คริสเดินมานั่งบนโซฟาอย่างหัวเสีย ทิ้งตัวลงหนัก ๆ แล้วกระดกไวน์ในแก้วจนหมดในพรวดเดียว
“ไอ้คริส…” มาวินที่ยังไม่ยอมไป เอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิด พร้อมหรี่ตามองเพื่อนรักอย่างจับผิด
"ใช่คนนั้นไหมวะ?” คริสมือที่กำแก้วแน่นจนเส้นเอ็นที่หลังมือปูดขึ้น ก่อนจะสบถออกมาเสียงต่ำ
“ไอ้สัสวิน มึงกลับไปซะเดี๋ยวนี้เลย” คริสยกเท้า วางพาดบนโต๊ะกระจกกลางห้อง แต่แววตาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดรำคาญ
แต่มาวินกลับหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน
“มึงไปทำท่าไหนวะ ถึงได้ไวขนาดนี้”
“เพิ่งเจอตอนเย็น" คริสเอ่ยเสียงเรียบ
" ห่ะ!!! เจอตอนเย็น แต่ตอนนี้อยู่ในห้องมึงเนี้ยน่ะ ง่ายไปเปล่าวะ”
คำว่าง่ายไปจากปากมาวินทำเอาคริสหันขวับมามอง สายตาเขาเข้มและดุขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“เสือก” เสียงเย็นยะเยือกของคริสตัดบท
“มึงไม่ชอบให้ใครยุ่งในพื้นที่ส่วนตัวมึง แล้วนี้คือ...?”
คริสถอนหายใจหนัก ๆ เอนหลังพิงโซฟา สายตาเหม่อมองเพดาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความคิดที่สับสน และใช่เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ไม่เข้าใจว่าทำไมแค่เห็นเธอ หัวใจถึงเต้นแรง จนรู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วหน้าอก ไม่เข้าใจว่าทำไม ถึงหงุดหงิดเวลามีคนมองเธอ ทั้งที่เธอเป็นคนแปลกหน้า และความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่กล้าจะยอมรัว่ามันกลับมาอีกครั้ง
ลิษาเดินออกมาสวมเสื้อของคริส โดยไม่ได้ติดกระดุมทุกเม็ด ปล่อยชายเสื้อให้ยาวคลุมต้นขา เผยให้เห็นเรียวขาสวยงาม ภาพลักษณ์ดูสบาย ๆ แต่แฝงไปด้วยความเร้าใจ
“ไปก่อนนะครับคนสวย” มาวินเอ่ยพร้อมหันไปยิ้มกว้างใส่ลิษาที่เพิ่งเดินออกมาจากห้อง
“เอ่อ… คุณ…” มาวินที่กำลังจะหันหลังเดินออกจากห้อง หยุดฝีเท้าทันที เขาหันกลับมา พร้อมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“หืม?”
ลิษาเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาสั่นไหวอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกมา
“เอ่อ ฉันขอติดรถด้วยได้ไหม แค่ไปส่งตรงที่พอจะเรียกแท็กซี่ได้ก็ได้ค่ะ” ลิษาพูดจบแล้วก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย เพราะไม่ชินกับการขอความช่วยเหลือจากใครแบบนี้
เพราะตอนนี้เธอไม่มีโทรศัพท์ แต่จะให้อยู่ต่อในห้องนี้ กับผู้ชายสองต่อสอง และที่สำคัญหัวใจเธอเต้นแรงทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้คริส
แต่ยังไม่ทันที่มาวินจะได้ตอบอะไร เสียงเรียบนิ่งกลับดังขึ้นมาทันที
“ไม่ได้” คำเดียวสั้น ๆ ราวกับมีอำนาจบางอย่างสั่งห้าม น้ำเสียงของคริสที่เอ่ยออกมานั้นเยือกเย็น แต่แฝงความไม่พอใจเอาไว้อย่างชัดเจน
ลิษาสะดุ้งเฮือกเล็ก ๆ หันไปมองเขาด้วยสายตาตกใจ ขณะที่มาวินชะงักแล้วหันกลับไปมองเพื่อนตัวเอง
“ครับ… ไม่ได้” มาวินเอ่ยก่อนจะหันไปมองลิษา พร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ
แล้วมาวินก็หันกลับไปสบตากับคริส ที่นั่งด้วยสีหน้าเรียบสนิท แต่แววตานั้นสื่อชัดเจน มาวินกระตุกยิ้มมุมปากเบา ๆ อย่างรู้ทัน
“เออ… งั้นกูไปก่อนละกัน” เอ่บจบมาวินก็เดินออกจากห้องไป
เสียงเปิดประตูดัง แกร๊ก ขึ้นอย่างกะทันหัน โดยไม่มีแม้แต่เสียงเคาะหรือกดกริ่ง ทำให้คริสหันขวับไปมองทันทีด้วยสีหน้าหงุดหงิด เพราะคิดว่าเป็นมาวิน
“คริสลูก…”
เสียงของหญิงสูงวัยดังขึ้นเบา ๆ ก่อนจะเงียบไปเมื่อสายตาของเธอปะทะกับภาพตรงหน้า
"ม๊า...” คริสอุทานออกมาเบา ๆ แล้วรีบวางขาลงจากโต๊ะทันที พร้อมวางแก้วไวน์ รีบลุกขึ้น เดินเข้าไปหาหญิงวัยกลางคนอย่างรวดเร็ว
“ม๊ามาได้ไงครับ?” คาริมามองลูกชายสลับกับหญิงสาวที่ยืนนิ่ง
“ก็ควีนโทรหาม๊าน่ะ บอกว่าคริสไม่สบายหนัก ให้มาดู”
“แต่จากที่เห็น… ม๊าคงไม่ต้องห่วงแล้วล่ะ มีคนดูแลใกล้ชิดขนาดนี้” คำพูดของคาริมาทำให้ลิษาใจหายวาบ เธออ้าปากจะอธิบายทว่า...
“ครับ ผมหายแล้ว” คริสพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน พลางส่งยิ้มมุมปาก
คาริมาเลื่อนสายตากลับมาที่ลิษา ก่อนจะกวักมือเบา ๆ ให้มานั่งด้วยน้ำเสียงน้ำเสียงนุ่มนวล
“มานั่งก่อนสิลูก ไม่ต้องเกร็งจ้ะ" ลิษาได้แต่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ
“…เอ่อ ค่ะ”
ลิษาเดินไปนั่งตรงโซฟาอีกฝั่ง ห่างจากคริสพอประมาณ แต่ยังไม่ทันจะได้นั่งเต็มก้น
“คบกันนานหรือยังลูก?”
ลิษาเบิกตากว้างทันที หันขวับไปมองคริสอย่างตกใจริมฝีปากขยับจะพูดปฏิเสธ แต่แล้ว…
“เดือนหนึ่งแล้วครับ” คริสพูดขึ้นนิ่ง ๆ ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก
สายตาเฉียง ๆ ที่คริมเหล่มาทางเธอมันทั้งกวน ทั้งหล่อจนอยากตบ
ลิษานั่งตัวตรงแน่ว ใบหน้าเรียบสนิท แต่หัวใจข้างในกลับเต้นไม่เป็นจังหวะ นี่มันอะไรกัน ทำไมเธอต้องมานั่งฟังผู้ชายที่ฆ่าคนที่เธอรัก บอกกับแม่เขาว่าคบกัน ด้วยท่าทางอย่างกับเจ้าของ
ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไรออกมาอีก คาริมาก็ลุกขึ้นยืนหยิบกระเป๋าเล็ก ขึ้นมา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
“งั้นคืนนี้แม่ขอรบกวนนะลูก แม่ขอนอนที่นี่ จะกลับตอนนี้ฝนก็ตกไม่หยุด แถมหนักด้วย…”
พูดจบ ก็เดินเข้าไปยังห้องพักอีกห้องหนึ่งโดยไม่รอฟังคำค้านใด ๆ ทิ้งให้ในห้องรับแขกเหลือเพียงความเงียบ และความกระอักกระอ่วนที่ค่อย ๆ เริ่มก่อตัวระหว่างคนิสกับลิษา
ลิษาเม้มปากแน่น หัวใจสั่นระรัว ในขณะที่คริสเอนตัวพิงพนักโซฟา สบตาเธอด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา