***นิยายเรื่องนี้มีสองคู่***
คู่เอก
“เพราะตำนานอาถรรพ์ลานเกียร์นั่นเลย! ทำให้ผมต้องต้องโยนเกียร์ตัวเองลงลานเพื่อให้สาวที่แอบชอบนั้นเดินผ่านมาสะดุดแต่มันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิเมื่อคนที่มาเดินสะดุดลานเกียร์น่ะเป็นเพื่อนของเธอ แถมยังเป็นผู้ชาย!”
คู่รอง
“เพราะอยากจะไปซัดหน้าคนที่ทำร้ายเพื่อนถึงเกิดเรื่องให้เราทั้งคู่พลาดพลั้งสร้างอีกหนึ่งชีวิตขึ้นมา ฉันไม่นึกเลยว่าเรื่องของเราสองคนจะเริ่มขึ้นต่อจากนี้... จากที่คิดว่าจะไม่บอกเขาเรื่องลูกของเรา แต่เขากลับเข้ามาวุ่นวายจนรู้เรื่องนี้เข้า และเอาแต่ยัดเยียดความเป็นพ่อให้ลูกของฉัน รวมถึงยัดเยียดตัวเองให้ฉันด้วย”
.
.
.
.
.
ไทเกอร์...
"อร๊ายแก! พรุ่งนี้แล้วสินะที่หนุ่มๆวิศวะเขาจะเข้าพิธีมอบเกียร์กันอะ"
เสียงสาวต่างคณะที่มักจะเดินผ่านลานเกียร์หน้าตึกคณะพวกผมคุยกัน ขณะที่เดินผ่านเก้าอี้ม้าหินอ่อนที่ผมนั่งอยู่
"แน่สิแก คราวนี้แหละมีทั้งช็อปมีทั้งเกียร์ ฉันก็จะได้ไปถวายตัวเป็นเมียให้พวกเขาเลย อร๊าย ครบจบปิ๊ง"
" แกร๊! ได้ข่าวว่าวิศวะรุ่นนี้งานดีกว่าทุกรุ่นด้วยนะ อร๊ายฉันอยากได้สักคนอะแก อยากได้อยากได้ "
นี่แหละครับสิ่งที่ผมและพวกเพื่อน ๆ ได้ยินกันแทบทุกวันตั้งแต่ที่เข้ามาเรียนปีหนึ่งที่นี่ จนทุกวันนี้ขึ้นปีสองแล้วก็ยังคงได้ยินอยู่
มันก็ดูเท่นะครับที่มีคนพูดถึงหนุ่ม ๆ คณะเราแบบนี้ แล้วมันก็จะเท่กว่านี้มาก ๆ เลยถ้าคนที่ผมแอบชอบอยู่จะพูดอะไรแบบนี้ถึงผมบ้าง แต่เธอน่ะเหรอจะพูดอะไรแบบนี้เหมือนสาว ๆ คนอื่น ไม่มีทางหรอก... เพราะเธอน่ะเรียนคณะเดียวกันกับผมน่ะสิ แถมตั้งแต่เรียนด้วยกันมาผมยังไม่เคยเห็นเธอมองผู้ชายคนไหนหรือตามหวีดใครเหมือนสาว ๆ คนอื่นเลย ที่จริงก็ไม่ใช่แค่เธอหรอกนะที่เป็นแบบนี้ แต่ผู้หญิงทุกคนที่เรียนคณะเดียวกันกับผมก็เป็นเหมือนกัน ผมไม่เคยเห็นพวกเธอหวีดหนุ่มคณะเดียวกันเลย หรือพวกเธอจะยึดคติที่ว่าเกียร์ไม่กินเกียร์งี้เหรอ? เหมือนกับพวกผู้ชายที่จะถือคติที่ว่าเกียร์ไม่ตัดเกียร์ไรงี้?
