@พีพีเอ็น
ผมใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็พาตัวเองเข้ามานั่งสงบเสงี่ยมอยู่ในห้องของท่านประธานได้สำเร็จ ดีที่บริษัทกับบ้านไม่ไกลกันเท่าไหร่
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณเจนิสา ถึงยกเลิกสัญญาทั้งหมด”
“....” เพราะผมทำแผนเธอล่มไม่เป็นท่า ก็อยากพูดออกไปแบบนั้นนะ แต่…ไม่ดีกว่า ความจริงคุณอาฉัตรรู้จักเธอในนาม ริสา และไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง ไม่แปลกที่ท่านจะจำไม่ได้ สำคัญคือผมไม่อยากให้ท่านมารับรู้เรื่องไร้สาระพวกนี้
“หลานรู้ไหม ว่าลูกค้ารายนี้สำคัญมาก” คุณอาฉัตรพูดต่อขณะลุกจากเก้าอี้ทำงานเดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งบนโซฟาตัวกลางเพราะผมนั่งอยู่ที่ตัวริม
“ผมขอโทษครับ” สิ่งที่ผมพูดได้คงมีแค่นี้และนั่นส่งผลให้ญาติเพียงคนเดียวของผมถอนหายใจทิ้งยาวพลางโคลงศีรษะไปมาอย่างเหนื่อยใจ ริมฝีปากก็ขยับพูดไปด้วย
“อาไม่รู้จะอธิบายกับบอร์ดบริหารยังไง เพราะคุณเจนิสา เธอเป็นภรรยาใหม่ของ คุณเจค ลูกค้ารายใหญ่ที่รวมหัวจมท้ายกับพีพีเอ็นมาตั้งแต่พ่อของหลานก่อตั้งบริษัทขึ้นใหม่ๆ”
“คุณเจค?” ผมทวนชื่อที่คุณอาฉัตรพูดถึงและเริ่มดึงตัวขึ้นมาตั้งตรง สนใจในเรื่องที่ผู้ใหญ่ตรงหน้าจะพูดมากขึ้น
ไม่ใช่ผมไม่รู้จัก แต่แค่แปลกใจว่าผู้ชายอย่างคุณเจคติดกับริสาได้ยังไง
“ใช่ เขาเพิ่งแต่งงานเมื่อต้นปีก่อน อายังบินไปแสดงความยินดีกับเขาอยู่เลย”
“....” ผมเงียบและคิดตาม ริสา แต่งงานกับคุณเจคไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ เธอน่าจะวางแผนไว้ตั้งแรก เพราะการที่จะล้มพีพีเอ็นได้ ต้องใช้ทั้งเงินและอำนาจ คุณเจคเป็นหนึ่งในลูกค้าอันดับต้นๆ ของบริษัทและถือเป็นผู้มีอิทธิพลแถวหน้าของรัสเซียอีกด้วย
ชุบตัวได้แบบคาดไม่ถึงเลยแฮะ…ผมประมาทไม่ได้แล้วซินะ
“ปัญหาคือ ถ้าคุณเจคถอนตัวด้วย พีพีเอ็น แย่แน่” คุณอาฉัตรพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ คุณเจคจะไม่ทำแบบนั้น”
“ทำไมหลานถึงมั่นใจ”
“เพราะไม่ใช่แค่เราเสีย ฝั่งเขาก็เสียเหมือนกัน คุณเจคถือหุ้นของพีพีเอ็นเยอะพอสมควรและยังมีตัวอื่นด้วย ถ้าจะถอนคือต้องถอนทั้งหมด รวมถึงฐานลูกค้าที่ลงในนามของเขาด้วย มันเสี่ยงเกินไป” ผมอธิบายไปตามหลักความเป็นจริง ในส่วนเรื่องของหลังบ้านมีแค่ผมที่รู้ดีที่สุด
“กี่เปอร์เซ็นต์”
“ผมเทหมดหน้าตัก คนฉลาดไม่มีวันทุบหม้อข้าวตัวเอง” นี่คือสัจธรรมของโลก ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์...ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน ถ้ามีผลประโยชน์รวมกันมันมักจะยาวนานเสมอ
นักลงทุนอย่างผมและคุณเจคทราบเรื่องนี้ดี
และดูเหมือนคุณอากำลังประมวลผล นั่นจึงเป็นตอนที่ผมอธิบายต่อให้ท่านเห็นภาพชัดขึ้น
“คุณเจคไม่ใช่แค่ได้กำไรจากหุ้นของตัวเอง แต่เขายังได้จากการหาลูกค้ามาลงอีกด้วย”
“หลานรู้เรื่องนี้มานานแล้วเหรอ” ท่านถามด้วยสีหน้าที่ดูตกใจเล็กน้อย แน่นอนถ้าไม่ได้อยู่ในส่วนของฐานข้อมูลหลังบ้านจะไม่ทราบเรื่องพวกนี้
“ครับ แต่ผมเห็นว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร ดีซะอีกเป็นการกระจายฐานลูกค้าในต่างประเทศ” ผมชี้แจง
“อย่างงี้เองซินะ” ท่านว่าอย่างเข้าใจ
“และคุณเจคไว้ใจผมมาก เพราะหลายปีที่ผ่านมาผมไม่เคยทำให้เขาขาดทุน” ข้อนี้เป็นเครื่องการันตีว่าคุณเจคไม่มีทางทิ้งคู่ค้าที่ทำผลประโยชน์สูงสุดให้เขา
และนี่คือสาเหตุแท้จริงที่ริสาอยากให้ผมถูกถอดจากบอร์ดบริหาร เธออ่านเกมออกว่าผมสร้างฐานลูกค้าอยู่หลังบ้าน ถ้าไม่มีผมสักคน ลูกค้าที่เชื่อมั่นในฝีมือผมจะพาถอนตัวออก เมื่อถึงเวลานั้น พีพีเอ็นจะเหมือนตึกที่เสาเอกร้าวทุกต้น พร้อมที่จะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ
ผมพลาดที่ดูถูกเล่ห์เหลี่ยมของผู้หญิงอย่างริสา
หวังว่าคุณเจคจะไม่หลงผู้หญิงจนหน้ามืดตามัวหรอกนะ
“อาเชื่อใจผมไหม” ผมถามขณะที่คุณอาฉัตรวางแก้วกาแฟลงบนจานรอง
“อาต้องเชื่อใจหลานอยู่แล้ว”
“เพราะงั้น…ปล่อยลูกค้าอย่างคุณเจนิสาไปซะ ถ้ายังไม่อยากเห็นพีพีเอ็นพังพินาศ ผมสามารถหาลูกค้าให้อาได้มากกว่านี้”
สิ้นเสียงผม คนฟังนิ่งไปชั่วขณะ ขมวดคิ้วมุ่น แน่นอนนี่เป็นคำขอที่ยากลำบากสำหรับประธานบริษัท เพราะไม่ใช่แค่ท่านคนเดียวที่จะมีอำนาจในการตัดสินใจ แต่ยังต้องเห็นพ้องต้องกันกับบอร์ดบริหารอีกหลายคนด้วย
“โอเค งั้นเดี๋ยวอาจะหาคำพูดไปคุยกับบอร์ดบริหารเอง” ท่านตกปากรับคำหลังจากปล่อยเวลาทิ้งเสียเปล่าไปเกือบนาที
ผมจุดยิ้มขึ้นมุมปากอย่างพอใจพลางเอื้อมหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นดื่มและหลังจากที่ผมวางแก้วคืนที่เดิม รู้สึกถึงการถูกจับจ้องจากท่านประธาน ก่อนท่านจะตัดสินใจเอ่ยถาม
“ว่าแต่หลานช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”
“เหมือนเดิมครับ”
“เออ…เดือนหน้าก็จะถึงวันเกิด…”
“ผมขอตัวนะครับ” ผมขัดพร้อมผุดลุกจากโซฟา
“โอเคจ๊ะ”
และพาตัวเองออกมาจากห้องทำงานของท่านประธานทันทีที่ได้สิ้นเสียงตอบรับ ผมรู้อยู่แล้วว่าท่านจะพูดอะไร แต่ผมแค่ไม่อินกับวันเกิด ออกไปทางไม่ชอบเลยด้วยซ้ำ
“จะกลับแล้วเหรอครับ” เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับร่างหนาของไอ้เตสาวเท้าขึ้นมาขนาบข้าง
“แล้วนี่มึงจะไปไหน” ผมปรายตามองไอ้คนที่เป็นทั้งผู้ช่วยเรื่องงานและช่วยชีวิตในเวลาเดียวกัน ถ้าผมไม่ได้มันก็แย่เหมือนกัน
“อยากกินกาแฟครับ รู้สึกคอแห้ง” ไม่พูดเปล่า ไอ้คนเจ้าเล่ห์ยังบีบเสียงแหบให้ดูน่าเชื่อถืออีกด้วย
“เหอะ…” ผมแค่นหัวเราะขึ้นในลำคออย่างรู้ทัน ก่อนจะหยุดยืนหน้าลิฟต์
“หน้าบริษัทมีร้านมาเปิดใหม่ รสชาติกาแฟคือที่สุด อีกอย่างขนมอร่อยยังงี้เลย” ไอ้เตพูดขณะเอื้อมไปกดปุ่มด้านหน้าและดึงตัวกลับมายืนตรง ยกนิ้วโป้งขึ้นพอดีกับคำว่า ยังงี้ เพื่อยืนยันความสุดยอดในประโยคบอกเล่าของมัน
“กูต้องรู้ไหม” ผมถามก่อนจะก้าวเข้าลิฟต์ทั้งที่ประตูยังเปิดไม่เต็มบาน ดีที่ไม่มีทั้งคนออกและคนเข้า เพราะฉะนั้นจึงมีแค่ผมกับไอ้เตสองคน และพอมันกำหนดตำแหน่งที่ลิฟต์จะต้องลงจอดเสร็จก็หันมาบ่นใส่ผมทันที
“ใจร้ายจังวะ อุตส่าห์ปูมาซะยาวเหยียด ตัดบทซะงั้น”
“ถ้าจะแดกก็เงียบปาก” ผมสวนพลางล้วงมือถือออกมาเช็กดู ไม่มีข้อความหรือสายโทรเข้า แสดงว่าหมาน้อยยังไม่ตื่น ตอนไปเรียนเธอเคยเข้าเรียนทันบ้างไหมวะ ตื่นสายขนาดนี้…
ไม่นานไอ้เตมันก็พาผมเดินมาเข้าร้านที่มันอวดสรรพคุณไว้ดิบดี หน้าตาก็ไม่ได้ต่างจากร้านกาแฟทั่วไป คนอยากกินของฟรีรีบออกนำไปสั่งกาแฟหน้าเคาน์เตอร์โดยไม่รอคำสั่ง
“ผมสั่งกาแฟให้แล้วนะ” มันหันมาบอกในตอนที่ผมไปยืนจ้องขนมเค้กที่หวานอยู่หน้าตู้โชว์และผมไม่ได้สนใจที่มันพูดเลยสักนิด
“เอานี่ด้วย กลับบ้านนะครับ” ผมเอ่ยปากบอกพนักงานที่อยู่ด้านใน
“รับชิ้นไหนบ้างคะ”
คำถามนี่ยากแฮะ…ผมดึงตัวขึ้นตรงใช้มือลูบปลายค้างขณะคิดว่ามันเหมือนกันไหมวะ แต่ถ้าเหมือนเขาจะทำออกมาให้แตกต่างกันเพื่อ? สายตายังไล่มองขนมหลายอย่างภายในตู้ ซึ่งน่าจะเกินสิบ
“อันนี้อร่อยสุด” ไอ้เตเสนอและชี้ไปที่เค้กสามเหลี่ยมสีแดงก่ำซึ่งป้ายมันเขียนว่า เรดเวลเวท และผมไม่เคยรู้ถึงรสชาติของพวกนี้เลย เพราะผมไม่แตะขนมเค้กมาเกือบยี่สิบปีได้แล้วมั่ง
“เอาหมดเลยครับ อย่างละชิ้น” ในเมื่อมันยากนักก็…
“หื้ม เตรียมตัวไปต่อคิวตรวจเบาหวานได้เลยนะ ถ้าแดกหมดนี่” มันทำหน้าตกใจ
“เรื่องของกู” ผมบอกเสียงเรียบ ก่อนจะควักแบงก์เทาออกมาจากกระเป๋าตังค์ส่งให้มันสองใบ
“เอ๊ะ…หรือซื้อฝากใคร ใช่เจ้าของเสียงที่ผมได้ยินแว่วๆ รึเปล่าน้า” ไอ้ผู้ช่วยตัวดีเอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ มันเก่งนะ ฉลาดมากด้วย แต่สอดรู้สอดเห็นฉิบหาย
“ไม่เสือก” ผมอ้าปากบอกมันเน้นๆ แต่ลดเสียงให้อยู่ในระดับที่ได้ยินแค่สองคน ก่อนจะเดินออกมานอกร้าน เลี่ยงไปด้านข้างที่เตรียมไว้สำหรับดูดบุหรี่โดยเฉพาะ นี่คงเป็นกิจกรรมเดียวที่ทำเพื่อฆ่าเวลาได้ในตอนนี้
ผ่านไปไม่ถึงห้านาที ไอ้เตก็เดินออกมาพร้อมถุงกระดาษสองใบที่คล้องตรงข้อพับแขนและแก้วกาแฟในสองมือ มองซ้ายมองขวาก่อนจะไปหาที่นั่งรอ เพราะมันเห็นแล้วว่าผมทำอะไรอยู่
ผมขยี้ก้นบุหรี่กับทรายที่อยู่บนถังและเดินกลับไปหน้าร้าน
“แล้วท่านประธานว่าไงบ้าง” มันเอ่ยถามทันทีที่ผมดึงเก้าอี้ข้างมันออกมานั่ง
“ก็ไม่ว่าไง มึงอะเก็บความลับไว้ให้ดีเหอะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมไม่เคยปริปากเรื่องเจ้านายอยู่แล้ว เพราะงั้นถึงผมจะรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ผมก็ไม่บอกใครอยู่แล้ว บอกผมเถอะนะ” วกกลับมาเรื่องนี้อีกจนได้
“เอาตีนกูยัดปากไว้ไหม ถ้ามันว่างขนาดนั้น”
“เกรี้ยวกราดที่หนึ่ง”