เมื่อวันหยุดที่เอื่อยเฉื่อยมาถึง ทั้งคู่นอนกอดก่ายกันบนเตียงนุ่มแสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามายังที่นอนผ่านกระจกใส วิวเมืองสุดลูกหูลูกตาด้านล่างมีรถสวนกันไปมาขวักไขว่
คนทั้งสองตื่นขึ้นมาแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมลุกไปไหน ใช้เวลาอยู่ด้วยกันจนสายตะวันคล้อยตรงหัว ทินกรใช้วิธีสั่งอาหารมากินแทนการออกไปข้างนอก
“วันนี้หนูอยากไปไหนไหม แด๊ดอยากพาหนูไปเที่ยวบ้าง” ใบหน้าหล่อคมยิ้มอ่อนโยนให้คนเด็กกว่า
“ไปเดินห้างกันครับแด๊ด ผมไม่ได้ไปนานแล้ว”
“งั้นแต่งตัวกัน”
ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาหลินไปเที่ยวกับทินกรน้อยเพราะส่วนใหญ่ ร่างสูงงานยุ่ง กลางวันเข้าบริษัท กลางคืนเข้าผับบ้างอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง ทั้งสองคนมีออกไปกินข้าวนอกบ้านกันบ้างประปราย ร้านที่ไปส่วนใหญ่เป็นทินกรพาไปทั้งสิ้น ทุกที่ล้วนเป็นสถานที่หรูหรา สถานที่ที่คนอย่างหลินใฝ่ฝันอยากจะเหยียบย่างเข้าไปแต่ไม่มีโอกาส จนกระทั่งได้มาเจอกับทินกร คุณแด๊ดสายเปย์ของเขา อีกฝ่ายทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาทุกอย่าง สานฝันไอ้คนหัวสูงที่ทำงานได้เงินเดือนไม่พอยาไส้คนนี้ จนกระทั่งปัจจุบันหลินมีเงินในบัญชีถึงแปดหลักภายในระยะเวลาเพียงปีกว่า เงินดีกว่างานประจำที่เขาทำอยู่อีก..
รถหรูรุ่นหายากมีเพียงสองคันในไทยถูกขับมาจอดที่ลานจอดช่องพิเศษของห้างดัง ไม่บ่อยครั้งนักที่ทินกรจะขับรถเอง แต่ครั้งนี้เขาตั้งใจจะพาหลินมาเดท ต้องการความเป็นส่วนตัว รถคู่ใจจึงถูกเอาออกมาขับหลังจากที่จอดมันไว้เฉย ๆ นานแล้ว
วันนี้การแต่งกายของร่างสูงดูชิลกว่าปกติ เสื้อยืดสีดำเนื้อผ้าดีและกางเกงยีนส์ขายาวแบรนด์ดัง สวมรองเท้าแตะหลุยส์ เป็นลุคที่ชิลแต่ราคาไม่ชิลเอาเสียเลย ใบหน้าหล่อคมสวมแว่นสีชา ทรงผมถูกปล่อยปิดหน้าผากทำให้เขาดูเด็กลงหลายปี ใครเห็นก็เป็นต้องเหลียวหลัง เพราะเขาดูดีมากจริง ๆ ขนาดหลินที่เห็นเขาทุกวันยังเหม่อมอง อีกใจก็อิจฉาที่คุณแด๊ดของเขาดูเพอร์เฟคเสียทุกระเบียบนิ้ว
หลินรูปร่างสูงเพรียวหุ่นลีนดูดี ใส่เสื้อเชิ้ตสีเบจปล่อยชายและกางเกงขาสามส่วนสีน้ำตาลเอิร์ทโทน รองเท้าผ้าใบแบรนด์ดังถูกหยิบมาสวมใส่ เมื่อยืนข้างกันกับทินกรแล้วยังดูสูสีไม่ดรอปมาก
มือหนาโอบเอวของหลินเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้แคร์สายตาคนอื่นที่มองมาเลย ฝ่ายหลินเองก็ทำตัวไม่ถูกนัก รู้สึกเกร็งเมื่อโดนมองตามตลอดทาง แม้เขาจะแพรวพราวในผับแต่ที่นั่นมันที่มืด ไม่ใช่ที่สว่างโร่อย่างห้างดังแบบนี้ ไอ้หลินไม่ชินครับ
“แด๊ดจะซื้อมือถือใหม่หนูเอาด้วยไหม?” เสียงเข้มเอ่ยถามคนข้างกายขณะที่กำลังเดินเข้าศูนย์มือถือ
“ของแด๊ดพังเหรอครับ?”
“เปล่าแค่เบื่อน่ะ ใช้นานแล้วด้วย รุ่นใหม่มันออกมาพอดี” ร่างสูงเอ่ยตอบหลินน้ำเสียงราบเรียบ จนคนเด็กกว่าได้แต่คิดในใจว่านี่สินะคนมีกะตัง นึกอยากซื้ออะไรก็ซื้อเลยไม่ต้องคิดเยอะด้วย
“ครับ..”
“แล้วหนูจะเอาไหม หืม?”
“ไปดูก่อนแล้วกันครับ” หลินเองก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบตกลงเสียทีเดียว
และแล้วสุดท้ายทั้งสองคนก็ถอยมือถือใหม่ออกมาคนละเครื่องราคารวมกันแสนนิด ๆ โดยใช้บัตรเครดิตของคนแก่กว่ารูดให้เช่นเคย
เมื่อเดินผ่านร้านเครื่องประดับหลินก็จูงมือของทินกรเดินตรงเข้าไปอย่างเร็วรี่
“สวัสดีครับคุณผู้ชาย สนใจสินค้าชิ้นไหนสอบถามได้เลยนะครับ” พนักงานยิ้มแย้มต้อนรับ ที่นี่เป็นร้านเครื่องประดับเงินแบรนด์ดัง ที่กำลังเป็นที่นิยมในโซเชียล
“ขอเดินดูก่อนนะครับ” เสียงทุ้มของหลินตอบรับพนักงานอย่างสุภาพ แล้วเดินดูเครื่องประดับละลานตา โดยมีร่างสูงของทินกรเดิมตามไม่ห่าง ตู้โชว์สินค้ามีแบ่งแยกหมวดหมู่เอาไว้เรียบร้อย
และตาเรียวก็ไปสะดุดเข้ากับสร้อยข้อมือผู้ชายที่ดูเรียบสลักลายโมเดิร์นมีจี้เงินสลักลายอินฟินิตี้ล้อมเพชรเม็ดเล็ก หากไปอยู่ในข้อมือแกร่งของคุณแด๊ดเขา มันคงเข้ากับอีกฝ่ายมาก มือเรียวหยิบสร้อยข้อมือขึ้นมาเทียบกับข้อมือหนา
“หืม?” คิ้วหนาเลิกคิ้วสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะอมยิ้มออกมาเมื่อเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย
“เข้ากับแด๊ดมากเลย ผมขอซื้อให้ได้ไหมครับ?” ปากบางคลี่ยิ้มดวงตาเรียวมีคลื่นน้ำไหว เขาอยากให้อะไรกับทินกรบ้าง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาทินกรเป็นคนให้เขาแค่ฝ่ายเดียว ต่อให้สิ่งที่ได้มาต้องแลกด้วยร่างกายและความปวดเอวก็ตาม
แต่ตอนนี้เขามีความรู้สึกพิเศษให้กับคุณแด๊ดคนนี้เสียแล้ว แอบกังวลอยู่บ้างว่าของที่เขาให้มันจะราคาถูกเกินไปไหม คนระดับทินกรเขามีทุกอย่างเพรียบพร้อมหมดแล้ว ต้องให้อะไรถึงจะเหมาะสม แต่จะให้ซื้อตึกให้เขาก็คงไม่มีปัญญา
“เอาสิ” ปากหยักขยับยิ้มกว้าง สายตาคมสบกับดวงตาเรียว ในสายตาของทินกร หลินเป็นคนน่ารักอยู่แล้ว พอเห็นสีหน้าที่ดูไม่มั่นใจที่น้อยครั้งนักจะเห็นมันจากหลินเขาก็นึกเอ็นดู อยากฟัดแก้มแรง ๆ สักที
“มันไม่ราคาถูกไปใช่ไหมครับ?”
“คิดอะไรอยู่ แค่หนูซื้อให้แด๊ดก็เอาหมดนั่นล่ะครับ” เสียงเข้มตอบ พร้อมกับรอยยิ้มทรงเสน่ห์ สายตาหลังกรอบแว่นมันช่างแพรวพราวจนทำให้ใจเต้นผิดจังหวะ “ของที่หนูให้มันมีค่าทางจิตใจกับแด๊ดนะ”
“แด๊ด..” ใบหน้าหล่อเริ่มแดงก่ำกับคำพูดคล้ายกำลังจีบกันของร่างสูง อยู่กันมาตั้งนานไม่เคยจะเขิน แต่ดันมาเขินกับแค่คำพูดหยอดของทินกรเสียได้ หรือนี่จะเป็นอย่างที่เขาว่า คนมีความรักจะรู้สึกเหมือนกลับไปสิบสี่อีกครั้ง
“งั้นเอาอันนี้ครับ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกพนักงานก่อนจะพาร่างสูงไปวัดขนาดข้อมือ ให้เขาเลือกไซส์ที่พอดีให้
“เดี๋ยวใส่เลยครับ” ร่างสูงยื่นมือรับสร้อยข้อมือที่พนักงานนำมา ด้วยการใส่ถาดเครื่องประดับดูหรูหรา
เมื่อรับมาแล้ว มือใหญ่ก็ยื่นมันไปให้กับคนเด็กกว่า หลินทำหน้าไม่เข้าใจเล็กน้อย
“ใส่ให้หน่อยครับ” ทินกรพูดทั้งรอยยิ้มกว้างจนไปถึงดวงตา
“คะ..ครับ” หลินหน้าแดงลามไปถึงใบหู มันเขินทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มแบบนี้ มือเรียวหยิบสร้อยข้อมือหรูขึ้นมา ทำตัวไม่ถูกท่ามกลางสายตาของพนักงานที่เคาน์เตอร์และร่างสูงตรงหน้า ได้แต่เรียกสติตัวเองว่า ไอ้หลินมึงจะเขินอะไรนักหนา มากกว่านี้ก็เคยทำมาแล้ว กะอีแค่ใส่สร้อยข้อมือให้เขา สติโว้ย หัวใจก็เต้นเบา ๆ หน่อย เขาได้ยินกันทั้งช็อปแล้วมั้ง!
ท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของหลินทำให้ทินกรเอ็นดูไม่น้อย
“ไม่ต้องรีบค่อย ๆ ใส่หึ ๆ” เขาขำในลำคอ กว่าจะใส่กำไลข้อมือเสร็จเล่นเอาหลินเหงื่อตก กดดันกับทุกสายตาที่มองมาที่พวกเขาทั้งสอง
“ขอบคุณที่อุดหนุนนะครับ” พนักงานยิ้มแย้มขอบคุณลูกค้าที่พึ่งอุดหนุนกันด้วยยอดหลักแสน
ทั้งคู่เดินเล่นตากแอร์อยู่พักใหญ่โดยที่หลินถูกทินกรลากเข้าร้านนั้นร้านนี้ตลอด สรุปคือได้ของมาเต็มไม้เต็มมือ ฝ่ายทินกรเองก็มองที่ข้อมือของตัวเองตลอดเวลา วันนี้คุณแด๊ดของหลินอารมณ์ดีจนผิดหูผิดตา สายตาที่มองมาทางหลินหลายครั้งคล้ายมีบางอย่างอยากพูดแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา