ตอน 7

1505 Words
ตามที่คาดการณ์ไว้ มะลิได้รับคำตอบจากเลขาของอาดิล หลังจากส่งอีเมล์ ในการขออนุญาตสัมภาษณ์ ไม่กี่วันต่อมาคำตอบปฏิเสธวิ่งเข้ามาอีเมล์ของมะลิ ตามที่ได้แอบคาดการณ์ไว้ ฉะนั้นมะลิจึงรายงานผลต่อเจ้านาย คำสั่งยังคงยืนยันยังคงต้องการให้เธอไล่ตามตูดอาดิล เพื่อได้มาซึ่งบทสัมภาษณ์ ไม่รู้ใครดื้อกว่ากันระหว่างคณาทิป กับอาดิล คงพอๆ กัน             “เก็บของหรือยังจัสมิน” เสียงทุ้มกระเดียดไปทางสาวดังขึ้น ขณะหญิงสาวร่างคำถามลงในแทบเล็ต เพื่อยิงคำถามกับอาดิลในตอนเจอตัวเขาจะโดยไม่ให้ตั้งตัว ภาวนาขอให้เจอเถอะ ความคิดและงานต้องสะดุดเสียงคุ้น ดังขึ้นด้านหลังโต๊ะทำงานส่วนตัวของเธอนั่นเอง             “หนึ่งกระเป๋าใหญ่อัดแน่นไปด้วย ข้าวของจำเป็นเรียบร้อยแล้วค่ะ” มะลิตอบคนหัวดื้อด้วยน้ำเสียงชาปนเซ็ง ดวงตายังจับจ้องกับงานในหน้าที่ของตนเพราะต้องสะสางให้เรียบร้อยก่อนเดินทาง หรือถ้ายังคั่งค้างก็เหลือน้อยที่สุด เจ้าของงานตัวจริงดีแต่เสนอหน้า แต่อย่างว่าคนอย่างคณาทิปค่อนข้างเป็นกลาง เขารู้ว่าใครทุ่มเทเพื่องานจริงจังหรือทำงานผ่านไปวันๆ             “แล้วนั่นกำลังทำอะไร” ใบหน้าหล่องดงามถามลูกน้องสาว เพราะท่าทีของมะลิตั้งอกตั้งใจมากแม้แต่เวลาคุยกับตนยังไม่ละสายตาจากหน้าจอมคอมพิวเตอร์             “ร่างคำถามไว้ถามคนสำคัญของเจ๊ไงคะ” มะลิเน้นคำว่าคนสำคัญ ถ้าไม่สำคัญคงไม่มุ่งมั่นกับความต้องการหนักแน่นเสียขนาดนี้             “ต๊าย !! กุชชี่มากยะ พูดจาน่ารักน่าเพิ่มเงินเดือนให้ ชอบจังคนสำคัญของเจ้” อุทานทีแบรนด์ดังก็หลุดออกมาที แถมยังหน้าระรื่นจนน่ามั่นไส้             “จ้า” มะลิตอบรับประชด ก็ทำงานด้วยกันจนเข้าขารู้ใจกันดี นี่ถ้าคณาทิปคนเบี่ยงเพศ ชอบผู้ชายล่ำๆ นำเข้าจากต่างประเทศนะ แทนที่จะสนใจผู้หญิงร่างอรชร มะลิคงได้จับคณาทิปกดลงเตียงสักวันเป็นแน่ โทษฐานไม่มีอะไรมากนอกจากความหล่อสะอาดสะอ้านเกินมาตรฐาน เสียดายคณาทิปไม่พิสมัยผู้หญิงสวยอย่างเธอ คณาทิปได้ฟังคำมุ่งมั่นในการไม่เปลี่ยนใจ สำหรับการเดินทางไปยังฝรั่งเศส เขาหมุนกายเดินกลับห้องทำงานของตนด้วยใบหน้าซ่อนความสุข ตรงข้ามกับเซ็งจะตาย แถมยังมีเสียงนกเสียงกาแทรกเข้ามากวนสมาธิขณะนั่งรวบรวมข้อมูล มะลิเพิกเฉยต่อเสียงกวนประสาทเหล่านั้น เจ้าของเสียงไม่พึ่งประสงค์นวยนาดผ่านไปผ่านบ่อยๆ มักแกว่งปากหาเรื่องไม่หยุด ไม่ขันอาสาแล้วยังพูดพล่ามไม่เลิก อึดอัดมากๆ แม่เลาะฟันหมดปาก นึกไปถึงจิดาภาเจ้าของคอลัมสัมภาษณ์คนดังในวงการแฟชั่น มะลิสลัดความคิดก่อนหันไปสนใจงานบนหน้าจอตามเดิม             อีกสัปดาห์ต่อมามะลิหลังจากโดยสารเครื่องบินมุ่งตรงสู่ปารีสใช้เวลาร่วมสิบสองชั่วโมง หญิงสาวชาวไทยที่ได้รับการปฏิเสธชัดเจนผ่านอีเมล์ ก็ยังคงพาตัวเองก้าวมาอยู่ตรงหน้าโรงแรมเบส เวสเทิน ในกรุงปารีสตรงถนนซองเซป์ลิเซส์ คุณพรรพิชา เลขาคณาทิปจองโรงแรมระดับสี่ดาวไว้ล่วงหน้าอย่างรู้งานหรือตามคำสั่งเจ้านายก็ตามที จะว่าไปสี่ดาวก็หรูไม่ต่างจากห้าดาว เพราะต่างรู้ดีว่าเมืองปารีสคือเมืองแห่งสีสันการช็อปปิ้ง และเมืองที่สาวๆต่างใฝ่ฝันจะเดินทางมากวาดเอาเสื้อผ้า กระเป๋า ของแบรนด์เนมชื่อดัง ทั้งที่คือปัจจัยฟุ่มเฟือยผลาญเงินทั้งสิ้น             ปลายเท้าก้าวเข้าไปยืนหน้าเคาน์เตอร์เพื่อติดต่อเข้าห้องพักด้วยภาษาฝรั่งเศส ครั้งนี้ถือเป็นการรื้อภาษาไปในตัว การมาครั้งนี้ตระหนักแน่ชัดเธอต้องงัดเอาเล่ห์เหลี่ยมออกมาเพื่อเข้าถึงตัวที่รักของคณาทิปให้ได้ ประชาสัมพันธ์สาวสวยกล่าวต้อนรับทั้งสนทนาขอรายละเอียดของเธอรวมทั้งบัตรเครดิตด้วย พนักงานรับกระเป๋าก้าวเข้ามาจัดการกระเป๋าเดินทางของหญิงสาว เธอปล่อยให้พนักงานนำกระเป๋าขึ้นไปบนห้องก่อน กล่าวว่าขอเดินชมบรรยากาศหรูหราสวยงามของโรงแรมแห่งนี้สักห้าหรือสิบนาที เจ้าหน้าที่สาวยิ้มรับพร้อมส่งกุญแจให้กับพนักงานยกกระเป๋า             หลายครั้งเหมือนเป็นธรรมเนียม และโดยนิสัยส่วนตัวของมะลิเธอชื่นชอบเดินดูสถานที่พักก่อนเข้าพักไม่ว่า         รีสอร์ตเธอ หรือโรงแรมก็ตาม นับจากวินาทีต่อจากนี้ชีวิตเธอย่อมทุ่มให้งานมากกว่าเที่ยวเตร่ งานที่คาดไม่ได้จะสำเร็จลุล่วงด้วยดีหรือเปล่า บางทีอาจคว้าน้ำเหลวกลับเมืองไทย คำตอบเด่นชัดอยู่แล้วเขาไม่ต้อนรับสื่อจากไทยหรือจากที่ไหนก็ตาม             เมื่อชมบรรยากาศ ความงามไม่แปลกตานักสำหรับการจัดตกแต่งสวยและส่วนต่างๆ ของโรงแรมซึ่งโรงแรมที่ไหนก็มักจัดสวนประดับด้วยไม้ดอกไม่ประดับและน้ำตกจำลอง ครู่ต่อมาจึงมาขอกุญแจห้องจากพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ เพื่อขึ้นห้องพัก หญิงสาวบอกปัดการบริการไปส่งแขกถึงหน้าห้อง ร่างบางก้าวไปยืนรอลิฟต์ประตูลิฟต์เปิดกว้าง มะลิไม่รอช้ารีบสาวเท้าเข้าไปด้านใน โชคดีในช่วงเวลานี้ผู้โดยสารลิฟต์มีเพียงเธอไม่ต้องแย่งอากาศกับใคร ช่วงจังหวะประตูลิฟต์กำลังจะปิดพลันมือใครบางคนโผล่พรวดตรงกลางประตูหวังหยุดลิฟต์ไว้ มะลิสะดุ้งรู้สึกตกใจแต่ก็ช่วยอำนวยด้วยการกดปุ่มเปิดลิฟต์             “รอก่อนครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมร่างผู้ชาย กับเครื่องแต่งกายมีระดับตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก้าวเข้ามาส่งภาษาฝรั่งเศสมายังคนที่อยู่ในลิฟต์ก่อน                มะลิใช้สายตาว่องไวนิ่งดังคลื่นในทะเลสาบยามสงบ แอบสำรวจผู้ชาย เขากำลังก้าวเข้ามาในลิฟต์ไม่มีอาการรีบร้อน บางเสี้ยวหัวใจดวงเล็กรู้สึกกระตุก ขณะไล่สายตามองไปเรื่อยๆ จนถึงปลายคางสากล้อมกรอบด้วยไรหนวดเขียวครึ้ม ปลายคางบุ๋มเล็กๆ ไม่มนเรียวอย่างหนุ่มนิยมศัลยกรรมเหลาคางในยุคปัจจุบัน             หญิงสาวขยับไปยืนติดมุมด้านซ้ายแขนและหัวไหล่ซ้ายชิดผนังลิฟต์ ชายตัวสูงที่ก้าวเข้ามาใหม่ประจำตรงแผงปุ่ม ชั้น 15 ที่เธอจะขึ้นไปถูกกดไว้เรียบร้อยจึงไม่จำเป็นต้องไหว้วานเขาเพื่อกดชั้นที่เธอต้องการโดยสารขึ้นไปยังห้องพัก แผ่นหลังเขาผึ่งผายสะกดสายตามะลิให้จดจ้องไม่อาจเคลื่อนไปไปมองจุดอื่น ในลิฟต์ไม่มีวิวให้มองมากนักนอกจากร่างกายภายใต้เสื้อผ้าหรูหราของเขา สังเกตจากสายตาเขารูปร่างดีมากจนความคิดชวนขึ้นปกไทม์ไลน์ แฟชั่นผุดขึ้นมาให้หัว เขาดูดีกว่านายแบบหลายๆคนที่ผ่านมาซะอีก ภาพคู่เต้นรำกลับผุดขึ้นมาอย่างประหลาด เสียดายทั้งเธอและชายหน้ากากดำ ผู้ทรงสง่าไม่ได้มีโอกาสรู้จักกันมากกว่าคู่เต้นรำนิรนามเท่านั้น             ขณะมะลิกำลังคิดอะไรเพลิดเพลิน เธอกลับพบว่าเบื้องหน้าที่เคยเป็นแผ่นหลังของผู้โดยสารร่วมในห้องสี่เหลี่ยมกว้างไม่มากบรรจุคนน้ำหนักตัวปกติได้ราวยี่สิบคน อยู่ชิดเสียจนคิดว่าลิฟต์ถูกบีบให้เหลือพื้นที่เพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้น ครั้นพอเงยหน้าและปรับโฟกัสการรับภาพให้ชัดขึ้น มะลิก็ยิ่งพบว่าใบหน้าหล่อเหลาอุดมไปด้วยความสมบูรณ์ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้นเอง ริมฝีปากหยักยกยิ้มบางจนเกือบไม่เรียกว่ายิ้ม หนุ่มผมสีอ่อนดวงตาสีเทาจ้องมองมายังเธอราวกับกำลังหิวกระหายอะไรสักอย่าง แต่ว่าเธอไม่ใช่ของกินซะหน่อย...             เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากต่อหน้าเธอ ขณะมะลิไม่อาจหนีไปไหนได้ เพราะยืนอยู่ตรงมุมของลิฟต์พอดี หัวใจหญิงสาวสั่นยิ่งกว่าถูกปล่อยให้ตกลงจากรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วสูงพุ่งตกลางตอนกระแสข่าวดังต่อเนื่อง ร่างบางขยับหนีไปอีกมุม หากแต่ยังไม่ทันก้าวกลับถูกลำแขนชายหนุ่มกางกั้น คิดตระหนกขยับไปอีกทางยังโดนลำแขนอีกข้างยกขึ้นเท้าผนังลิฟต์ปิดทาง แววตาหญิงสาวหลุกหลิกหาทางหนีทีไล่ เธอกำลังเผชิญผู้ชายในคราบประชาชนแต่งตัวหรูหราอย่างนั้นหรือ               จังหวะกำลังเตรียมอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ นิ้วใหญ่ขาวสะอาดว่องไวยกขึ้นคว้าหมับเข้าที่ปลายคางมน สิ่งที่รับรู้ต่อมาคือริมฝีปากร้อนลวกดุจเตาหลอมเหล็กกล้าจาบจ้วงประทับกับกลีบปากชมพูหวานของเธออย่างอุกอาจ ไม่มีเวลาแม้ตั้งตัวตั้งรับดวงตาตื่นตระหนกหวาดหวั่นเบิกกว้าง คิดหาหนทางเอาตัวรอด แต่สิ่งที่กำลังรับรู้คือความวาบหวิวในกายเข้ามาแทนการร้องโวยวายหรือหนีเอาตัวรอด 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD