CHAOTIC LOVE : 26

1736 Words
@พีพีเอ็น ผมใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็พาตัวเองเข้ามานั่งสงบเสงี่ยมอยู่ในห้องของท่านประธานได้สำเร็จ ดีที่บริษัทกับบ้านไม่ไกลกันเท่าไหร่ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณเจนิสา ถึงยกเลิกสัญญาทั้งหมด” “....” เพราะผมทำแผนเธอล่มไม่เป็นท่า ก็อยากพูดออกไปแบบนั้นนะ แต่…ไม่ดีกว่า ความจริงคุณอาฉัตรรู้จักเธอในนาม ริสา และไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง ไม่แปลกที่ท่านจะจำไม่ได้ สำคัญคือผมไม่อยากให้ท่านมารับรู้เรื่องไร้สาระพวกนี้ “หลานรู้ไหม ว่าลูกค้ารายนี้สำคัญมาก” คุณอาฉัตรพูดต่อขณะลุกจากเก้าอี้ทำงานเดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งบนโซฟาตัวกลางเพราะผมนั่งอยู่ที่ตัวริม “ผมขอโทษครับ” สิ่งที่ผมพูดได้คงมีแค่นี้และนั่นส่งผลให้ญาติเพียงคนเดียวของผมถอนหายใจทิ้งยาวพลางโคลงศีรษะไปมาอย่างเหนื่อยใจ ริมฝีปากก็ขยับพูดไปด้วย “อาไม่รู้จะอธิบายกับบอร์ดบริหารยังไง เพราะคุณเจนิสา เธอเป็นภรรยาใหม่ของ คุณเจค ลูกค้ารายใหญ่ที่รวมหัวจมท้ายกับพีพีเอ็นมาตั้งแต่พ่อของหลานก่อตั้งบริษัทขึ้นใหม่ๆ” “คุณเจค?” ผมทวนชื่อที่คุณอาฉัตรพูดถึงและเริ่มดึงตัวขึ้นมาตั้งตรง สนใจในเรื่องที่ผู้ใหญ่ตรงหน้าจะพูดมากขึ้น ไม่ใช่ผมไม่รู้จัก แต่แค่แปลกใจว่าผู้ชายอย่างคุณเจคติดกับริสาได้ยังไง “ใช่ เขาเพิ่งแต่งงานเมื่อต้นปีก่อน อายังบินไปแสดงความยินดีกับเขาอยู่เลย” “....” ผมเงียบและคิดตาม ริสา แต่งงานกับคุณเจคไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ เธอน่าจะวางแผนไว้ตั้งแรก เพราะการที่จะล้มพีพีเอ็นได้ ต้องใช้ทั้งเงินและอำนาจ คุณเจคเป็นหนึ่งในลูกค้าอันดับต้นๆ ของบริษัทและถือเป็นผู้มีอิทธิพลแถวหน้าของรัสเซียอีกด้วย ชุบตัวได้แบบคาดไม่ถึงเลยแฮะ…ผมประมาทไม่ได้แล้วซินะ “ปัญหาคือ ถ้าคุณเจคถอนตัวด้วย พีพีเอ็น แย่แน่” คุณอาฉัตรพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ คุณเจคจะไม่ทำแบบนั้น” “ทำไมหลานถึงมั่นใจ” “เพราะไม่ใช่แค่เราเสีย ฝั่งเขาก็เสียเหมือนกัน คุณเจคถือหุ้นของพีพีเอ็นเยอะพอสมควรและยังมีตัวอื่นด้วย ถ้าจะถอนคือต้องถอนทั้งหมด รวมถึงฐานลูกค้าที่ลงในนามของเขาด้วย มันเสี่ยงเกินไป” ผมอธิบายไปตามหลักความเป็นจริง ในส่วนเรื่องของหลังบ้านมีแค่ผมที่รู้ดีที่สุด “กี่เปอร์เซ็นต์” “ผมเทหมดหน้าตัก คนฉลาดไม่มีวันทุบหม้อข้าวตัวเอง” นี่คือสัจธรรมของโลก ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์...ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน ถ้ามีผลประโยชน์รวมกันมันมักจะยาวนานเสมอ นักลงทุนอย่างผมและคุณเจคทราบเรื่องนี้ดี และดูเหมือนคุณอากำลังประมวลผล นั่นจึงเป็นตอนที่ผมอธิบายต่อให้ท่านเห็นภาพชัดขึ้น “คุณเจคไม่ใช่แค่ได้กำไรจากหุ้นของตัวเอง แต่เขายังได้จากการหาลูกค้ามาลงอีกด้วย” “หลานรู้เรื่องนี้มานานแล้วเหรอ” ท่านถามด้วยสีหน้าที่ดูตกใจเล็กน้อย แน่นอนถ้าไม่ได้อยู่ในส่วนของฐานข้อมูลหลังบ้านจะไม่ทราบเรื่องพวกนี้ “ครับ แต่ผมเห็นว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร ดีซะอีกเป็นการกระจายฐานลูกค้าในต่างประเทศ” ผมชี้แจง “อย่างงี้เองซินะ” ท่านว่าอย่างเข้าใจ “และคุณเจคไว้ใจผมมาก เพราะหลายปีที่ผ่านมาผมไม่เคยทำให้เขาขาดทุน” ข้อนี้เป็นเครื่องการันตีว่าคุณเจคไม่มีทางทิ้งคู่ค้าที่ทำผลประโยชน์สูงสุดให้เขา และนี่คือสาเหตุแท้จริงที่ริสาอยากให้ผมถูกถอดจากบอร์ดบริหาร เธออ่านเกมออกว่าผมสร้างฐานลูกค้าอยู่หลังบ้าน ถ้าไม่มีผมสักคน ลูกค้าที่เชื่อมั่นในฝีมือผมจะพาถอนตัวออก เมื่อถึงเวลานั้น พีพีเอ็นจะเหมือนตึกที่เสาเอกร้าวทุกต้น พร้อมที่จะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ ผมพลาดที่ดูถูกเล่ห์เหลี่ยมของผู้หญิงอย่างริสา หวังว่าคุณเจคจะไม่หลงผู้หญิงจนหน้ามืดตามัวหรอกนะ “อาเชื่อใจผมไหม” ผมถามขณะที่คุณอาฉัตรวางแก้วกาแฟลงบนจานรอง “อาต้องเชื่อใจหลานอยู่แล้ว” “เพราะงั้น…ปล่อยลูกค้าอย่างคุณเจนิสาไปซะ ถ้ายังไม่อยากเห็นพีพีเอ็นพังพินาศ ผมสามารถหาลูกค้าให้อาได้มากกว่านี้” สิ้นเสียงผม คนฟังนิ่งไปชั่วขณะ ขมวดคิ้วมุ่น แน่นอนนี่เป็นคำขอที่ยากลำบากสำหรับประธานบริษัท เพราะไม่ใช่แค่ท่านคนเดียวที่จะมีอำนาจในการตัดสินใจ แต่ยังต้องเห็นพ้องต้องกันกับบอร์ดบริหารอีกหลายคนด้วย “โอเค งั้นเดี๋ยวอาจะหาคำพูดไปคุยกับบอร์ดบริหารเอง” ท่านตกปากรับคำหลังจากปล่อยเวลาทิ้งเสียเปล่าไปเกือบนาที ผมจุดยิ้มขึ้นมุมปากอย่างพอใจพลางเอื้อมหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นดื่มและหลังจากที่ผมวางแก้วคืนที่เดิม รู้สึกถึงการถูกจับจ้องจากท่านประธาน ก่อนท่านจะตัดสินใจเอ่ยถาม “ว่าแต่หลานช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง” “เหมือนเดิมครับ” “เออ…เดือนหน้าก็จะถึงวันเกิด…” “ผมขอตัวนะครับ” ผมขัดพร้อมผุดลุกจากโซฟา “โอเคจ๊ะ” และพาตัวเองออกมาจากห้องทำงานของท่านประธานทันทีที่ได้สิ้นเสียงตอบรับ ผมรู้อยู่แล้วว่าท่านจะพูดอะไร แต่ผมแค่ไม่อินกับวันเกิด ออกไปทางไม่ชอบเลยด้วยซ้ำ “จะกลับแล้วเหรอครับ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับร่างหนาของไอ้เตสาวเท้าขึ้นมาขนาบข้าง “แล้วนี่มึงจะไปไหน” ผมปรายตามองไอ้คนที่เป็นทั้งผู้ช่วยเรื่องงานและช่วยชีวิตในเวลาเดียวกัน ถ้าผมไม่ได้มันก็แย่เหมือนกัน “อยากกินกาแฟครับ รู้สึกคอแห้ง” ไม่พูดเปล่า ไอ้คนเจ้าเล่ห์ยังบีบเสียงแหบให้ดูน่าเชื่อถืออีกด้วย “เหอะ…” ผมแค่นหัวเราะขึ้นในลำคออย่างรู้ทัน ก่อนจะหยุดยืนหน้าลิฟต์ “หน้าบริษัทมีร้านมาเปิดใหม่ รสชาติกาแฟคือที่สุด อีกอย่างขนมอร่อยยังงี้เลย” ไอ้เตพูดขณะเอื้อมไปกดปุ่มด้านหน้าและดึงตัวกลับมายืนตรง ยกนิ้วโป้งขึ้นพอดีกับคำว่า ยังงี้ เพื่อยืนยันความสุดยอดในประโยคบอกเล่าของมัน “กูต้องรู้ไหม” ผมถามก่อนจะก้าวเข้าลิฟต์ทั้งที่ประตูยังเปิดไม่เต็มบาน ดีที่ไม่มีทั้งคนออกและคนเข้า เพราะฉะนั้นจึงมีแค่ผมกับไอ้เตสองคน และพอมันกำหนดตำแหน่งที่ลิฟต์จะต้องลงจอดเสร็จก็หันมาบ่นใส่ผมทันที “ใจร้ายจังวะ อุตส่าห์ปูมาซะยาวเหยียด ตัดบทซะงั้น” “ถ้าจะแดกก็เงียบปาก” ผมสวนพลางล้วงมือถือออกมาเช็กดู ไม่มีข้อความหรือสายโทรเข้า แสดงว่าหมาน้อยยังไม่ตื่น ตอนไปเรียนเธอเคยเข้าเรียนทันบ้างไหมวะ ตื่นสายขนาดนี้… ไม่นานไอ้เตมันก็พาผมเดินมาเข้าร้านที่มันอวดสรรพคุณไว้ดิบดี หน้าตาก็ไม่ได้ต่างจากร้านกาแฟทั่วไป คนอยากกินของฟรีรีบออกนำไปสั่งกาแฟหน้าเคาน์เตอร์โดยไม่รอคำสั่ง “ผมสั่งกาแฟให้แล้วนะ” มันหันมาบอกในตอนที่ผมไปยืนจ้องขนมเค้กที่หวานอยู่หน้าตู้โชว์และผมไม่ได้สนใจที่มันพูดเลยสักนิด “เอานี่ด้วย กลับบ้านนะครับ” ผมเอ่ยปากบอกพนักงานที่อยู่ด้านใน “รับชิ้นไหนบ้างคะ” คำถามนี่ยากแฮะ…ผมดึงตัวขึ้นตรงใช้มือลูบปลายค้างขณะคิดว่ามันเหมือนกันไหมวะ แต่ถ้าเหมือนเขาจะทำออกมาให้แตกต่างกันเพื่อ? สายตายังไล่มองขนมหลายอย่างภายในตู้ ซึ่งน่าจะเกินสิบ “อันนี้อร่อยสุด” ไอ้เตเสนอและชี้ไปที่เค้กสามเหลี่ยมสีแดงก่ำซึ่งป้ายมันเขียนว่า เรดเวลเวท และผมไม่เคยรู้ถึงรสชาติของพวกนี้เลย เพราะผมไม่แตะขนมเค้กมาเกือบยี่สิบปีได้แล้วมั่ง “เอาหมดเลยครับ อย่างละชิ้น” ในเมื่อมันยากนักก็… “หื้ม เตรียมตัวไปต่อคิวตรวจเบาหวานได้เลยนะ ถ้าแดกหมดนี่” มันทำหน้าตกใจ “เรื่องของกู” ผมบอกเสียงเรียบ ก่อนจะควักแบงก์เทาออกมาจากกระเป๋าตังค์ส่งให้มันสองใบ “เอ๊ะ…หรือซื้อฝากใคร ใช่เจ้าของเสียงที่ผมได้ยินแว่วๆ รึเปล่าน้า” ไอ้ผู้ช่วยตัวดีเอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ มันเก่งนะ ฉลาดมากด้วย แต่สอดรู้สอดเห็นฉิบหาย “ไม่เสือก” ผมอ้าปากบอกมันเน้นๆ แต่ลดเสียงให้อยู่ในระดับที่ได้ยินแค่สองคน ก่อนจะเดินออกมานอกร้าน เลี่ยงไปด้านข้างที่เตรียมไว้สำหรับดูดบุหรี่โดยเฉพาะ นี่คงเป็นกิจกรรมเดียวที่ทำเพื่อฆ่าเวลาได้ในตอนนี้ ผ่านไปไม่ถึงห้านาที ไอ้เตก็เดินออกมาพร้อมถุงกระดาษสองใบที่คล้องตรงข้อพับแขนและแก้วกาแฟในสองมือ มองซ้ายมองขวาก่อนจะไปหาที่นั่งรอ เพราะมันเห็นแล้วว่าผมทำอะไรอยู่ ผมขยี้ก้นบุหรี่กับทรายที่อยู่บนถังและเดินกลับไปหน้าร้าน “แล้วท่านประธานว่าไงบ้าง” มันเอ่ยถามทันทีที่ผมดึงเก้าอี้ข้างมันออกมานั่ง “ก็ไม่ว่าไง มึงอะเก็บความลับไว้ให้ดีเหอะ” “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมไม่เคยปริปากเรื่องเจ้านายอยู่แล้ว เพราะงั้นถึงผมจะรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ผมก็ไม่บอกใครอยู่แล้ว บอกผมเถอะนะ” วกกลับมาเรื่องนี้อีกจนได้ “เอาตีนกูยัดปากไว้ไหม ถ้ามันว่างขนาดนั้น” “เกรี้ยวกราดที่หนึ่ง”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD