[Part Plernta]
วันต่อมา…
21:00 น.
@Sosay Pub
เพลินเอาเสื้อมาคืนค่ะ : Plern_TA
รอข้างหน้านะคะ : Plern_TA
เสียงล็อกหน้าจอมือถือดังขึ้นพร้อมกับเสียงถอนหายใจแรง พื้นรองเท้าส้นสูงเสียดสีพื้นดังต่อเนื่องไม่หยุดเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ข้อความถูกส่งไปตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เปิดอ่านและไม่มีวี่แววว่าเขาจะลงมาด้วย นึกว่าจะดีกว่านี้แล้วซะอีก ปกติก็แค่ไม่ตอบ แต่นี่เล่นไม่เปิดอ่านเลย
หรือว่าวันนี้เขาไม่มา จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเขารึเปล่านะ…
มิณก็ดันไปกินข้าวกับทางบ้านรุ่นพี่ยูตะอีก ไม่มีใครให้ถามเลยทีนี้ ขึ้นไปหาเลยละกัน…
ปกติชั้น VIP ของที่นี่จะเต็มเกือบทุกวัน มีคนเดินขึ้นเดินลงตลอดและมีพนักงานประจำของแต่ละห้องอีกด้วย ส่วนจุดหมายของฉันคือห้องใหญ่ริมสุด เป็นห้องเฉพาะของกลุ่มเขาที่ห้ามคนนอกเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาด
แต่ฉันก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปซะหน่อย แค่เคาะเรียก…
ก๊อก...ก๊อก
นิ่งสนิท…
ก๊อกๆๆ
ฉันเอาหูแนบประตูเพื่อฟังเสียงจากด้านในสักพักก่อนจะดึงตัวขึ้นตรง เอื้อมมือจับลูกบิด มองซ้ายมองขวาและค่อยๆ แง้มเปิดเล็กน้อย แล้วสอดส่องสายตาสำรวจด้านใน แต่ก็พบเพียงโซฟาว่างเปล่า นั่นจึงเป็นตอนที่ฉันกล้าดันประตูให้เปิดกว้าง ก่อนจะก้าวเข้าไป พลางชะโงกมองตามมุมของห้องอย่างถือวิสาสะ
“ไม่มาจริงๆ ด้วยแฮะ” ไม่ใช่แค่เขา…แต่ไม่มีใครมาเลยสักคน ฉันพ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูก ถอยหลังออกพร้อมดึงประตูเพื่อจะปิดคืน
“อะ…ฮึ่ม”
เพียงแค่เสียงกระแอมเบาๆ จากด้านหลัง ก็ทำให้ผู้บุกรุกอย่างฉันสะดุ้งจนสุดตัวได้ มือเล็กทั้งสองข้างปล่อยจากทุกสิ่งอย่างที่จับไว้ในตอนแรกด้วยความตกใจกลัวที่โดนจับได้ว่าแอบเข้าไปในห้องนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต ส่งผลให้ถุงกระดาษร่วงลงสู่พื้นจนเกิดเสียงดังตุบ
เคยได้ยินว่าถ้าสารภาพโทษจะลดเหลือครึ่งหนึ่ง และไม่ว่าเขาจะเป็นใคร คงไม่ใจร้ายจับผู้หญิงตัวเล็กๆ โยนออกไปข้างนอกหรอกใช่ไหม…
ฉันก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง แล้วค่อยๆ หมุนตัวกลับมา
“ใครอนุญาตให้เข้าไป?”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมาทำดวงตาฉันเบิกกว้างพลางกลั้นลมหายใจ เหตุเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าคือเฮียฟิวส์ก็ส่วนหนึ่ง แต่สำคัญกว่านั้นคือคนตัวสูงเล่นโน้มหน้าลงมาในระดับเดียวกัน
...และฉันไม่ได้คิดว่าเขาจะเข้าใกล้มากขนาดนี้
เท้าเล็กขยับถอยเพื่อตั้งหลัก ส่งผลให้ประตูที่ยังไม่ถูกปิดสนิทในตอนแรกค่อยๆ เปิดออก ขณะเดียวกันฉันเริ่มเสียการทรงตัวเพราะดันทิ้งน้ำหนักทั้งหมดไปที่มันและเริ่มสัมผัสได้ถึงอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
ปึงงง!!
ทว่า คนตัวสูงตรงหน้าเอื้อมคว้าประตูดึงปิดสนิทอย่างแรงจนเกิดการกระแทกกลับของร่างกายฉัน
เปลือกตาปิดลงสนิท เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน ฉันสตั้นนิ่ง เมื่อริมฝีปากสัมผัสถึงความลื่นของเนื้อผ้าชั้นดีและกลิ่นสปอร์ตสุดหรูปะทะเข้าจมูกอย่างจัง อัตราการเต้นของหัวใจพุ่งขึ้นสูงจนสมาร์ทวอทช์แจ้งเตือนหลังจากที่ลืมตาขึ้นเห็นแผงอกแกร่งอยู่ประชิดใบหน้า มิหนำซ้ำมือทั้งสองข้างยังเกาะอยู่บนไหล่เขาอย่างอุกอาจ
“จิ๊!!” คนหวงตัวส่งเสียงแสดงถึงความไม่พอใจ นั่นจึงเป็นตอนที่โลกกลับมาขับเคลื่อนปกติ แต่สติฉันยังคืนมาไม่ครบถ้วนดี
ร่างกายก็ถูกดันออกให้พ้นทาง ก่อนที่เฮียฟิวส์จะเปิดประตูเข้าไปในห้อง
นี่ฉันควรตกใจกับอะไรก่อน…ตกใจที่ได้สัมผัสกล้ามหน้าอกแน่นๆ หรือตกใจที่เขาไม่ต่อว่าฉันสักคำ มือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองอย่างเผลอไผล ความร้อนเห่อขึ้นใบหน้าทันที นี่ขนาดยังมีเสื้อผ้ากั้นนะเนี่ย…
มือถูกลดลงแนบลำตัวอย่างไว ตอนที่เฮียฟิวส์เดินกลับออกมา
“ไม่รู้รึไง ว่าห้องนี้ห้ามคนนอกเข้า” เขาเอ่ยถามขณะดึงประตูปิด
“ขะ..ขอโทษค่ะ เพลินแค่จะ…เอา…” ฉันว่าพลางหลุบมองแผงอกของเขาและมันจะไม่เกิดรีแอคชั่นใดๆ ถ้ารอยลิปสติกที่ประทับอยู่บนเสื้อนั้นมันไม่ใช่ของฉัน หัวใจกระหน่ำเต้นโครมครามไม่หยุด เสียงที่เปล่งออกมาก็สั่นเกินกว่าจะควบคุม
“จะ…เอา สืนมาเคื้อ”
“หื้ม?” สติถูกต้อนกลับมาจากการถูกทักท้วงและเลื่อนสายตาขึ้นโฟกัสคิ้วเข้มที่ขมวดเป็นปม
นี่ฉันพูดผิดเหรอวะเนี่ย...อยากจะตบกระบาลตัวเองจริงๆ
“เอ๊ย!! เอาเสื้อมาคืนค่ะ” ฉันรีบแก้
“เหอะ แล้วบอกว่าจะสูบแรงฉันจนหมดตัว แค่นี้ยังล่ก” น้ำเสียงเย้ยหยันบวกกับคำดูถูก ทำให้ฉันพยายามข่มอารมณ์ให้เป็นปกติ
“ไม่ได้ล่กสักหน่อย”
เขายกยิ้มมุมปากพลางโคลงศีรษะไปมาเล็กน้อย ก่อนจะก้มหยิบถุงกระดาษบนพื้นมาถือไว้
ก็ไม่ใช่ว่ากลัวหรอกนะ มันแค่ตื่นเต้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ฉันเชื่อว่าเรื่องแบบนั้นมันจะเป็นไปเองโดยธรรมชาติ พอถึงเวลาจริงๆ มันก็คงจะไม่ล่กแบบนี้แน่
“ลงไปได้ละ” เขาพูดขณะออกเดินนำหน้า
“ค่า…” ฉันส่งเสียงตอบรับก่อนจะก้าวตามและพึมพำกับตัวเอง “แทนที่จะบอกกันหน่อย ปล่อยให้รออยู่ได้ ใจร้ายชะมัด”
“ว่าอะไร” คนถูกเอ่ยถึงหยุดชะงักและหันกลับมาทันที…หูดีซะด้วย
“คนเยอะชะมัดเลยเนอะวันนี้” ประเด็นถูกเบี่ยงไปยังบรรยากาศโดยรอบแทน
“ฉันลืมมือถือไว้ที่นี่ พอใจยัง” เฮียฟิวส์ชูมือถือขึ้นในระดับสูงกว่าปลายคางเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินลงบันได
ประโยคคำถามทิ้งท้ายของเขาส่งผลให้ฉันหลุดอมยิ้มจนปวดแก้ม รู้สึกเหมือนกำลังได้รับการใส่ใจอยู่เลยแฮะ