมก้มเล็กน้อย จมูกโด่งเป็นสัน ออร่าความหล่อโดดเด่น ปกติเจ้านายก็เป็นคนหน้าตาดี หล่อขาวใส ถึงแม้ตอนนี้จะปล่อยตัวทรุดโทรม จนหนวดเคราครึ้มเต็มหน้า แต่นั่นกลับทำให้เตวิชญ์ดูหล่อดิบเถื่อนไปอีกแบบ หากเป็นหญิงอื่นมาเห็นตอนนี้ คงตะลึงกับความหล่อ และยิ้มกระมิดกระเมี้ยนให้ด้วยความเขินอาย แต่ไม่ใช่เจนจิรา เรื่องความหล่อของเจ้านายไม่ใช่สาระสำคัญสำหรับเธออยู่แล้ว สิ่งเดียวที่สนใจก็คือเรื่องงาน ร่างองอาจยังคงนั่งนิ่ง ไม่สนใจกับการปรากฏตัวของเธอ ใบหน้าก้มเล็กน้อยจดจ่ออยู่กับบางอย่าง ดูสนใจมากกว่าแฟ้มเอกสารกองโตที่วางจนแทบจะล้นโต๊ะทำงาน กระทั่งเจนจิราเดินเข้าไปใกล้ จึงเงยหน้าขึ้นมองอย่างเสียไม่ได้ ดวงตาคมดุฉายแววหงุดหงิด ใส่คนที่บังอาจมารบกวน แค่สบตาเจ้านาย เธอก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วแนวสันหลัง หัวใจเต้นแรง มือเย็นเฉียบ ก่อนจะเผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง เพราะคืนนั้นแท้ๆ ทำให้เข้าหน้าเขาไม่ติดมาจนถึงตอนนี้ “มีไร” น้ำเสียงห้วนสั้นไม่พอใจ เอ่ยถามลูกน้องสาว “เจน...เอ่อ...อะ...เอาเอกสารมาให้นายวิชญ์เซ็นค่ะ เรื่องด่วน” คำพูดที่เอ่ยออกมาก็ดูไม่มั่นใจ ตะกุกตะกักจนเธอรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง “วางไว้ แล้วก็ออกไป!” น้ำเสียงและท่าทางไม่หยี่ระของเจ้านาย ทำให้เธอชะงัก ยืนนิ่งเงียบ จะอ้าปากพูดก็กล้าๆ กลัวๆ มือบีบกันแน่น รู้สึกอึดอัด ทำตัวไม่ถูก เจนจิราก่นด่าตัวเองเป็นบ้าอะไร แค่นี่ก็ต้องกลัวด้วย แต่ก่อนถูกด่ายับ เธอยังปากกล้าเถียงกลับไม่เคยกลัว แต่คราวนี้กลับไม่กล้าสู้แม้กระทั่งสบตา ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด หญิงสาวรวบรวมสติที่มันกระเจิดกระเจิงของตัวเองให้กลับมา งาน งาน ท่องไว้ ในเมื่อเสี่ยงชีวิตเข้ามาแล้ว ก็ต้องได้งาน! เธอสูดหายใจเข้าลึก รวบรวมความกล้า ก่อนจะเอ่ยตอบเจ้านายกลับด้วยน้ำเสียงที่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น “เจนขอเอกสารตอนนี้เลยค่ะ” “เดี๋ยวเซ็น” “แต่…” “ฉันบอกให้ออกไป! ฟังไม่เข้าใจรึไง” สายตาคมกริบตวัดขึ้นมอง ทำเอาขนอ่อนตรงต้นคอเธอลุกซู่...ก็งานมันด่วน ต้องรีบตอบรับลูกค้า เธอต้องทำหน้าที่ของตัวเอง แล้วเขาจะมาใส่อารมณ์ทำไมเนี่ย “ค่ะ...เข้าใจ แต่เจนขอด่วนนะคะ” เจนจิราไม่วายเอ่ยย้ำกับเจ้านายอีกรอบ แต่พอนัยน์ตาสบประสานกัน เธอก็เป็นฝ่ายเงียบปากลง ไม่ใช่กลัวหรอกนะ ก็แค่ไม่อยากมีปัญหากับพวกบอบช้ำทางจิตใจ ช่วงนี้เธอรับงานมาเต็มหน้าตัก ยุ่งจนไม่มีเวลาไปไหน อีกอย่างก็ไม่กล้าเข้าใกล้เจ้านาย จึงทำตัวหลบๆ เลี่ยงๆ แต่เวลาแค่เดือนเดียว ทำไมรู้สึกเตวิชญ์เปลี่ยนไปมาก หน้าตาก็ทรุดโทรมเป็นซอมบี้ อารมณ์ก็เหวี่ยงวีนไม่น่าเข้าใกล้ ...แต่ช่างเถอะ เอางานขึ้นมาให้แล้ว จะทำไม่ทำก็แล้วแต่ หญิงสาวตัดสินใจหมุนตัวกลับ แต่พอนึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องสำคัญต้องแจ้งเจ้านาย ก็หันไปพูดโดยไม่มองหน้าอีกฝ่าย “นายวิชญ์ วันนี้สิบโมงนายใหญ่เรียกประชุมที่ห้องโคบาลนะคะ” เจนจิราพูดเสร็จ ก็ก้าวขาเตรียมออกจากห้อง แต่เสียงเข้มดุเรียกเธอไว้ก่อน “เดี๋ยว! ประชุมไร? ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง” เหอะ!...เจนจิราคันปากยิบๆ อยากจะพูดใจแทบขาด แต่พอสบตาเจ้านายก็ต้องกัดปากตัวเองไว้ แค่นี้เขาก็มองเธอตาเขียวปัด ขืนพูดมากอาจถูกเตะกระเด็นออกนอกหน้าต่างไปโน่น ไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก ในเมื่อไม่มีใครสามารถติดต่อเจ้านายได้ ทุกวันนี้เตวิชญ์ทำตัวตัดขาดโลกภายนอก บ้านช่องก็ไม่ยอมกลับ จะคุยเรื่องงานก็ตามตัวยาก โทรศัพท์ไม่รับสาย ใครก็ติดต่อไม่ได้ เดือดร้อนเธอต้องเป็นคนเดินขึ้นมาบอกด้วยตัวเอง “เจน...ไม่รู้ค่ะ นายใหญ่แจ้งมาแค่นี้” “ไม่รู้!” “ค่ะ...ไม่รู้” ผู้ช่วยสาวลอยหน้าลอยตาตอบ จากที่หงุดหงิดอยู่แล้ว เตวิชญ์ก็พาลขัดหูขัดตาเพิ่มขึ้นอีก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่ ไม่เคยรู้เรื่องอะไรสักอย่าง เรื่องของตัวเองไม่รู้ เรื่องอื่นก็ยังไม่รู้อีก แทบจะกลายเป็นคนหูหนวกตาบอด โง่แบบนี้ไง ถึงไม่รู้ว่าเจ้าสาวเป็นเมียคนอื่น มุมปากหยักได้รูปกดลึกยิ้มหยัน ดวงตาแข็งกร้าว เมื่อหวนคิดถึงความโง่ของตัวเอง มือกำหมัดแน่นก่อนจะเหวี่ยงไปปัดแฟ้มที่วางกองบนโต๊ะหล่นกระจายเต็มพื้น เจนจิราสะดุ้งโหยง แต่ยังคงยืนนิ่งอยู่ท่าเดิม เพียงปรายตามองไม่คิดจะก้มลงเก็บ “ไม่ได้เรื่อง!” “ก็เจนไม่รู้นี่คะ” เจนจิราตอบกลับ สีหน้าเรียบเฉย ทั้งที่ในใจแทบจะแยกเขี้ยวใส่ จะให้เธอตอบยังไง ไม่รู้ก็คือไม่รู้ และไม่ต้องมาทำตาขวางข่ม เพราะเธอไม่กลัว หากเป็นเมื่อก่อนไม่มีทางปล่อยให้เขาต่อว่าเธอได้หรอก แต่ตอนนี้...แค่สบตา เธอก็ต้องเมินหลบ มองไปทางอื่นที่ไม่ใช่ใบหน้าขาวหล่อนี่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD