“เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องดีรึไง” เขาเริ่มทำลายความเงียบด้วยประโยคคำถามที่ฉันก็ไม่เข้าใจ ก่อนที่หันกลับมาย่นคิ้วมองเจ้าของเสียงเรียบ เขาถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “คนที่เสียหายไม่ใช่ฉัน แต่เป็นเธอ”
“แต่เราก็ไม่ได้ทำอะไรนิ” ฉันแย้งพลางดึงตัวขึ้นตรง
“แล้วใครจะเชื่อ” อันนี้ก็น่าคิด ดูเหมือนเขากำลังพยายามอธิบายไม่ให้ฉันเข้าใจผิดอยู่เลยนะ
“เข้าใจแล้วค่ะ” ฉันพยักหน้ารับ ในตอนที่เริ่มคิดได้ ว่ามันก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรป่าวประกาศจริงๆนั่นแหละ เรื่องแบบนี้ควรเป็นผู้ชายรึเปล่าที่ต้องเป็นฝ่ายพูดก่อน โอ๊ะ…นี่ฉันคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย เป็นเพราะเขาเลย...ชอบทำให้คิดว่ามีหวังอยู่เรื่อย
“โตแล้ว ทำอะไรคิดเยอะๆ หน่อย”
“พูดเหมือนป๊าเพลินเลยนะคะ”
“ย้อน?” เขาเอียงคอมองฉันชั่วขณะ ก่อนจะดึงขึ้นมองตรงเพราะรถยังแล่นอยู่บนถนน
“เปล่าซะหน่อย” ซึ่งความจริงก็แอบทำแบบนั้นนิดหน่อย ทีเขายังบอกว่าฉันถามเป็นแม่ ได้เลย
“ก็เธอมันดื้อแบบนี้ไง ผู้ชายไม่ได้เหมือนฉันทุกคนหรอกนะ อย่าไว้ใจใครง่ายเกินไป”
“วิญญาณป๊าเข้าสิงรึเปล่าเนี่ย” ฉันกลั้นยิ้มขณะเอ่ยแซว วันนี้เขาพูดเยอะมาก…
และไอ้ที่ว่าไม่มีใครเหมือนเขา อันนี้ไม่เถียงเลยนะ ผู้ชายที่ไหนจะดุเหมือนเขา
“....” เนี่ย…คิดยังไม่ทันจบ ส่งสายตาพิฆาตมาอีกแล้ว
“โอเคค่ะ เพลินจะเชื่อฟังที่เฮียพูดทุกอย่าง”
หลังจากนั้นเราก็ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมเป็นเวลาหลายนาที แต่สายตาฉันยังเหลือบมองผู้ชายที่ประคองพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียวส่วนอีกข้างตั้งศอกกับขอบประตู ปลายนิ้วลูบคางเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา และไม่ว่าหน้าเขาจะยุ่งแค่ไหน เขาก็ยังดูดีมากอยู่ เหมือนพระเจ้าสร้างเขามาให้เหมาะกับหน้าอารมณ์ไม่จอยแบบนี้
ฉันไม่อาจละสายตาจากเขาได้เลยสักวินาที ความจริงฉันเริ่มชอบเขาจากหน้าตาล้วนๆ และมันเหมือนจะมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวเวลาได้อยู่ใกล้เขา
ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่อยู่ในส่วนลึก…ทำไมนะ
ทำไมเขาต้องพยายามซ้อนมันไว้
ต่อมามีเสียงพ่นลมหายใจยาวดังก้องภายในรถ และนั่นเป็นสิ่งที่บอกให้ฉันผละสายตาจากเจ้าใบหน้าหล่อเหล้า คนถูกจับจ้องเป็นเวลานานคงหงุดหงิดน่าดู
ไม่นานรถก็เลี้ยวเข้าจุดหมาย
“จอดตรงนี้ก็ได้ค่ะ” ฉันว่าพลางปลดเข็มขัดนิรภัยออก แต่ดูเหมือนรถจะยังเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ
“เฮียจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแลกบัตรเข้าไป”
พอพูดจบรถถึงหยุดสนิทตรงปากทางเข้าลานจอดรถของโรงแรม
“ขอบคุณนะคะ” ฉันฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ แต่ก่อนจะปิดฉันยังไม่ลืมที่จะก้มลงมากำชับอีกหนึ่งเรื่องกับเขา
“พรุ่งนี้ เฮียต้องไปนะคะ บ๊ายบายค่ะ” มือเล็กยกขึ้นโบกเล็กน้อยก่อนจะดันประตูปิดด้วยความทะนุถนอม ถึงจะไม่มีเสียงตอบรับแต่ลึกๆ ฉันก็มีหวังว่าจะได้เจอเขาที่ลานกางเต็นท์
[Part Peerakan]
ฝีเท้าผมสลับเป็นเหยียบเบรกกะทันหันขณะเหลือบมองกระจกกลาง สิ่งที่ผมเห็นไม่ได้มีแค่ผู้หญิงที่เพิ่งลงจากรถผมเท่านั้น มีเลนส์กล้องโผล่ออกมาจากเสาริมสุด ซึ่งถ้าอยู่ในลานจอดรถจะไม่สังเกตเห็นเลยสัญชาตญาณมันบอกว่ามีบางอย่างผิดปกตินั่นจึงทำให้ผมละสายตาไม่ได้เลย ไม่มีคนบ้าที่ไหนมายืนที่ถ่ายรูปอยู่ในลานจอดรถของโรงแรม ถ้ามีก็คนเป็นนักสืบที่ถูกส่งมาจับตาดูผัวแอบมากกเมียน้อย
ประเด็นคือเลนส์กล้องมันดันหันตามยัยหมาน้อยจนกระทั่งรถเธอเคลื่อนออก ผมเหยียบคันเร่งหันเบี่ยงออกอีกทางเพื่อให้พ้นสายตาเธอ ก่อนจะหักพวงมาลัยย้อนกลับมาขว้างหน้ารถคันที่พยายามจะขับตามออกไปจนเกิดเสียงเบรกดังเอี๊ยดในระยะประชิด
ผมเอื้อมหยิบปืนในเก๊ะหน้ารถมาเหน็บเอวแล้วเปิดประตูลงจากรถทันที
แน่นอนอันดับแรกผมก้มสำรวจลูกรักก่อนเลย ถ้ามีแม้แต่รอยขีดข่วนรับรองว่าไอ้เวรนี่ไม่ตายดีแน่ แต่โชคยังเข้าข้าง…มันรอดเรื่องรถ
ก๊อก…ก๊อก
ผมเดินไปขนาบข้างประตูใช้หลังข้อนิ้วเคาะกระจกฝั่งคนขับอย่างใจเย็น ไม่ถึงครึ่งนาทีกระจกก็เลื่อนลงจนสุด เผยให้เห็นผู้ชายปิดแมสอยู่หลังพวงมาลัย ดูแล้วเหมือนจะเป็นแค่เด็กฝึก เพราะดูอ่อนประสบการณ์เหลือเกิน
“กูไม่อยากรู้ว่าใครจ้างมึงมา” ผมโน้มตัวลง วางพาดท่อนแขนบริเวณช่องวางประตูรถ
“....” มันหันมามองหน้าผมแบบนิ่งๆ แต่นัยน์ตาฉายแววประหม่า แน่นอนอยู่แล้วถ้ามันถูกจ้างมาตามยัยหมาน้อยจริงๆ มันต้องรู้เรื่องของผมด้วย
“แต่กูอยากดูรูปที่อยู่ในนั้น” ผมว่าพลางเหลือบมองกล้องที่วางอยู่บนเบาะฝั่งคนนั่งและไม่ลืมที่จะเปิดเสื้อขึ้นเล็กน้อย คนในรถเบิกตากว้าง หน้าถอดสีฉับพลัน แม้แต่การควบคุมเสียงไม่ให้สั่นยังยาก
“คะ…คือว่า”
“เร็ว!!” สิ้นเสียงตวาด กล้องถูกส่งมาให้ผมทันที
“ครับ…ครับ”
“เขาจ้างมึงเท่าไหร่” ผมถามขณะเลื่อนดูรูปที่มันถ่ายไว้ก่อนหน้านี้ มีตั้งแต่รูปตอนเธอเปิดประตูลงจากรถผม จนถึงรถที่เธอขับออกไป
“สะ…สามหมื่นครับ”
“กระจอก” ผมแสยะยิ้ม ปรายตามองไอ้หน้าอ่อนที่รับงานไม่ดูตาม้าตาเรือ รนหาที่ชัดๆ ผมไม่ยุ่งกับใครถ้าไม่มาล้ำเส้นผมก่อน เมมโมรี่การ์ดถูกปลดออกมาจากกล้องแล้วโยนสิ่งที่ดูเหมือนจะไร้ค่าในเวลานี้คืนให้มัน
“และถ้ายังไม่เลิกตามผู้หญิงคนนั้น มึงเตรียมไปเซฮัลโหลยมบาลได้เลย” น้ำเสียงทุ้มต่ำของผมทำให้คนในรถลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ปึกกก!!
ประตูรถถูกถีบอย่างแรงเพื่อเป็นการทิ้งท้ายทำเอาคนในรถสะดุ้งโหยง ก่อนจะพาตัวเองกลับขึ้นรถและวกเข้าไปในลานจอดรถของโรงแรมอีกครั้ง
“แม่งเอ๊ย!!” กำปั้นถูกยกทุบพวงมาลัยอย่างแรงหลายครั้ง ความจริงอย่างทุบหัวตัวเองด้วยซ้ำ…เสือกลืมนึกถึงกล้องวงจรปิดไปได้ยังไงวะ
คนอยู่เบื้องหลังแผนการคงจะใช้เงินที่เพิ่งเคยมีจนล้นหัว ฟาดไปที่ทุกอย่างที่ต้องการ แต่ยังดีที่เธอไม่ได้มีอำนาจมากพอในการทำเรื่องชั่วๆ ได้ง่ายขนาดนั้น แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดี
ในเมื่อทำอะไรผมไม่ได้ เป้าหมายก็เลยกลายเป็นคนใกล้ตัวแทน หมาน้อยดวงซวยชะมัดที่ถูกผมลากเข้ามาในชีวิต มีเรื่องให้ปวดหัวอีกแล้วซินะ…