"เกอร์! พรุ่งนี้พิธีเริ่มเจ็ดโมงนะมึงบอกเพื่อน ๆ ด้วย แล้วก็แต่งตัวมาให้เรียบร้อยกันด้วยล่ะ"
เสียงรุ่นพี่ในคณะที่รู้จักกันตะโกนบอกผมเรื่องงานพรุ่งนี้ก่อนจะกำชับเรื่องการแต่งตัวของพวกผมและเพื่อน ๆ
"ครับพี่"
ผมตะโกนกลับก่อนจะหันมองซ้ายทีขวาทีเพื่อหาเพื่อน ๆ ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกมันหายไปไหนแล้ว
"ไลน์บอกก็ได้วะ"
ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะล้วงไปหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมากดเข้าไลน์กลุ่มของรุ่นแล้วแจ้งข่าวกับเพื่อน ๆ ที่ผมต้องทำแบบนี้ก็เพราะผมน่ะเป็นประธานรุ่นน่ะสิ
"แกอยู่ไหนอะเลิกยัง ฉันกำลังจะไปตึกแกนะรออยู่ตรงนั้นแหละ"
ขณะที่ผมกำลังพิมพ์ข้อความลงไลน์กลุ่มเสียงหวาน ๆ ของใครบางคนที่ถึงแม้ว่าจะได้ยินเพียงเสียงเรอของเธอไกล ๆ ก็ทำให้ผมถึงกับหูตั้งได้
สาวสวยคนนั้น... เธอคือเนื้อคู่ของผม...
"โอเคงั้นเจอกันใต้ตึกนะ เดี๋ยวแวะกินข้าวกันก่อนกลับหอด้วยเลย"
เสียงเธอคนนั้นคุยโทรศัพท์กับใครสักคน ขณะที่กำลังเดินผ่านผมที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะม้าหินอ่อนก่อนจะเดินเลยไป
"สะดุด... สะดุด... สะดุดดิวะ"
ผมพึมพำกับตัวเองเบา ๆ อีกทั้งสายตาของผมก็มองไปยังเท้าคู่เล็กของเธอที่กำลังก้าวย่างไปกับพื้นทีละก้าวทีละก้าวจนลับสายตา
"เฮ้อ! สุดท้ายก็ไม่สะดุด"
ผมถอนหายใจยาว ๆ พลางฟุบหน้าลงกับโต๊ะตรงหน้าอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ใช่แล้วล่ะวันแล้ววันเล่าที่ผมมานั่งเฝ้าลานเกียร์แห่งนี้ ก็เพื่อรอคอยเธอที่เดินผ่านลานนี้ทุกวันจะได้เดินสะดุดล้มลงกลางลานนี้เข้า แต่ความฝันของผมก็ล้มเหลวเหมือนกับทุก ๆ ครั้ง ตั้งแต่ปีหนึ่งหลังจากงานรับน้อง เธอที่เดินผ่านลานนี้แทบทุกวันก็ไม่เคยสะดุดล้มเลยสักที
สมัยเรียนมัธยมผมเคยฟังเรื่องเล่าของคนในครอบครัวที่พบรักกันกลางลานเกียร์ เพราะฝ่ายหญิงนั้นเดินสะดุดล้มแล้วฝ่ายชายก็เข้าไปช่วย จากนั้นสองคนนั้นก็เริ่มทำความรู้จักกันและคบหากัน จนกลายเป็นคู่รักหวานแหวนที่สุดในรุ่นและแต่งงานกันหลังจากเรียนจบ นั่นแหละก็เป็นความเชื่อฝังใจที่ทำให้ผมมาเรียนคณะนี้เพื่อตามหารักแท้จากคนที่เดินสะดุดลานเกียร์
ยิ่งช่วงงานรับน้องปีหนึ่งรุ่นพี่หลาย ๆ คนมีเรื่องเล่าและตำนานเกี่ยวกับความรักของลานเกียร์ให้ฟังมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ผมสนใจและอยากจะพิสูจน์เรื่องนี้เร็ว ๆ เขาว่ากันว่าใครก็ตามที่เดินสะดุดลานเกียร์จะมีแฟนเรียนวิศวะ จนกระทั่งผมเริ่มหาข้อมูลตามกระทู้ต่าง ๆ และก็พบว่าตำนานนั้นมีหลากหลายเรื่องราวและส่วนมากเรื่องราวเกี่ยวกับความรักกลางลานเกียร์มันมีอยู่จริง (ปล.เนื้อหาในเรื่องนี้เป็นเพียงนิยายที่ผู้แต่งแต่งขึ้นเพื่อใช้ในความบันเทิง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
"อ้าวไอ้เชี้ยพี่โบ๊ท เดี๋ยวนี้กูเห็นมึงเดินไปตึกมนุษย์บ่อย ๆ ไปติดสาวที่ไหนล่ะมึง"
เสียงคนที่เรียนคณะเดียวกันกับผมที่กำลังเดินมานั่งตรงโต๊ะม้าหินอ่อนไม่ไกลจากผมมากนักร้องทักทายกัน แต่มองจากการแต่งตัวที่สวมเสื้อช็อปแล้วพวกเขาน่าจะเป็นรุ่นพี่ผม เพราะรุ่นผมยังไม่ได้รับเสื้อช็อป
"ไม่ใช่แค่ติดสาวธรรมดานะมึง ตอนนี้สาวคนนั้นก็ติดมันแล้วด้วย"
เสียงเพื่อนผู้ชายในกลุ่มของคนที่นั่งคุยกันอยู่พูดแซวเพื่อนตัวเอง
"เฮ้ยจริงดิ มิน่าล่ะช่วงหลัง ๆ มานี้กูไม่ค่อยเห็นมึงห้อยเกียร์แล้ว แสดงว่าเอาไปห้อยคอน้องคนนั้นแทนแล้วอะดิ"
เพื่อนอีกคนหนึ่งพูดขึ้นแซว ๆ
"แน่นอนดิวะ มีช็อปแต่ไม่มีเกียร์ก็แสดงว่ามีเมียแล้วอะดิ อะดิ"
"ฮิ้ว! เพื่อนเราไม่โสดแล้วโว้ย!"
เสียงคนในกลุ่มนั้นยังคงแซวเพื่อนตัวเองต่อ จนคนที่โดนแซวต้องร้องปรามเพื่อนในกลุ่มใบเบาเสียงลง
ผมเองก็มีความฝันที่จะทำอะไรแบบนั้นเหมือนกันนะครับ ถ้ามีแฟนแล้วผมก็อยากจะห้อยเกียร์ที่คอเธอเพื่อประกาศให้คนได้รู้ว่าเธอน่ะมีแฟนแล้วและเธอก็เป็นแฟนผม แต่ก็นะความฝันของผมจะเป็นจริงได้ยังไง เพราะตอนนี้นอกจากผมจะไม่มีเสื้อช็อปแล้วผมก็ยังไม่มีเกียร์ห้อยคออีกด้วย อะไรวะนอกจากจะไม่มีช็อปไม่มีเกียร์ก็ยังไม่มีเมียอีกเฮ้อ!
"พรุ่งนี้แหละเราจะมีทั้งช็อปและเกียร์ทีนี้จะได้หาเมียสักที คิก ๆ พูดแล้วก็เขิน"
ผมนั่งพูดไปยิ้มไปคนเดียวอยู่ที่โต๊ะม้าหินอ่อนพลางบิดตัวไปมา
แค่คิดว่าจะได้วิ่งไปอุ้มเธอคนนั้นตอนที่เธอเดินสะดุดลานเกียร์แล้วพาเธอไปหาหมอ จากนั้นก็เริ่มทำความรู้จักกันแล้วก็สานต่อความสัมพันธ์กันไปเรื่อย ๆ โชว์หวานเป็นคู่รักสุดเฟอร์เฟคให้ใครต่อใครอิจฉา แล้วก็คบกันยืดยาวแบบไม่มีอะไรมาขวางกั้นจนได้แต่งงานกันโอ๊ย โคตรดีอะ!
"เฮ้อ! อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็ว ๆ จัง"
ผมพูดพลางนั่งอมยิ้มกับตัวเองเมื่อนึกถึงใบหน้าของสาวสวยคนนั้น
"ไอ้เกอร์! ไอ้เกอร์! ไอ้ไทเกอร์!"
"เชี้ย! เฮ้ย! เฮียธามเกอร์ตกใจหมด"
เสียงตะโกนเรียกชื่อผมดังขึ้นข้าง ๆ หูจนแก้วหูแทบแตก ทำให้ผมสะดุ้งโหยงก่อนจะหันไปมองคนมาใหม่ที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้าง ๆ
"กูเรียกมึงตั้งนานแล้วไอ้ห่าไม่หันสักที แล้วนี่เป็นบ้าอะไรมานั่งยิ้มอยู่คนเดียว"
เฮียธามนั่งลงที่เก้าอี้ม้าหินอ่อนข้าง ๆ ถามผมขึ้น
"คนมีความรักก็ต้องยิ้มเป็นธรรมดาแหละเฮีย คนไม่มีหัวใจอย่างเฮียจะรู้อะไร"
ผมตอบยิ้ม ๆ พลางนั่งคิดถึงใบหน้าของสาวสวยคนนั้นต่อ
"เดี๋ยวกูก็ตบให้คว่ำเลย แล้วนี่มึงไม่กลับบ้านกลับช่องหรือไง ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้จะเข้าพิธีรับช็อปรับเกียร์แล้วยังไม่ไปเตรียมตัวอีกนะไอ้ประธานรุ่น"
เฮียธามบ่นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
"เออว่ะ เกอร์ลืมไปเลยเฮียนี่ก็เย็นมากแล้วด้วย"
ผมพูดเมื่อนึกขึ้นได้พลางมองเวลาที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้ก็เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้วด้วย
"แต่ก็ดีที่มึงยังไม่กลับเพราะกูจะได้มีเพื่อนกลับด้วย แม่งนับวันยิ่งเรียนยิ่งโง่ไม่รู้ว่ากูคิดผิดหรือคิดถูกที่มาเรียนหมอเนี่ย"
เฮียธามลุกขึ้นยืนพลางตบไหล่ผมให้ลุกเดินตามไปด้วยบ่นพึมพำไปตามทางเดิน
ผมกับเฮียธามเราสองคนโตมาด้วยกัน จะว่าเป็นญาติกันก็ไม่ใช่เป็นลูกพี่ลูกน้องก็ไม่เชิง เอาง่าย ๆ คือสนิทกันตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่แล้วก็รู้จักกันต่อ ๆ มาจนถึงรุ่นเรานี่แหละครับ ที่สำคัญเราอยู่บ้านหลังเดียวกันด้วย
"พรุ่งนี้รับเกียร์เสร็จแล้วจะกลับบ้านเลยไหมกูจะได้กลับด้วย"
เฮียธามที่ขึ้นคร่อมรถจักรยานคันโก้หันมาถามผมที่กำลังปลดล็อคล้อรถจักรยานอยู่
"กลับดิเฮีย เกอร์จะเอาช็อปกับเกียร์ไปให้พ่อกับแม่เกอร์ดู"
ผมตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะรีบปั่นจักรยานให้ทันเฮียที่ตอนนี้ปั่นนำหน้าไปก่อนแล้ว
"เห่อจริง ๆ นะมึง"
"คอยดูนะเฮียทีนี้เกอร์ก็มีทั้งช็อปทั้งเกียร์ แล้วเกอร์ก็จะมีแฟนด้วย"
"เพ้อเจ้อมึงอะ ตั้งใจเรียนให้มันจบก่อนไหม"
"ชิ พูดเรื่องความรักกับคนไม่มีหัวใจก็เหมือนบอกให้คนหล่อมาสีซอให้ควายฟัง"
"ไอ้เกอร์! อย่าอยู่เลยมึง!"
โครม!
"เฮีย! เจ็บนะถีบเกอร์ทำไมเนี่ยโซ่หลุดเลย!"
ผมโวยวายขณะที่ลุกขึ้นมาจากข้างถนนพร้อมกับจูงจักรยานคันเก่าตามออกมาด้วย
"เฮียนะเฮียคอยดูนะวันหลังเกอร์จะแอบตัดโซ่ให้ขาดเลย"